หงสาสิ้นปีก ตอนที่ 1

หากต้องการอรรถรสเพิ่มขึ้นขอให้คลิกไปดูหน้า Profile ของผมแล้วคลิกลิ้งทางขวามือ monlovestories
ตอนที่ 1
เมืองหงสาวดี พ.ศ. 2283

ทออู เด็กน้อยวัย 10 ขวบและใกล้เข้าวัยโกนจุก เดินเล่นตามประสาเด็กๆอยู่ภายในกำแพงพระนครเก่าโดยที่ไร้วี่แววพ่อและแม่ของตนเอง สำคัญว่าอยู่ในวัยที่ใกล้โกนจุกแล้วจึงได้เดินเล่นไปทั่วเมืองหงสาวดีนี้ ซึ่งเมืองหงสาวดีนี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ภายหลังที่ถูกเผาไปเมื่อ 140 ปีก่อน และศูนย์กลางถูกย้ายไปที่กรุงรัตนบุรีอังวะ ที่อยู่เหนือกรุงเก่าไปหลายร้อยวา เมืองนี้แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เหมือนสมัยของสมเด็จพระเจ้าบุเรงนอง แต่ก็ยังดูใหญ่โตสมกับเป็นกรุงเก่า ทั้งพม่ามอญก็อยู่กันอย่างมีความสุขดี

แต่ในเวลานี้สถานการณ์กลับไม่เป็นใจต่อความสามัคคีในตัวเมืองนัก หม่องซาอ่องและเมงแยอองเนียง 2 เจ้าเมืองเก่าชาวพม่าที่ถูกชาวเมืองมอญสังหารไปจนสิ้นล้วนเกิดความไม่พอใจที่ถูกราชวงศ์ตองอูกดขี่มานานนับหลายร้อยปี และยิ่งเกิดการฆ่าล้างเจ้าเมืองที่ส่งมาปกครองแล้ว พม่าจึงต้องส่งกำลังทหารมาปราบปรามกบฎอย่างทารุณโหดเหี้ยม ถือกันถึงขั้นแทบจะล้างเมือง แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่พม่าจะอยู่เหนือเมืองหงสาวดีอีกต่อไปแล้ว ยิ่งหากถูกกดขี่ถูกปราบปรามทารุณเหมือนผักปลา ก็ยิ่งต้องถอดถอนให้พ้นไปจากเมืองมอญ

เมื่อทออูเริ่มเห็นบรรดาชาวมอญเดินออกไปรวมกลุ่ม ณ หน้าจวนใหญ่ของเจ้าเมืองอย่างน่าประหลาดใจ จึงได้ไต่ถามแม่ค้าวัยกลางคนรูปร่างท้วมชาวมอญด้วยกัน จึงได้ทราบความว่า ทิดชาวพม่าชื่อสาละ หรือสำเนียงพม่าว่า ต่าหล่ะ เป็นชายหนุ่มดูสง่างามและดูสูงส่ง โพกผ้าสีขาว โสร่งสีขาวขลิบทอง ยืนอยู่หน้าจวน ร่ายล้อมไปด้วยทหารมอญ-ไทใหญ่-ฝรั่งเศส และชาวเมืองกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ทิดผู้นี้ได้ประกาศจะไม่ขึ้นต่อกรุงรัตนบุรีและได้ประกาศอิสรภาพ ณ หน้าจวนใหญ่นี้ หมายสำคัญว่าต้องการปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์มอญ ปกครองชาวมอญ และขับไล่พม่าออกไปให้พ้นรามัญประเทศให้สิ้นอำนาจกลับไปอยู่ในพุกามประเทศอันวุ่นวายเช่นเดิม ชาวมอญที่ยืนดูอยู่นั้นต่างรู้สึกทำหน้าเอือมๆและวิพากษ์วิจารณ์กันไป บ้างก็ว่าทิดสาละกำลังจะทรยศแผ่นดินตัวเองและราชวงศ์ตองอู แบบเดียวกับที่ผู้พ่อ คือเจ้าฟ้าเมืองพุกามที่ได้เคยคิดทรยศต่อพระเจ้าอังวะองค์ก่อน บ้างคิดว่าทิดสาละไม่ใช่มอญแต่เป็นพม่าเต็มตัว เพียงแต่พูดมอญได้กับเคยอาศัยอยู่กับกะเหรี่ยงและไทใหญ่เท่านั้น จึงไม่เห็นสมที่จะมาปกครองมอญแทนพม่าอังวะ เพราะอย่างไรก็คือพม่าอยู่ดี ถึงกระนั้นทิดสาละก็ยังจำต้องป่าวประกาศต่อไปเพื่อระงับเสียงนินทาที่บังเกิดขึ้นต่อหน้าตนเอง

“ข้าขอประกาศว่าพวกเราจะไม่ใช่ทาสของพวกอังวะแล้ว ข้าเห็นแก่เลือดของพวกท่านชาวมอญที่เคยสู้เพื่อแผ่นดินเกิด” ทิดสาละกล่าวและยังกล่าวคำอื่นๆต่อหน้าฝูงชนมอญอีก เมื่อทออูเกิดความสนใจต่อคำพูดนานาประการของทิดสาละ จึงได้ถามไปว่า “ถ้าพ้นจากอังวะจริงๆ แปลว่ามอญจะพ้นจากพม่าหรือขอรับ?” ทิดสาละได้ยินจึงแสดงสีหน้าไม่พอใจหน่อยๆ ตอบไปว่า “จริงสิเจ้าจุกเอย” ทออูจึงตอบกลับไปต่อว่า “แล้วทำไมท่านเป็นพม่าขอรับ?” ทิดสาละได้ยินคำพูดเข้ารู้สึกแทงใจตัวเอง แต่ต้องเก็บอาการไว้ ตอบไปว่า “เพราะใจของข้าคือมอญอย่างไรเล่า เจ้าจุก” เวลานั้นนายทอและนางนอม พ่อแม่ของทออู ได้แทรกกลางกลุ่มผู้ชุมนุมดูอยู่พอดี จึงดึงตัวของทออูไว้และพากลับบ้านจนพ้นสายตาของทิดสาละไปในไม่ถึงนาที เมื่อถึงบ้าน นายทอได้กล่าวดุและตักเตือนทออูไว้ “เอ็งเป็นเพียงแค่เด็กน้อยอย่าไปทำอะไรที่ไม่เป็นผลดีต่อตัวเองและครอบครัวเลยไอ้จุก” นางนอมก็กล่าวตาม “ข้าไม่น่าปล่อยให้เอ็งเดินไปไหนตามใจชอบเลยจุกเอ้ย เกือบจะเสียหัวให้กับพม่าแล้ว” ทออูเกิดความสงสัยว่าสิ่งที่ตนพูดไปนั้นผิดอย่างไร จึงได้ถามไปว่าเหตุใดจึงต้องตักเตือนกันเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆ ทั้งผู้พ่อและผู้แม่จึงได้สอนว่า พม่านั้นไม่ใช่ชาติมิตรอย่างที่เข้าใจ แท้ที่จริง พม่ารุกรานมอญมา 2 ครั้งใหญ่แล้ว คือในสมัยของพระเจ้าฝรั่งมังช่อ (พระเจ้าอโนรธา) และพระเจ้าฝรั่งมังโสด (พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้) พม่าเองก็ไม่ต้องการเสียมอญไป ขณะเดียวกันมอญเองก็ไม่อยากอยู่ภายใต้อำนาจของพม่า แม้ว่าประชาชนทั้ง 2 ชนชาติ จะสามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่สำหรับในสภาขุนนางนั้นไม่มีท่าทีเห็นความปรองดองกันได้อย่างแท้จริงนัก ทออูได้ฟังเรื่องราวที่มาแล้วเกิดความเข้าใจและได้สำนึกรู้ถึงชนชาติที่แท้จริงของตนเอง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างแล้วจึงได้รีบวิ่งออกจากเรือนไปโดยไม่ทันขอพ่อแม่ พ่อแม่ของทออูได้แต่กุมขมับกับความทะโมนของทออู

ทออูเด็กน้อยไว้ผมจุก รีบวิ่งมาพบกับกาวซอนเด็กสาวน้อยที่ไว้ผมกะลา อายุน้อยกว่าทออูเพียงแค่ 5 เดือน แต่เรียกทออูว่า “พี่” ทออูพากาวซอนไปเดินรอบตลาดมอญ หาขนมกินกันและเล่นกันสนุกสนานตามประสาเด็กจนมืดค่ำแล้วทั้งคู่แยกย้ายกันกลับบ้านไป เมื่อทออูเดินทางกลับบ้านผ่านวัดเก่านั้น ได้ยินเสียงผู้พูดภาษาพม่า จึงได้หลบเข้าไปดูพบเห็นกลุ่มชายรูปร่างสูงวัยพ้นบวชเรียนคุยกันและถือดาบยืนอยู่ประมาณ 6-7 คน ทออูฟังภาษาพม่าแทบไม่ออกเลยแต่ก็พอจับใจความได้ว่าบรรดาชายกลุ่มนั้นคิดจะลอบสังหารทิดสาละที่กำลังคิดจะแข็งเมืองต่ออังวะ ฉับพลันชายในกลุ่มคนหนึ่งจับได้ว่ามีผู้ลอบฟัง ทออูจึงต้องรีบวิ่งหนีไปจนสะดุดล้มต่อหน้าช้างของชายผู้หนึ่งเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปดูจึงพบว่าเป็นชายหนุ่มวัยกลางคน รูปร่างสูงโปร่ง ไว้หนวดเหนือริมฝีปาก โพกผ้าและนุ่งโสร่งอย่างขุนนางมอญชั้นผู้ใหญ่ ชายผู้นั้นได้ลงมาจากช้างพร้อมไต่ถามทออูอย่างสุภาพอ่อนน้อม “หลานชาย เจ้ามาจากหนใดกัน?” ทออูได้ตอบไปว่า “ข้ามาจากวัดร้างนั้น มีคนคิดจะสังหารทิดสาละขอรับ” ชายผู้นั้นได้ยินเข้าจึงตกใจ พร้อมทั้งจะนำพาทออูไปส่งถึงบ้าน ทออูจึงขึ้นช้างกับชายผู้นั้นไปถึงบ้าน เมื่อถึงบ้าน พ่อและแม่แปลกใจที่ปรากฎชายผู้หนึ่งขี่ช้างพามาส่งให้ถึงบ้าน เมื่อไต่ถามแล้วจึงได้ทราบว่าเป็นชาวไทใหญ่ชื่อว่าอองหละ มียศเป็นธอระแซงมูนายกองช้าง มาจากเชียงใหม่ และเป็นพ่อตาของทิดสาละ อองหละลาจากพ่อแม่ของทออูแล้วนั่งช้างกลับไปแจ้งข่าวต่อทิดสาละ

“ทิด มีคนคิดจะลอบสังหารเจ้า” นายกองอองหละแจ้งให้กับทิดสาละ “มันเป็นพวกใดล่ะพ่อท่าน” ทิดสาละตอบกลับมา “ก็ไอ้พวกขุนนางเก่าของไอ้เมงแยอองเนียงอย่างใดเล่า” ทิดสาละเมื่อได้ยินแล้วจึงวางแผนกับนายกองช้างผู้พ่อตา จับกุมชายเหล่านั้น โดยปล่อยให้ชายเหล่านั้นบุกเข้ามาในเรือนของทิดสาละ เมื่อเข้ามาในเรือน จึงให้จับกุมตัวผู้ร้ายมีชื่อเหล่านั้นมิให้พ้นเรือนโดยการล้อมกำลังทหารเอาไว้รอบเรือน เมื่อถึงเวลากลางคืน แผนการทุกอย่างดำเนินการไปตามขึ้นตอนและบรรลุผล หัวหน้ากลุ่มตะโกนออกมาว่า “ต่อให้กูตายเป็นผี กูก็จะหักคอ ไอ้สาละ ยิ้มเหมือนพ่อมิมีผิด ไอ้กาลกิณีเมือง!” ทิดสาละเกิดโทสะเอาเท้าฟาดปากหัวหน้ากลุ่มอย่างรุนแรง ชี้ใส่หน้าพลางยิ้มเยาะเย้ยว่า “ต่างหากเล่าไอ้ยิ้มที่ต้องรับกรรมที่คิดจะฆ่ากู ผู้กอบกู้อิสรภาพให้กับเมืองมอญ” หัวหน้ากลุ่มได้แต่มองอย่างเคียดแค้นกินเนื้อ

ชายกลุ่มนั้นเมื่อถูกจับได้และให้การสารภาพ จึงได้ตัดสินโทษให้ทำการประหารชีวิต แล้วต่อมาไม่นาน ทิดสาละ ประกาศสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงหงสาวดีองค์ใหม่ ทรงพระนามว่า “พระเจ้าช้างลายสมิงถอพุทธเกตุ” และสถาปนาอองหละขึ้นเป็น “พญาทะละ” อัครมหาเสนาบดีที่เป็นรองเพียงแค่พระองค์ เมื่อพญาทะละได้เป็นใหญ่แล้วจึงได้นำเอาทออูไปชุบเลี้ยงเป็นคนสนิทตามตนเองไปทุกๆที และได้ทำการโกนจุกให้กับทออูด้วยตนเอง และสถาปนาขึ้นเป็น “สมิงมหาเกษตรา” ด้านพระเจ้าช้างลาย ก็ได้ทำสงครามยึดหัวเมืองมอญเก่ากลับมาเป็นของมอญ พญาทะละก็ได้ติดตามทำสงครามด้วยทุกที และสมิงมหาเกษตราก็ได้ติดตามรับใช้พญาทะละไปเช่นเดียวกัน

ท้องพระโรงกรุงอังวะ พระเจ้ามหาธรรมราชาธิบดี ทรงยืนขึ้นบนพระราชบัลลังก์เมื่อได้ยินข่าวหงสาวดีก่อกบฎแข็งเมือง จึงทรงกริ้วและรับสั่งให้ตีเมืองหงสาวดีกลับมาเป็นของอังวะ แต่ยังไม่ทันรับสั่ง ก็มีเสียงลือหนาหู มีการกราบทูลถึงท้องพระโรงว่า กองทัพหงสาวดี กำลังตีเมืองแปรและพยายามจะเข้าตีอังวะพร้อมๆกันด้วย พระเจ้ามหาธรรมราชาธิบดี พระเจ้ากรุงอังวะ ถึงกับกริ้วและตรัสว่า “ไอ้พวกตะเลงพวกฝาหรั่งมันได้ใจนัก คิดว่ากูไม่กล้าทำอะไรแรงและด้อยกำลังกว่าพวกมันหรือ? กูนี้ละจะเหยียบเมืองมอญให้สิ้นแผ่นดินไปให้ถาวรเลยทีเดียว!” บรรดาขุนนางเสนาบดีทูลพร้อมกันขอให้ระงับพระอารมณ์โทสะโมหะ และเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือกับทหารหงสาวดี ซึ่งต่อมา กองทัพหงสาวดีสามารถตีเมืองแปรแตกได้ แต่ไม่สำเร็จต่อการยึดเมืองอังวะอันมีปราการหนาแน่นและแม่น้ำอิรวดีเป็นปราการธรรมชาติอีกด้าน ทำให้กองทัพมอญหงสาวดี ต้องถอนทัพออกไปจากอังวะในที่สุด

7 ปีผ่านไป สมิงมหาเกษตรา หนุ่มวัย 17 ปี กำลังมีชีวิตที่รุ่งเรืองจากการรับราชการในเมืองหงสาวดี ได้เล่าเรียนภาษาบาลี ภาษามอญ เล่าเรียนสัประยุทธ์วิชาอาวุธต่างๆ จนมีความสามารถทั้งด้านความรู้และด้านพละกำลัง ควบคู่กับการรับราชการกับพญาทะละ วันหนึ่ง สมิงมหาเกษตรา ได้เยี่ยมเยียนพ่อแม่และไปเยี่ยมหาแม่กาวซอน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อถึงวัยบวชจะบวชเรียนและสึกออกมาจะมาขอแม่กาวซอนไปเป็นภรรยาตามประเพณี จะขอย้ายไปเป็นผีบ้านตน กาวซอนได้เห็นสมิงมหาเกษตรา เป็นหนุ่มรูปงามพร้อมกับยศฐาบรรดาศักดิ์ จึงปลงใจจะขอร่วมหอในวันข้างหน้าให้ได้ ดังนั้นในวันนั้นเอง สมิงมหาเกษตราจึงได้เดินรอบเมืองกับกาวซอน พลางพูดถึงเหตุการณ์ในกรุงอังวะซึ่งกลายเป็นแผ่นดินอีกแผ่นดินไปแล้วว่ากำลังอยู่ในภาวะสับสนเพราะกษัตริย์อังวะเป็นผู้อ่อนแอ แต่ขณะเดียวกัน พระเจ้าช้างลาย ก็เอาแต่ทำสงครามจนเกิดตัว ทำให้บรรดาประชาราษฎร์ พากันเดือดร้อนได้ยากเพราะสงครามขยายอาณาเขต

“เพลานี้ ราชสำนักเมืองอังวะจะเป็นอย่างไรหาได้รู้ไม่ แต่ตัวเมืองอังวะยังสงบดี ตรงกันข้ามกับเมืองมอญเราเองที่มีแต่ภัยสงคราม” สมิงมหาเกษตราพูดกับกาวซอน “มิช้านานหงสาวดีก็คงกลับไปเป็นทาสพม่าเหมือนเดิม” เพราะเอาแต่รบกัน” สมิงมหาเกษตราถอนหายใจ “พี่ทออูใจเย็นไว้ก่อนเถิดจ้ะ อย่างไรเสีย เราก็ต้องเอาชาติเราไว้เป็นประกันมั่นคงไว้ก่อนอยู่แล้ว ทั้งพระเจ้าอยู่หัวและท่านอัครมหาเสนาบดี ต่อให้ต้องสิ้นชีวิต ท่านก็คงไม่ยอมสิ้นชาติ” สมิงมหาเกษตรจับเค้าลางบางอย่างแล้วพูด “แต่พี่คิดว่าถึงเห็นแก่ชาติกัน แต่ก็เกรงว่าจะไม่สามัคคีกันได้อยู่ดี” ..

ณ ท้องพระโรงพระราชวังหงสาวดี พระเจ้าเชียงใหม่ได้ขอผูกสัมพันธไมตรีด้วยการส่งพระราชธิดาพระนามว่า สิริสิทธา ผู้มีพระเกศายาวสลวยและดำดังสีถ่าน มีผิวผ่องขาวเหมือนพระจันทร์ ดวงตาใสดั่งตากวาง ปากเรียวแดงอมชมพู เปรียบดั่งนางฟ้าก็มีปาน พระเจ้าช้างลายได้เห็นแล้ว ทรงละพระเนตรออกเลยมิได้ ทรงหลงพระราชธิดาของพระเจ้าเชียงใหม่จนลืมธิดาของพญาทะละ ผู้เป็นพระมเหสีอีกองค์ที่มาก่อน วันหนึ่ง พระมเหสีองค์นี้เกิดความหึงหวงหนัก จึงเรียกพระนางสิริสิทธาเข้าเฝ้า และตรัสให้เลิกยุ่งกับพระเจ้าช้างลายว่า “ขอให้พระนางทรงเลิกมีจิตเสน่หาต่อพระสวามีเราเถิด เรามาก่อนแล้วเราขอไว้ก่อน” พระนางสิริสิทธาทรงทราบความเกิดอาการไม่พอพระทัย ตรัสชี้พระพักตร์ว่า “ข้าเป็นถึงพระราชธิดาพระเจ้าเชียงใหม่ เหตุใดข้าจะต้องฟังคำของพระมเหสี ผู้เป็นลูกหลานนายกองช้างไทใหญ่ด้วย!” พระมเหสีเกิดบรรลุโทสะที่ถูกเหยียดหยามถึงพระบิดา จึงทรงบันดาลโทสะ ตบตีพระนางสิริสิทธาโดยลืมพระองค์ จนเมื่อพระเจ้าช้างลายทรงเห็น จึงทรงบรรลุโทสะ ผลักพระมเหสีและตบพระนางอย่างรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออกด้วยความแค้น พระมเหสีทรงกันแสง และเดินออกไปจากท้องพระโรง พระเจ้าช้างลายมิสนพระทัย ทรงนำเอาพระนางสิริสิทธาขึ้นมาอยู่ด้วยพระแท่นกับพระองค์เพื่อปลอบโยนพระมเหสีรองผู้งามดั่งนางฟ้า “อย่าคิดมากเลยน้องสิริ นางนี้มันก็แค่ร่านไปตามนิสัยของมันเอง หาใช่ความผิดของเจ้าไม่” พระนางสิริสิทธาทรงซบพระอุระพลางแย้มพระสรวลที่ได้ผลักไสอุปสรรคหนึ่งออกไปจากชีวิตนาง แต่กำลังจะเกิดอุปสรรคต่อพระราชสวามีแทน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่