คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
แด่...สมณะผู้เพียรละกิเลส
http://pantip.com/topic/32389620/comment7
พระสงฆ์ คือ ผู้ที่กำลังเดินทาง เดินทางเพื่อละกิเลส พระจะต้อง ละ ออกจากความอาย หน่าย จากความมี
ละออกจากความอาย เช่น โกนหัว โกนคิ้ว ( สังเกตได้จากทิดที่สึกใหม่ ต้องใส่หมวก ก็เพราะความอาย แต่ผู้ที่เป็นพระต้องละจากความอาย )
หน่ายจากความมี คือ เป็นพระจะต้องไม่มีสมบัติพัสถาน แม้แต่เสื้อผ้า เมื่อเป็นฆารวาสมีมากมายหลายชิ้น แต่เมื่อเป็นพระก็ต้องละให้หมด จะมีไว้ใช้เพียงแค่ ๓ ชิ้นเท่านั้น คือ สบง จีวร และสังฆาฏิ
ผ้าทั้งสามผืน ที่พระพุทธองค์ทรงหยิบยื่นให้ไปไว้ในปฐพี เป็นผ้าที่พาชีวิตหนีไปจากภัยมืดทั้ง ๓ คือ ภัยอันเกิดจาก อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ฉะนั้น พระจะต้องครองผ้าเพียง ๓ ผืนเท่านั้นเพื่อจะได้ระลึกถึงว่า “ ใครผู้ใดไม่ประจักษ์ไตรลักษณ์ ผู้นั้นย่อมไม่พ้นทุกข์ “ และการที่จะประจักษ์แจ้งในสิ่งเหล่านั้นได้ ก็ต่อเมื่อมีจุดเริ่มต้นจากการสอนใจตนเองโดยที่ทุกครั้งที่จะมีการครองผ้าไตรจีวรนี้ ให้ระลึกนึกเพื่อเตือนสติตนเองว่า
“ หยุดนะ....เราจะหยุดกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด....เราจะมีแต่ศีล สมาธิ และปัญญา “
ความรู้ทั้งหมดนี้ หลวงพ่อท่านเพียรพยายามปลูกฝังให้กับพระที่มาบวช โดยเฉพาะพระที่จะเป็น “พระพี่เลี้ยง “ หรือ “ พระคู่สวด “ ควรมีความรู้เหล่านี้เพื่อถ่ายทอดให้แก่พระที่มาบวชใหม่ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พระที่ท่านบวชไปนั้นก็มีอันต้องสึกออกไป ส่วนพระที่มีอยู่นั้น เวลาของการบวชก็ไม่เอื้ออำนวยให้ เพราะในเทศกาลก่อนการเข้าพรรษาจะมีผู้ที่มาบวชมากมาย
หลวงพ่อเล่าว่า สมัยก่อนวันหนึ่งท่านจะบวชให้เพียงรูปเดียวเพื่อที่จะมีเวลาให้อารมณ์แก่พระใหม่ได้อย่างเต็มที่ เริ่มตั้งแต่การมาขอบวช ท่านจะพูดคุยทั้งพ่อแม่ และผู้ที่จะบวชว่า
“ ท่านไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านสิ้นสุดจากการมีตระกูล ยกตระกูลของตนเองออกจากความรู้สึก “
และเมื่อผู้ที่มาขอบวชยกผ้าไตรจีวรที่อยู่บนพานขึ้นมา ท่านจะบอกให้เขาทำความรู้สึกว่า
“ ขณะนี้เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ตระกูลโคตรมะ “
เพราะท่านถือหลักว่า การเป็นพระ ต้องเป็นผู้ไม่มีเหย้าไม่มีเรือน ขณะที่เป็นพระ ต้องไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีสมบัติพัสถานใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะ.....
พระจะต้องมี พระพุทธเจ้า เป็นพ่อ
พระจะต้องมี พระธรรม เป็นนาย
พระจะต้องมี พระวินัย เป็นกรอบ
และพระจะต้องมี กิจเพื่อเดินทางสู่ความพ้นทุกข์....เท่านั้น
เมื่อท่านรับผ้าไตรจีวรนั้นและนำออกมา ท่านจะอธิบายให้แก่ผู้ที่มาบวชใหม่ทราบถึงความหมาย ที่มา และการใช้ผ้าสามผืน ตลอดจนความนึกคิดที่ควรจะกระทำ
ในวันบวช....พระพี่เลี้ยงจะต้องเป็นผู้ให้อารมณ์ โดยเริ่มจากพาพ่อนาคไปหลังพระประธานเพราะ “ คนหลังพระ “ คือคนที่ไม่รู้ธรรมะ เพื่อเป็นเคล็ดว่า ไปเพื่อทิ้งชีวิตที่ไม่รู้เรื่อง อันเป็นชีวิตทางโลกออกไป
จากนั้นพระพี่เลี้ยงจะถามว่า “ ท่านพร้อมที่จะออกจากตระกูลเก่าหรือไม่ “
เมื่อพ่อนาคตอบรับ พระพี่เลี้ยงทั้งสองก็จะนำผ้าเหลือง (สบง) มากางออก โดยจับไว้คนละมุมและยืนหันหลังชนกับพ่อนาค พร้อมกล่าวว่า
“ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ขอถึงซึ่ง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ในการช่วยดำรงจากคน ให้เป็นพระ ทางเพื่อละกิเลส “
++++++++++++++++++++++++++++++++++
ถ้าท่านไม่อนุโมทนาก็ไม่เป็นไรครับ แต่ คุณได้บุญอยู่แล้ว
http://pantip.com/topic/32389620/comment7
พระสงฆ์ คือ ผู้ที่กำลังเดินทาง เดินทางเพื่อละกิเลส พระจะต้อง ละ ออกจากความอาย หน่าย จากความมี
ละออกจากความอาย เช่น โกนหัว โกนคิ้ว ( สังเกตได้จากทิดที่สึกใหม่ ต้องใส่หมวก ก็เพราะความอาย แต่ผู้ที่เป็นพระต้องละจากความอาย )
หน่ายจากความมี คือ เป็นพระจะต้องไม่มีสมบัติพัสถาน แม้แต่เสื้อผ้า เมื่อเป็นฆารวาสมีมากมายหลายชิ้น แต่เมื่อเป็นพระก็ต้องละให้หมด จะมีไว้ใช้เพียงแค่ ๓ ชิ้นเท่านั้น คือ สบง จีวร และสังฆาฏิ
ผ้าทั้งสามผืน ที่พระพุทธองค์ทรงหยิบยื่นให้ไปไว้ในปฐพี เป็นผ้าที่พาชีวิตหนีไปจากภัยมืดทั้ง ๓ คือ ภัยอันเกิดจาก อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ฉะนั้น พระจะต้องครองผ้าเพียง ๓ ผืนเท่านั้นเพื่อจะได้ระลึกถึงว่า “ ใครผู้ใดไม่ประจักษ์ไตรลักษณ์ ผู้นั้นย่อมไม่พ้นทุกข์ “ และการที่จะประจักษ์แจ้งในสิ่งเหล่านั้นได้ ก็ต่อเมื่อมีจุดเริ่มต้นจากการสอนใจตนเองโดยที่ทุกครั้งที่จะมีการครองผ้าไตรจีวรนี้ ให้ระลึกนึกเพื่อเตือนสติตนเองว่า
“ หยุดนะ....เราจะหยุดกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด....เราจะมีแต่ศีล สมาธิ และปัญญา “
ความรู้ทั้งหมดนี้ หลวงพ่อท่านเพียรพยายามปลูกฝังให้กับพระที่มาบวช โดยเฉพาะพระที่จะเป็น “พระพี่เลี้ยง “ หรือ “ พระคู่สวด “ ควรมีความรู้เหล่านี้เพื่อถ่ายทอดให้แก่พระที่มาบวชใหม่ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พระที่ท่านบวชไปนั้นก็มีอันต้องสึกออกไป ส่วนพระที่มีอยู่นั้น เวลาของการบวชก็ไม่เอื้ออำนวยให้ เพราะในเทศกาลก่อนการเข้าพรรษาจะมีผู้ที่มาบวชมากมาย
หลวงพ่อเล่าว่า สมัยก่อนวันหนึ่งท่านจะบวชให้เพียงรูปเดียวเพื่อที่จะมีเวลาให้อารมณ์แก่พระใหม่ได้อย่างเต็มที่ เริ่มตั้งแต่การมาขอบวช ท่านจะพูดคุยทั้งพ่อแม่ และผู้ที่จะบวชว่า
“ ท่านไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านสิ้นสุดจากการมีตระกูล ยกตระกูลของตนเองออกจากความรู้สึก “
และเมื่อผู้ที่มาขอบวชยกผ้าไตรจีวรที่อยู่บนพานขึ้นมา ท่านจะบอกให้เขาทำความรู้สึกว่า
“ ขณะนี้เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ตระกูลโคตรมะ “
เพราะท่านถือหลักว่า การเป็นพระ ต้องเป็นผู้ไม่มีเหย้าไม่มีเรือน ขณะที่เป็นพระ ต้องไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีสมบัติพัสถานใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะ.....
พระจะต้องมี พระพุทธเจ้า เป็นพ่อ
พระจะต้องมี พระธรรม เป็นนาย
พระจะต้องมี พระวินัย เป็นกรอบ
และพระจะต้องมี กิจเพื่อเดินทางสู่ความพ้นทุกข์....เท่านั้น
เมื่อท่านรับผ้าไตรจีวรนั้นและนำออกมา ท่านจะอธิบายให้แก่ผู้ที่มาบวชใหม่ทราบถึงความหมาย ที่มา และการใช้ผ้าสามผืน ตลอดจนความนึกคิดที่ควรจะกระทำ
ในวันบวช....พระพี่เลี้ยงจะต้องเป็นผู้ให้อารมณ์ โดยเริ่มจากพาพ่อนาคไปหลังพระประธานเพราะ “ คนหลังพระ “ คือคนที่ไม่รู้ธรรมะ เพื่อเป็นเคล็ดว่า ไปเพื่อทิ้งชีวิตที่ไม่รู้เรื่อง อันเป็นชีวิตทางโลกออกไป
จากนั้นพระพี่เลี้ยงจะถามว่า “ ท่านพร้อมที่จะออกจากตระกูลเก่าหรือไม่ “
เมื่อพ่อนาคตอบรับ พระพี่เลี้ยงทั้งสองก็จะนำผ้าเหลือง (สบง) มากางออก โดยจับไว้คนละมุมและยืนหันหลังชนกับพ่อนาค พร้อมกล่าวว่า
“ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ขอถึงซึ่ง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ในการช่วยดำรงจากคน ให้เป็นพระ ทางเพื่อละกิเลส “
++++++++++++++++++++++++++++++++++
ถ้าท่านไม่อนุโมทนาก็ไม่เป็นไรครับ แต่ คุณได้บุญอยู่แล้ว
แสดงความคิดเห็น
ถ้าผมจะบวชทดเเทนพระคุณของพ่อ เเต่พ่อไม่สนใจจะมางานบวช อย่างนี้ผมจะได้บุญและตัดกรรมไหม