27 วันกับภารกิจส่งชาวออสเตรียกลับบ้าน Amazing Thailand ที่เป็นข่าว ขอบคุณ 3 สาวไทยต่างแด นางฟ้า คุณครู และแม่บ้าน

วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2560

เวลา 14.32 หมวดนริศ จนท.ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลท่าเรือ โทรประสานเข้ามาขอความช่วยเหลือจากผม เมื่อ พ.ต.ท.พีรธรรม คำจร รองผกก.ป.สน.ท่าเรือ พบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาขอความช่วยเหลือที่ป้อมตำรวจหน้าวัดคลองเตยนอก แต่สื่อสารกันไม่เข้าใจชาวต่างชาติไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ รองผกก.ป.จึงสั่งการให้หมวดนริศโทรประสานขอให้ผมเข้าไปทำการพูดคุยเพื่อที่จะได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ผมก็ได้ทำการติดต่อบราเดอร์ Alex บาทหลวงชาวอิตาลีประจำศูนย์ Seafarer ให้มาช่วยเป็นล่ามอีกคน เพราะผมคิดว่าบราเดอร์น่าจะพูดได้หลายภาษา

ผลปรากฎชาวต่างชาติที่ขอความช่วยเหลือเป็นชาวออสเตรียพูดภาษาเยอรมันเป็นหลัก พอฟังเข้าใจภาษาอังกฤษนิดหน่อย การสื่อสารพูดคุยจึงมีปัญหา พอสื่อสารพูดคุยกันได้ แต่ข้อมูลจะได้ไม่ชัดเจนนัก สรุปข้อมูลเบื้องต้นได้ว่า ชาวออสเตรียรายนี้ชื่อนาย Klaus Schweigreiter อายุ 51 ปี เดินทางมาหาสาวไทยที่จ.สุรินทร์เพื่อที่จะแต่งงานด้วย แต่ถูกขโมยเงิน 5,000 ยูโร ที่เกาะสมุย เหลือเพียงพาสปอร์ตและโทรศัพท์มือถือที่ติดตัวกับเสื้อผ้าที่สวมใส่มาเท่านั้น ในพาสปอร์ตระบุเดินทางเข้าประเทศเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2560 กำหนดให้อยู่ถึงวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2560


ความพยายามในการช่วยเหลือ

- ผมได้พยายามโทรติดต่อสถานทูตออสเตรีย แต่เป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดทำการ ผมจึงไม่สามารถโทรติดต่อได้
- ผมโทรไปหาตำรวจท่องเที่ยวทางสายด่วน 1155 เพื่อให้ตำรวจท่องเที่ยวมารับตัว เพื่อทำการช่วยเหลือต่อไป แต่ตำรวจท่องเที่ยวบอกไม่สามารถทำการช่วยเหลืออะไรได้ จึงไม่มารับตัว บอกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจนท.ตำรวจสน.ท่าเรือไป
- ผมตั้งกระทู้ขอความช่วยเหลือ+ขอคำแนะนำที่พันทิป https://pantip.com/topic/36317438 สรุปคำแนะนำคือให้นำตัวส่งสถานทูตคงจบ
- ผมและนาย Klaus พยายามติดต่อบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในโปรแกรมโซเชียลมีเดียในมือถือทั้งไทยและเทศ โดยเฉพาะสาวไทยที่จ.สุรินทร์ อาทิ Line WhatsApp โดยทำการ connect wifi ของศูนย์ Seafarer ของผมและของหลวงพี่ต้น (พระจิรวัฒน์ นาคเนียม) จนในที่สุดสามารถผมสามารถติดต่อคนไทยที่จ.สุรินทร์จากโปรแกรม Line ได้ในช่วงเย็นใกล้จะมืดแล้ว คือ น้องชายของผู้หญิงที่ Klaus บอกกล่าวว่าจะมาแต่งงานด้วย

ผมได้ข้อมูลจากน้องชายผู้หญิงว่านาย Klaus น่าจะมีอาชีพเป็นทหารขับเฮลิคอปเตอร์ (ผมจึงนำข้อมูลนี้มาลงพันทิป) เดินทางเข้าประเทศมาหาพี่สาว โดยซื้อแหวนเพชรมูลค่า 50,000 บาทให้ และจะทำการจ่ายค่าซ่อมแซมบ้านให้ โดยน้องชายเป็นคนตีราคารอนาย Klaus โอนเงินมาให้ ผมจึงทำการแจ้งไปว่า นาย Klaus ยังไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ ถูกขโมยเงิน กลับประเทศไม่ได้ ขอพูดคุยกับพี่สาวของเขาหน่อย พอพี่สาวมารับสายครั้งแรก ก็พูดประมาณเพิ่งรู้จักกัน ไม่สนิทกัน พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถช่วยอะไรได้ (พี่สาวยังไม่ทราบว่าน้องชายพูดบอกอะไรกับผมบ้าง) ผมคิดว่าผู้หญิงคงไม่ช่วยอะไร การสนทนาจึงสิ้นสุดลงในระยะเวลาสั้นๆ

ตกลงช่วงเย็นวันที่ 8 เมษายน ตำรวจนำตัวนาย Klaus ไปที่สน.ท่าเรือเพื่อที่จะลงบันทึกประจำวันและรอนำตัวนาย Kluas ส่งสถานทูตออสเตรียในวันจันทร์ โดยผมจะเดินทางไปสมทบที่สถานีตำรวจเพื่อทำหน้าที่พูดคุยสื่อสาร (ผ่านกูเกิ้ล) ช่วงเย็นใกล้พลบค่ำ ผมเดินทางไปสถานีตำรวจท่าเรือ พบว่านาย Klaus อยู่บริเวณโต๊ะนั่งเล่นใต้ชายคานอกห้องปฏิบัติการ ซึ่งผมคิดว่าถ้านาย Klaus ต้องนอนตรงบริเวณนี้ คงจะไม่ดีแน่ๆ และถ้าขืนปล่อยนาย Klaus ทิ้งไว้ที่สน.ท่าเรือจนถึงวันจันทร์ ทั้งจนท.ตำรวจและนาย Klaus คงจะไม่ได้รับความสะดวกด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผมจึงเสนอกับจนท.ตำรวจว่าผมจะพาตัวนาย Klaus ไปนอนพักที่วัดคลองเตยนอกกับหลวงพี่ต้น ซึ่งจะทำให้ Klaus ได้รับความสะดวกในเรื่องที่พัก ที่กิน และที่อาบน้ำ

ผมโทรไปหาหลวงพี่ต้นที่อาศัยอยู่กุฎิเดียวกันกับเจ้าอาวาสวัดคลองเตยนอก เพื่อทำการขออนุญาตเจ้าอาวาสให้ความช่วยเหลือนาย Klaus ทางด้านที่พักชั่วคราวในคืนวันเสาร์และอาทิตย์ก่อนที่จนท.ตำรวจจะนำนาย Klaus ส่งสถานทูตในวันจันทร์ที่ 10 เมษายน ซึ่งเจ้าอาวาสก็ได้ทำการอนุญาต


วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2560

ช่วงเย็นวันอาทิตย์ พ.ต.ท.พีรธรรม คำจร รองผกก.ป.สน.ท่าเรือ มารับตัวนาย Klaus ไปทำการลงบันทึกประจำวันและทำหนังสือส่งตัวไปให้สถานทูตทำการช่วยเหลือต่อไป เมื่อจนท.ตำรวจทำหนังสือส่งตัวเสร็จ จนท.ตำรวจก็พาตัวนาย Klaus มาส่งเพื่อพักอาศัยที่วัดคลองเตยนอกอีกหนึ่งคืน



วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560

หมวดนริศมาทำการรับตัวนาย Klaus ไปส่งที่สถานทูตออสเตรีย ชั้น 18 ตึก Q.House ซึ่งผมก็คิดว่าเรื่องคงจบเรียบร้อย แต่พอช่วงประมาณเกือบเที่ยงผมก็ได้รับสายโทรศัพท์จากหมวดนริศแจ้งมาว่า ทางจนท.สถานทูตทำเรื่องรับเรื่อง แต่ไม่ได้ทำการรับตัว เพื่อทำการช่วยเหลือในเบื้องต้น อาทิ ที่พัก ค่าอาหารการกิน หรือไม่ได้คำแนะนำว่าต้องดำเนินการอะไร จนท.ตำรวจก็งงสิครับ

ผมก็ออกอาการงงแทบไม่เชื่อเหมือนกันว่าสถานทูตจะไม่ทำการรับตัวเพื่อช่วยเหลือ เพราะในขณะนั้นผมคิดว่านาย Klaus คือ ผู้เคราะห์ร้าย เป็นเหยื่อของอาชญกรรม ถูกขโมยเงิน ไม่มีเงิน ไม่มีที่พัก ไม่มีศักยภาพที่จะอยู่เพียงลำพังโดยปราศจากความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ทางจนท.ตำรวจหมวดนริศจึงนำตัวนาย Klaus ส่งกลับมาที่วัดคลองเตยนอก เพื่อให้ผมหาทางช่วยเหลือต่อไป จากการพูดคุยกับรองผกก.ป. ในวันอังคารผมจะลองนำตัวนาย Klaus ไปส่งที่สถานทูตอีกครั้ง

ช่วงเที่ยงผมได้โทรและไลน์ติดต่อนักข่าวช่อง 3 ท่านหนึ่ง ซึ่งนักข่าวก็ได้ให้เบอร์สารวัตรท่องเที่ยวมาให้ลองโทรไปคุยดู พอผมโทรไปสารวัตรก็ได้แจ้งกลับมาว่าตอนนี้ท่านถูกย้ายมาเป็นสารวัตรจราจร ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องแล้ว ผมก็ขอคำแนะนำว่าควรทำอย่างไร ท่านก็บอกให้โทรไปหาตำรวจท่องเที่ยวจัดการหรือแนะนำดีกว่า ผมก็โทรไป คำตอบที่ผมได้รับจากตำรวจท่องเที่ยวก็เหมือนเดิม คือ ตำรวจท่องเที่ยวไม่สามารถช่วยอะไรได้ และไม่มารับตัว ในช่วงเย็นผมได้ทำการติดต่อผ่านรายการตู้ปณ.ข่าว 3 เพื่อขอความช่วยเหลือผ่านทางหน้า facebook อีเมล์และโทรศัพท์ไป จนท.ของตู้ปณ.ข่าว 3 ก็โทรกลับมาพูดคุย ผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง สุดท้ายจนท.รายการก็ให้คำแนะนำว่าพาไปส่งสถานทูตก็น่าจะเรียบร้อย

ในระหว่างที่ผมทำการพูดคุยกับจนท.รายการตู้ปณ.ข่าว3นั้นนาย klaus ได้มานั่งข้างๆ ผม เป็นม้านั่งยาวตรงทางผ่านลงเรือข้ามฟาก นาย Klaus ได้วางมือถือข้างตัว มีผู้หญิงไทยที่จะโดยสารเรือ ได้มานั่งข้างๆ และหยิบมือถือ Samsung S7 ไป เมื่อผมคุยโทรศัพท์กับจนท.ของรายการตู้ปณ.ข่าว 3 เสร็จ นาย Klaus ก็บอกผมว่ามือถือหาย ผมก็ช่วยหาตรงบริเวณนั้นก็ไม่พบ แต่โชคดีที่บริเวณท่าเรือมีติดกล้องวงจรปิด ผมจึงทำการเปิดกล้องวงจรปิดย้อนดู ก็พบผู้หญิงที่หยิบมือถือไป ผมจึงทำการติดต่อให้ผู้หญิงคนนั้นซึ่งได้ทำการข้ามเรือไปแล้ว ผ่านทางญาติของผู้หญิงซึ่งผมรู้จักให้นำมือถือมาคืน

ถ้าผู้หญิงไม่นำมือถือมาคืน ผมจะแจ้งความให้ตำรวจจับ เพราะมีภาพหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ทางญาติผู้หญิงก็ได้ทำการติดต่อผู้หญิงไปและมาแจ้งให้ผมทราบว่าผู้หญิงจะนำมือถือมาคืน ท้ายสุดก็ได้มือถือคืน แต่ปลอก cover ได้ถูกโยนทิ้งน้ำไป โดยผู้หญิงอ้างว่าหลานชายอายุไม่กี่ขวบไม่รู้เรื่องถอดทิ้งน้ำ ส่วนตัวเขาไม่ได้ขโมย แค่เห็นว่ามีมือถือวางอยู่จึงหยิบไปเท่านั้น ในเมื่อได้มือถือคืนและผมตกปากรับคำเอาไว้แล้วว่าถ้าเอามือถือมาคืนผมจะไม่เอาเรื่อง เรื่องมือถือก็เลยจบแต่เพียงเท่านี้


วันอังคารที่ 11 เมษายน 2560

ผม หลวงพี่ต้นและนาย Klaus ได้เดินทางไปถึงสถานทูตในเวลาหลังเที่ยง จึงพบว่าสถานทูตปิดทำการเวลา 12.00 น. แต่นาย Klaus ก็ได้ทำการติดต่อจนท.ผ่านอินเตอร์คอม มีฝรั่งเดินมาเปิดประตูเล็ก แต่คนที่มาเปิดประตูเห็นหน้านาย Klaus ก็ปิดประตูใส่ในแทบจะทันที นาย Klaus ผมและหลวงพี่ต้นถึงกลับงงเป็นไก่ตาแตก แต่พวกผมก็เฝ้ายืนรอหน้าประตูเล็กเพื่อรอให้จนท.เดินออกมา ผมได้พูดผ่านอินเตอร์คอมกับจนท.คนไทยครั้งหนึ่ง ก็ถูกถามว่าผมมีความเกี่ยวข้องอะไรด้วย ผมก็บอกผมเป็นคนให้ความช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิกริยาใดๆ

ในระหว่างที่ยืนรอเกือบสองชั่วโมงเพื่อรอจนท.ออกมา เพื่อที่พวกผมจะเข้าไปพูดคุยเพื่อขอความช่วยเหลือให้นาย Klaus ผมก็โทรไปสายด่วนทำเนียบรัฐบาล 1111 เพื่อขอความช่วยเหลือโดยเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ทางจนท.ก็โอนสายกลับไปที่ตำรวจท่องเที่ยว เพราะคิดว่าเป็นเรื่องของหน่วยงานตำรวจท่องเที่ยว ซึ่งผมก็บอกไปแล้วว่าทางจนท.ตำรวจท่องเที่ยวไม่ได้ช่วยอะไร โทรไปแล้วไม่มารับตัว สุดท้ายจนท.สายด่วนรัฐบาลก็โอนสายไปที่ตำรวจท่องเที่ยว และก็เป็นจนท.คนเดิมที่มารับสาย ซึ่งจนท.ก็จำผมได้ทันที ผมบอกว่าผมอยู่หน้าสถานทูตแล้ว ไม่มีการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ผมไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว จนท.ตำรวจท่องเที่ยวก็เลยแนะนำให้ผมนำตัวนาย Klaus ส่งตม. (ตรวจคนเข้าเมือง) เพื่อที่จะให้ตม.ทำการผลักดันนาย Klaus กลับประเทศ (ในพาสปอร์ตกำหนดการให้อยู่ไทยถึงวันที่ 9 เมษายน 2560 เกินกำหนดแล้ว)

สุดท้ายความพยายามที่ยืนรอจนท.หน้าสถานทูตเกือบสองชั่วโมง ก็ประสบความสำเร็จในช่วงโค้งสุดท้าย เมื่อจนท.ฝรั่งที่เดินออกมาจากประตูเล็ก (น่าจะเข้าห้องน้ำ) ขากลับฝรั่งจะเดินเข้าประตูสถานทูต นาย Klaus ได้เดินตรงรี่เข้าไปเพื่อทำการพูดคุยอีกครั้ง จนท.ก็เริ่มพูดคุยและนำเอกสารมาให้นาย Klaus กรอก แล้วนาย Klaus ก็บอกว่าพรุ่งนี้ให้กลับมาที่สถานทูตอีกครั้ง พวกผมจึงเดินทางกลับ


วันพุธที่ 12 เมษายน 2560

เมื่อวานนี้ผมได้ทำความตกลงกับหลวงพี่ต้นหลังจากกลับจากสถานทูตว่า ในวันนี้ผมจะไม่ไปสถานทูตด้วย ผมขอให้หลวงพี่ต้นพานาย Klaus ไปที่สถานทูตตามที่นาย Klaus บอกไว้เมื่อวาน แต่ถ้าสถานทูตยังไม่ยอมทำการรับตัวหรือให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นหรือให้คำแนะนำใดๆ ผมก็ขอให้หลวงพี่ต้นพาตัวนาย Klaus ไปส่งที่ตม.ซอยสวนพลู ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับตึก Q.House เรื่องก็คงจะจบตามที่ตำรวจท่องเที่ยวแนะนำ พอช่วงประมาณเที่ยงหลวงพี่ต้นก็โทรมาบอกผมว่าสถานทูตเชิญให้หลวงพี่ต้นและนาย Klaus ออกมา ไม่ได้ช่วยอะไร หลวงพี่ต้นจึงพานาย Klaus ไปส่งที่ตม. โดยหลวงพี่ต้นเล่าให้ฟังว่า นาย Klaus จะถูกปรับในฐานที่อยู่เกินกำหนด 3 วัน 9 เมษยน-12 เมษายน วันละ 500 บาท เป็นเงิน 1,500 บาท ถ้าไม่มีค่าปรับก็จะถูกกักขังแทนค่าปรับ ไอ้ตัวกระผมก็นึกว่าเรื่องคงจบแน่ๆ งานนี้ ตม.คงผลักดันออกนอกประเทศแน่ๆ งานติดต่อสถานทูตก็คงเป็นเรื่องของตม. หลังจากนั้นหลวงพี่ต้นก็เดินทางกลับมาที่วัดเพียงคนเดียว

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่