หงสาสิ้นปีก ตอนที่ 2

หากต้องการอรรถรสเพิ่มขึ้นขอให้คลิกไปดูหน้า Profile ของผมแล้วคลิกลิ้งทางขวามือ monlovestories
ตอนที่ 2
(จากตอนที่แล้ว https://pantip.com/topic/36159876)

พญาทะละรู้สึกเหิมเกริมที่คิดจะได้ขึ้นเป็นพระเจ้ากรุงหงสาวดีแทนที่พระราชบุตรเขยของตน จึงได้ชูแก้วทองขึ้นพร้อมกล่าวว่า "หงสาวดีจงเจริญ! รามัญประเทศจงเจริญ!" ขุนนางมอญรามัญทั้งปวงขานรับตาม เมื่องานเลี้ยงเสร็จสิ้นลง สมิงมหาเกษตราจึงได้ควบม้ากลับบ้านไปอย่างคนเมา แล้วเข้านอนลงเตียงของตนเอง จากนั้นจึงได้มองเพดานห้องนอนอย่างครึมใจ พลางคิดถึงใบหน้าอันดุจนางฟ้าของกาวซอน ใจของสมิงมหาเกษตราเกิดรุ่มร้อนขึ้นเมื่อนึกถึงกาวซอน พลางนึกในใจว่า "ยิ่งผ่านไปหลายปี น้องเจ้ายิ่งงามดุจดอกไม้ผกาอันแสนหอมและน่าชื่นชม" สมิงมหาเกษตราเฝ้ามองเพดาน เพ้อฝันถึงนางผู้เป็นที่รักอยู่จนกระทั่งหลับไปด้วยฤทธิ์น้ำเมา พลันก็ฝันเห็นหงส์ยักษ์เดินจากเมืองหงสาวดีเหยียบย่ำเมืองอังวะจนแหลกลาญ จากนั้นจึงได้เห็นนกยูงไฟจากเมืองอังวะบินถลาเหนือกรุงอังวะและเข้ามาในกรุงหงสาวดีจนถูกเผามอดไหม้ เมื่อถึงยามฟ้ารุ่ง จึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจหวาดกลัว "เฮ้ย" สมิงมหาเกษตราพลางทักในใจ "มีอะไรหรือขอรับใต้เท้า" บ่าวนอกห้องได้ยินจึงถามไถ่ทุกข์ "ไม่มีอันใดดอก เอ็งไปทำหน้าที่ต่อเถิด" สมิงมหาเกษตราพลางยกมือไล่ และได้อาศัยวิชาโหราศาสตร์ประกอบคำทำนายในฝันของตน จึงได้ทราบว่า กรุงหงสาวดีกำลังจะถึงคราวโชคดีและโชคร้ายในเวลาอีกไม่นาน สมิงมหาเกษตราจึงได้แต่คิดหนักอยู่ตลอดรุ่งเช้า

ณ ท้องพระโรง พญาทะละ ผู้นั่งประทับอยู่หน้าบัลลังก์ ประกาศ ณ ที่ประชุมว่า "ข้าตัดสินใจแล้วว่า ข้าจะปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งหงสาวดีองค์ใหม่ เหตุเพราะพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน มิได้กระทำตามราชธรรมอันควรแก่ผู้เป็นองค์มหาพุทธศาสนูปถัมภก" ขุนนางทั่วท้องพระโรงต่างพากันวิจารณ์จนลือกันว่าเกิดเพราะไม่พอใจที่พระราชธิดาถูกข่มเหงรังแก แต่เพียงไม่ถึงนาที "เฮ้ย พวกฟังกู" เป็นเสียงตะโกนของพญาทะละซึ่งดังจนท้องพระโรงเงียบสงัด ไร้เสียงแม้แต่เสียงนินทาทั้งหลาย "กูจะปราบดาภิเษก ขึ้นเป็นพระเจ้ากรุงหงสาวดี ให้น้องใหญ่กู เป็นพระมหาอุปราชา และน้องเล็กกู เป็นพญาทะละ แทนกู" พญาทะละเดินกลางท้องพระโรงอย่างช้าๆพร้อมกล่าวคำพูดประกาศทั่วท้องพระโรง "อันสิ่งใดที่พวกคิดดีต่อกู กูจะเว้นโทษทั้งหลายทั้งปวงเสียสิ้น อันสิ่งใดที่พวกคิดร้าย กูจะไม่เว้นปราณีแม้แต่ช้างม้าวัวควายของมัน กูนี้เห็นพวกถูกรังแกข่มเหงเสียตั้งนาน จึงอุตส่าห์เอาตัวกู มารับผิดชอบบ้านเมืองแทนไอ้ทรราชสมิงทอ ที่มันบังอาจกระทำทุรยศต่อกูและข้าแผ่นดินทั้งปวง กูคิดว่าพวกทุกคน คงจะยอมจงรักภักดี ยิ่งมาก กูก็ให้มาก ยิ่งคิดร้ายมาก โทษ ก็จักหนักเสียสิ้น" ขุนนางเมื่อได้ยินคำพูดของพญาทะละแล้ว จึงได้แต่แสร้งถวายบังคมแล้วกล่าว "ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน" พญาทะละยิ้มและเดินออกจากท้องพระโรงเข้าไปในเขตพระราชฐาน ขุนนางทั้งหลายจึงกลับมาวิพากษ์วิจารณ์กันตามเดิม

สมิงมหาเกษตราเดินกลับเข้าบ้าน ครั้งนี้ได้นั่งปรึกษาเรื่องราวบ้านเมืองกับผู้เป็นบิดามารดา โดยได้เข้าไปนั่งพื้นเข้ากราบเท้าบิดามารดาแล้วกล่าวน้ำตาคลอ "ลูกไม่รู้ว่าเมืองมอญในภายภาคหน้าจะเป็นเยี่ยงใด แต่ลูกเริ่มสังหรณ์ใจแล้วว่าสักวันเมืองมอญจะต้องสูญสิ้นยิ้มไปถาวร" มารดาได้ยินแล้วตกใจอย่างรุนแรง พลางกล่าวต่อว่าลูกชายตน "เจ้าเอาอะไรมาพูด ไอ้เด็กผลาญเมือง! เมืองมอญหรือจะต้องสิ้นไปถึงขั้นไร้แผ่นดิน" บิดากล่าวห้าม "เอาเถอะ แม่ เด็กมันก็พูดไปตามความนึกคิด" มารดาจึงใจเย็นลง ผู้เป็นบิดาได้ไต่ถามว่า "ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น พ่อทออู" สมิงมหาเกษตราได้กล่าวตอบไปตามสิ่งที่เห็น "ลูกฝันเห็นพญาหงส์ยักษ์ เหยียบเมืองอังวะแหลกลาญ แล้วลูกฝันเห็นเมืองอังวะปรากฎนกยูงไฟ บินผ่านเมืองหงสาวดีและไหม้จนเป็นจุล" บิดาได้ยินจึงหัวเราะตบมือตบต้นขาพร้อมกล่าว "เอ็งคิดมากเกินไปแล้ว ทออูเอ้ย ความฝันก็คือความฝัน จะไปเป็นความจริงได้เยี่ยงใด ข้าว่าเจ้าฝักใฝ่อ่านราชาธิราชเกินไปแล้วกระมัง" "ลูกหาได้คิดมาก เพียงแค่กล่าวไปตามความคิดส่วนของลูกเอง หาได้มีความกังวลใจเกี่ยวข้องไม่ หากลูกตาย ก็พร้อมตายเพื่อแผ่นดินรามัญประเทศอย่างสุดหัวใจ" บิดากล่าวตัดเรื่อง "เอาเถอะ พ่อทออู กลับมาแล้วก็จงกินข้าวกินน้ำให้สบาย อาบน้ำนอนกันเถิด" สมิงมหาเกษตราก้มลงกราบก่อนออกไปอาบน้ำและนอนหลับอีก

วันรุ่งขึ้น สมิงมหาเกษตราเดินชมตลาดเพื่อชมบรรยากาศเล็กๆน้อยๆเป็นการผ่อนคลายความเครียดจากเมื่อวาน คิดเช่นนั้นแล้ว จึงเดินชมตลาดไปเรื่อยจนพบกับกาวซอนอยู่พอดี เมื่อสมิงมหาเกษตราพบเห็นหญิงสาวอายุคราวน้องของกาวซอนเดินมาจึงไต่ถามกาวซอนว่าเป็นใคร กาวซอนจึงบอกว่านี้คือเม้ยทอ เป็นลูกพี่ลูกน้องของกาวซอน เม้ยทอเป็นผู้หญิงที่อ่อนกว่ากาวซอนและสมิงมหาเกษตราประมาณ 2 ปี  ดังนั้นแล้ว ทั้ง 3 จึงเดินไปคุยกัน ณ บ้านของกาวซอนเอง สมิงมหาเกษตราเล่าเรื่องและความฝันของตนเองให้กาวซอนฟัง "พี่ฝันแบบนั้นจริงๆ อย่าได้คิดอันใดมิดีเลย" สมิงมหาเกษตรากล่าว "มิใช่พี่ต้องการแช่งชักบ้านเมืองให้ยิ้มพินาศ เพียงแต่พี่ต้องการไม่อยากให้บ้านเมืองต้องสิ้นเหมือนคราวที่มังช่อและมังโสดตีเมืองและเผาเมืองจนสิ้นพินาศ" กาวซอนปลอบใจ "พุทโธ่! ก็แค่ความฝันเท่านั้นเองจ้ะพี่ อย่าได้คิดมากเลย ฝันดีเป็นร้าย ฝันร้ายเป็นดี มีถมไป" สมิงมหาเกษตรามองหน้ากาวซอนอย่างหวานๆ พร้อมถือมือของกาวซอนไว้ "แต่หากจะต้องตาย นอกจากบ้านเมืองแล้ว ก็เพื่อน้องอีกคนหนึ่ง กาวซอนก็คือหัวใจของพี่" กาวซอนยิ้มเขินวางมือตนเองลง "พูดอะไรให้เห็นแก่ผีบ้านผีเรือนของน้องบ้างเถอะจ้ะ พี่ทออูของน้อง" ทันใดนั้นเอง ข้างนอกก็ปรากฎเสียงดังขึ้นมา สมิงมหาเกษตราจึงลุกขึ้นไปดูข้างนอก พบเห็นว่าบรรดาชาวบ้านมอญ กำลังขับไล่พม่าออกไป บ้างก็ไล่ตี บ้างก็ไล่ขว้าง ชาวมอญส่งเสียงร้อง "ม่านออกไปๆๆๆๆ" ดังทั่วพระนคร สมิงมหาเกษตราเห็นเป็นเช่นนั้น ถือดาบเข้าขว้างก่อนที่จะมีการนองเลือดขึ้น

"ใจเย็นๆกันก่อน พวกเราชาวหงสาวดีด้วยกัน ทำไมจะต้องแค้นกัน" สมิงมหาเกษตราถาม "เพราะว่ามันไม่ใช่มอญ ไม่ใช่เจ้าของแผ่นดินหงสาวดี เป็นผู้รุกราน มันจึงเข้ามากอบโกยเพื่อตัวมันเองไม่ใช่เพื่อชาวมอญ" ชาวบ้านคนหนึ่งตอบตามคำถามของสมิงมหาเกษตรา "ตอนนี้เราก็จะกลับมามีชาติมีแผ่นดินเป็นของตัวเองแล้ว ทำไมจะต้องขัดแย้งกันเองอีกล่ะ?" สมิงมหาเกษตราถาม "ผู้รุกรานก็สมควรกลับถิ่นตน ที่นี้ไม่ใช่แผ่นดินของพวกมัน"

สมิงมหาเกษตราถอนหายใจ อธิบายอย่างชัดๆ "เราเป็นชาวมอญ ถ้าเรายึดถือในบวรพุทธศาสนาจริง ไยเราจึงไม่รักษาน้ำใจ ให้เขาได้อาศัยพักพิง ถือตนเป็นมอญไปเลยไม่ดีกว่าหรือ? เราเป็นเจ้าของแผ่นดิน และยึดถือพระศาสนา ในฐานะนี้ เราก็ควรบำรุงสุขทุกข์ให้ดีในฐานะคนของหงสาวดี เราไม่ควรลืมเหมือนกันว่า อังวะก็ต้องมีคนมอญ หงสาวดีก็ต้องมีคนม่าน เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมิดีกว่าหรือ? ข้าขอรับประกันว่าพม่าในนครทั้งปวง จะไม่กระทำใดๆเป็นการทุรยศโดยเด็ดขาด" พลางหันหน้าไปทางชาวพม่าที่กำลังถูกขับไล่ "พวกเจ้าเองก็เช่นกัน ถ้ายังอยากอยู่หงสาวดีอยู่ ก็ต้องถือตัวว่าเป็นคนของหงสาวดี หากปรารถนาจะอยู่ต่อ ก็ขอให้อยู่ในฐานะข้าของหงสาวดี เป็นพม่าในเมืองมอญ และอย่าทำอันใดให้เมืองหงสาวดีต้องเดือดร้อน" ชาวมอญและพม่ารอบๆตัวเขา ต่างก็ไหว้ขอบคุณสมิงหนุ่มมาก ความทราบถึงพญาทะละ จึงเรียกมาปูนบำเหน็จในฐานะที่สามารถระงับเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นได้ พร้อมทั้งอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า

ในวันงานราชาภิเษก พญาทะละราชาภิเษกขึ้น งานในท้องพระโรงจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ทั่วทั้งพระนครเกิดความเงียบสงัดขณะที่พระราชพิธีเริ่มต้นขึ้น พญาทะละได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น "พระเจ้าพญามอญธิราช" ตั้งให้พระอนุชาองค์โตเป็นพระมหาอุปราช ตั้งให้พระอนุชาองค์เล็กเป็นพญาทะละสืบต่อแทน เมื่อล่วงถึงกลางคืน ได้มีการจัดงานมหรสพที่ยิ่งใหญ่ขึ้นทั่วกรุงหงสาวดี แสงสีเสียงเต็มไปด้วยความอลังการ และดูเหมือนจะอลังการ ราวกับว่า นั้นคือครั้งสุดท้ายที่น่าจะเป็นความรุ่งเรืองของหงสาวดีในเวลานั้น

สมิงมหาเกษตราเมามายจากงานเลี้ยงฉลองการปราบดาภิเษก ทหารรับใช้พยุงร่างมาแล้วนำไปขึ้นเตียงนอน ด้วยความเมามาย สมิงหนุ่มจึงนอนหลับไปในเวลาไม่นาน พลันก็ฝันนิมิตรเห็นอีกเป็นว่า แม่น้ำอิรวดีกลายเป็นแม่น้ำเพลิง และเพลิงก็ลุกลามไปจนทั่วกรุงหงสาวดีและมอดไหม้สิ้น เมื่อสมิงหนุ่มตื่นขึ้นมาแล้วจึงได้เรียกให้โหราจารย์มาทำนายเหตุการณ์ โหราจารย์ได้บอกว่าจะมีเหตุร้ายต่อบ้านเมืองในกาลครั้งหน้าและอาจถึงขั้นสิ้นชาติ สมิงหนุ่มตกลง จึงได้ขอร้องให้โหราจารย์เก็บไว้เป็นความลับก่อนที่จะให้โหราจารย์ออกไป สมิงหนุ่มเริ่มสังหรณ์ใจแล้ว จึงนั่งสมาธิหลับตาทบทวนคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงได้สติขึ้นมาว่า ทุกสิ่งยอมมีเกิดมีดับ และหากตนเองจะต้องดับสูญ ก็คงเป็นเพราะกรรม หากบ้านเมืองจะสูญสิ้น ก็คงเป็นกรรมเช่นกัน สมิงหนุ่มถอดใจเดินไปที่ห้องโถง ให้คนใช้นำสำรับอาหารมา ก่อนที่จะอาบน้ำแต่งตัวไปเข้าเฝ้า

กล่าวถึงพระเจ้าช้างลายสมิงทอ หลังจากที่ถูกยึดบ้านยึดเมืองยึดราชบัลลังก์แล้ว ก็ไม่รู้จะแบกหน้าไปหาใครได้ นอกจากจะนึกถึงพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งเป็นพ่อตาอีกคน จึงควบทัพตนเองเดินหน้าไปเมืองเชียงใหม่ เพื่อขอทัพเสริมจากเชียงใหม่ ซึ่งพระเจ้าเชียงใหม่ได้ให้การต้อนรับอย่างดี และได้กล่าวบทสนทนากันเกิดขึ้น "ลูกผิดเองที่ไม่สามารถรักษาบ้านเมืองไว้ได้ ทั้งยังให้ลูกของพ่อต้องลำบากระหกระเหินติดตามลูกมา" พระเจ้าเชียงใหม่ทรงนำพระหัตถ์แตะไหล่สมิงทอ ตรัสว่า "มิใช้ความผิดของพระองค์ดอก แต่เป็นความผิดของไอ้คนเลี้ยงช้างและลูกมันเองต่างหากที่ใฝ่สูงเกินเหตุ อย่าได้ไม่สบายพระทัยเลย" พร้อมทั้งเชิญให้รับประทานด้วยกัน เพื่อวางแผนยึดเมืองคืน "พ่อจะขอให้เจ้าฟ้าไทใหญ่ช่วยเหลือเสริมทัพพระองค์อีกแรง และจะบุกโจมตีเมื่อพระองค์ต้องการ" พระเจ้าเชียงใหม่ตรัสพลางเสวยน้ำจัณฑ์ "หามิได้ดอกพ่อ ลูกมิกล้าจะนำทัพของผู้อื่นใดมาช่วยดอก ลูกเพียงแต่หวังจะพึ่งเสด็จพ่อเท่านั้น" สมิงทอทูลทัดทาน "อย่าทรงคิดอะไรมาก พวกเขาต่างก็เป็นสหายของพ่อทั้งนั้น พ่อจะขอร้องให้" พระเจ้าเชียงใหม่ทรงแย้มพระโอษฐ์ พร้อมทั้งกล่าวเพิ่มเติม "พ่อเข้าใจดี เพราะพ่อก็เคยเจอแบบนี้ ก่อนที่จะมาเป็นเจ้าเชียงใหม่ได้" "ขอขอบน้ำใจพ่อ" สมิงทอนำจอกขึ้นดื่ม นั่งสนทนากันสักพักใหญ่ก่อนที่จะขอตัวเข้าเรือน และนอนกอดพระธิดาอย่างอบอุ่น

วันรุ่งขึ้น พระเจ้าเชียงใหม่มีพระราชโองการให้นำพระราชสาส์นนำขึ้นทูลเกล้าถวายเจ้าฟ้าเมืองไทใหญ่ทั้งปวง แต่เมื่อเจ้าฟ้าไทใหญ่ได้เห็นเนื้อความพระราชสาส์นของพระเจ้าเชียงใหม่แล้วได้แต่คิดกังวล เพราะสมิงทออยู่ในฐานะศัตรูของพม่าซึ่งเป็นเจ้านายของตนเอง ทำให้เจ้าฟ้าเมืองไทใหญ่ตอบปฏิเสธทุกเมือง ด้วยความจำเป็น สมิงทอจึงจำใจเดินทัพของตนเองผสมกับทัพเชียงใหม่ มุ่งหน้าตีเมืองหงสาวดีต่อไป

ยังไม่ทันพ้นเขตแดนเมืองเชียงใหม่ ตะวันก็ตกดิน สมิงทอจึงตั้งค่ายพักแรมอยู่ริมแม่น้ำปิง ปรากฎหมอผีในละแวกนั้นได้เดินเข้ามาทายทักอยู่ว่าแถวนี้ไม่เหมาะที่จะตั้งค่ายพักแรม เป็นถิ่นเจ้าป่าเจ้าเขา สมิงทอจึงจำเป็นต้องเดินต่อไปจนพ้นเขตแดนเชียงใหม่ จึงได้ให้ตั้งค่ายพักแรมขึ้น แต่ก็ถูกหมอผีอีกคนทำนายทักอีก สมิงทอจึงจำต้องเดินต่อไปจนสุดชายแดน กว่าจะสุดชายแดนนั้นก็เกือบฟ้าสาง และเหน็ดเหนื่อยกันทั้งกองทัพเนื่องจากไม่ได้พักผ่อนเลย และอีกทั้งยังต้องเผชิญกับสัตว์ร้ายที่จะเข้ามาอีก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่