แม่โกงลูกมีจริงไหม ??

กระทู้คำถาม
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยค่ะ ว่านี่เป็นกระทู้แรกค่ะ
เรื่องของเราค่อนข้างยาวหน่อยนะคะ

อยากทราบว่า "แม่โกงลูก" มีอยู่จริงใช่ไหม ??
เรื่องราวที่เราประสบพบเจอ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอาไปเล่าบอกใครได้ เพราะพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งทำร้ายตัวเอง ใครจะเชื่อล่ะ ว่าแม่โกงลูกได้

ย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน.. ตอนนั้นดิฉันอายุ 19
ทำงานหาเงินดูแลครอบครัว(แม่และก็มีช่วยเหลือพี่น้องทางแม่ด้วย)แต่พ่อดิฉันเสียชีวิตไปนานแล้ว จนมีโอกาสได้ไปทำงานที่สิงคโปร์ตั้งแต่อายุ 20 ปี 1 เดือน ค่อนข้างประสบความสำเร็จในระดับนึง ที่คนมีการศึกษาน้อยและอายุเท่าดิฉันพอจะทำได้

การกระทำทุกเรื่องราวของดิฉันอยู่ในสายตาแม่ดิฉันทุกอย่าง เพราะจะต้องส่งเงินกลับบ้าน และนำเงินมาให้ครอบครัวทุกครั้งที่หามาได้ จนเราเริ่มอยู่กันได้อย่างไม่ลำบาก เริ่มพอช่วยเหลือญาติพี่น้องได้บ้างนิดๆหน่อยๆก็ยังดี

และ "ดิฉันได้ซื้อที่ดินประมาณ 2 งานไว้จากพี่ชายคนโตของแม่ดิฉัน(ลุง)" เมื่อประมาณปี 2552 ด้วยความไว้ใจ
และตั้งใจซื้อเพื่อช่วยเหลือแกยามเดือนร้อนเงิน(ในขณะนั้นพี่ชายแม่หรือลุงของเราป่วย โรคประจำตัวรุมเร้า เก๊า ความดัน เบาหวานจนบวมหมดทั้งตัวและหน้า เดินก็แทบไม่ไหว อีกทั้งมีหลานหญิงและชายอีกสองคน ยังเล็กอยู่ บ้านที่อยู่อาศัยก็ต้องส่งดอกเบี้ยธนาคาร มีรถตู้อยู่คันนึงก็ยังผ่อนไม่หมด มีลูกสามคนแต่ก็ไม่มีใครดูแลแกเลย ณ เวลานั้น) ส่วนที่ดินที่ขายให้เราเป็นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ ไม่มีโฉนดอะไรเลย ซื้อขายปากเปล่า ไม่มีแม้แต่กระดาษเขียนบอกกันว่าขายให้ฉันนะ หรือฉันซื้อแล้วนะ รู้กันในครอบครัวว่า โอเค ดิฉันเป็นผู้ซื้อแล้ว(ลูกสาวคนโตของลุงแกก็รํในเรื่องนี้)

ต่อมา.. และดิฉันเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวได้บ้าง ไม่ถึงกับมีฐานะหรือสุขสบายดีเลย แต่ด้วยความคิดดิฉันที่ว่าอยากอยู่กับแม่ได้ดูแลแม่ เพราะเมื่อก่อนจะได้แค่ส่งเงินมา หรือกลับมาแล้วให้ครอบครัวไปรับที่สนามบิน เอาเงินใส่ซองสีน้ำตาลให้และก็แยกย้ายกัน ดิฉันก็ต้องไปหาทำงานต่อ หาเงินต่อเลย

จนเมื่อปี 2553 ดิฉันลงทุนเปิดร้านอาหาร เป็นสวนอาหาร บรรยากาศดีมาก อยู่ติดชายเขา ธรรมชาติมาก(ในเมื่อบรรยากาศดีเลิศ การอยู่กับธรรมชาติ แน่นอนค่าดูแลรักษาสภาพก็ย่อมมากตามตัว) ช่วงเปิดตอนแรกดิฉันต้องให้แม่ทำเพราะรายได้ทางเดียวไม่ทันกัน **อธิบายนิดนึงค่ะ บ้านที่ดิฉันอยู่และสร้างอยู่บนที่สาธารณะประโยชน์ อยู่ในความดูแลของ อบต เป็นที่ไม่มีโฉนด(อีกแล้วเหมือนที่ๆซื้อต่อจากลุงเลย) ติดเขา และต่อมาดิฉันเริ่มกลับมาบริหารเองตั้งแต่ต้นปี 2554 มุ่งหน้าทำงานด้านร้านอาหารด้านเดียวเลย รายได้ไม่มากจนเหลือล้น แต่ก็สามารถดูแลครอบครัวได้(ในครอบครอบมีหลายคนค่ะ) ที่สำคัญที่สุดคือได้อยู่ดูแลแม่

ขอขยายความนิดนึงค่ะ ปัจจุบันแม่ดิฉันอายุ 60 ปี(เท่ากับปีนั้นแม่ดิฉันอายุ 54 ปี) ซึ่งการเลี้ยงดูของแต่ละคอบครัวต่างกันเนาะ ซึ่งในครอบครัวของดิฉัน แม่ของดิฉันจะปลูกฝังอยู่ตลอดเวลาและเน้นหลักๆแค่เรื่องเดียวคือ ต้องรีบทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ตอนนี้แม่ 50 กว่าแล้วอีกไม่เกิน สามปี เต็มที่ห้าปี ก็อยู่ไม่ถึงแล้ว มันจึงเป็นตัวเร่งให้ดิฉันทำทุกอย่างตะเกียกตะกายหาเงินเพื่อแม่ และกู้ฐานะครอบครัวให้แม่ทุกวิถีทาง ตามคำแม่บอก

ในส่วนของร้านอาหารนั้น ดิฉันไม่สามารถระบุจำนวนเงินลงทุนที่ชัดเจนได้ เพราะเป็นที่ธรรมชาติ บำรุงรักษา ก่อร่างสร้างมา เอาเป็นว่าไม่ต่ำกว่า 1,000,000 บาท **ในส่วนที่ฉันได้ลงทุน และลงทุนในส่วนเงินที่ดิฉันหามาทั้งหมด แต่เพียงผู้เดียว ประมาณนี้ค่ะ

เรื่องมันมีอยู่ว่า ตั้งแต่กลับมาอยู่ด้วยกันจริงๆ ดิฉันเริ่มรู้สึก สัมผัสได้ถึงบางอย่าง ว่ามีบางสิ่งมันไม่ใช่ ความรู้สึกข้างในมันคัดค้านว่า บางอย่างไม่เป็นความจริง มีหลายสิ่งบอกเหตุตลอดมา แต่ดิฉันพยายามหลอกตัวเอง(ซึ่งโดยนิสัยชีวิตจิตใจดิฉันเป็นคนร่าเริง สนุกสนานมาก สร้างเสียงหัวเราะให้คนรอบข้างได้เสมอ คือเป็นคนคิดบวก สดใสร่าเริงเลยล่ะค่ะ)

เมื่อปี 2557 ดิฉันไปรับลูกพี่สาวสองคนมาอยู่ด้วย เพราะไม่ต้องการให้แม่เหงา(พี่สาวต่างบิดาไม่ได้โตมาด้วยกัน) ดิฉันเองก็มีลูกชายคนนึงซึ่งไม่ได้อยู่ด้วยกัน เนื่องจากอยู่กับทางปู่ย่า และแม่ของดิฉันจะให้มาอยู่ตอนโตเลยทีเดียว เนื่องจากไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าดิฉันเคยมีลูก ทุกครั้งที่จะส่งเงินเลี้ยงดูลูก ดิฉันจะต้องแอบส่ง เพราะถ้าครั้งใดที่แม่ดิฉันรู้เราจะทะเลาะกันบ้านแทบแตกเลยทีเดียว ชนิดว่าไม่คุยกันอีกเป็นเดือนๆเลยล่ะค่ะ แต่ถ้ากลับกัน ดิฉันใช้จ่ายเลี้ยงดูหลาน(ลูกของพี่สาวต่างบิดา) แม่ดิฉันจะมีความสุขมาก และจะไม่พอใจจนออกอาการ ชนิดพูดจาว่า- เสียดสีแกดันเลย ถ้าดิฉันขัดใจหรือไม่เห็นพ้อง หรือไปตำหนิหลานทั้งสอง(ลูกของพี่สาวต่างบิดา)

ยิ่งนานวัน ดิฉันยิ่งเห็นถึงความชัดเจนในบางสิ่งที่จิตใจรู้สึกได้ถึงความไม่จริง เพราะแม่กับดิฉันทะเลาะกันแรงมากขึ้นทุกครั้งๆ ทั้งๆที่ดิฉันรับผิดชอบทั้งครอบครัว แต่ดิฉันไม่มีสิทธิ์อะไรเลย บ่อยครั้งถูกด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย หยาบโลน ต่ำๆ ต่อหน้าลูกน้อง(พนักงานร้านอาหารดิฉัน) ดูถูกด้วยวาจาและคำหยาบคาย ยิ่งถ้าพนักงานดิฉันคนไหนรู้มากขี้สงสัย ขี้สังเกตุ จะถูกไล่ออกทันที เรื่องจริงค่ะ

ในขณะนั้น ดิฉันรู้มานานแล้วว่ามีการยักยอกเรื่องเงิน การไม่ตรงไปตรงมาเรื่องบิลร้านอาหาร ทุกเรื่องที่หมกเม็ดได้ ซึ่งดิฉันเองก็ไม่อยากติดใจอะไร เพราะเราเองก็รู้ถึงพื้นฐานจิตใจคนในครอบครัว แต่ระยะหลังแม้แต่พนักงานก็พูดบ่อย ยังไงซะนั่นก็แม่ดิฉัน และดิฉันจะไม่ให้ใครมารู้จุดอ่อนของธุรกิจและครอบครัว อย่างน้อยก็เพื่อป้องกันตนเอง ปกป้องรักษาสภาพการทำธุรกิจ

ครั้งหนึ่งทะเลาะกันแรงมาก ที่จริงเหตุผลคือดิฉันกลับมาจากข้างนอก มาทันรู้เห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติทางการเงินอีกแล้ว แม่เริ่มหงุดหงิด ด่าดิฉันต่อหน้าลูกน้อง และมีลูกค้าเยอะมาก ดิฉันยกมือไหว้เป็นสิบครั้ง ขอให้หยุดให้พอก่อน แต่เรื่องไม่จบ จนถึงขั้นตบตีกัน
อย่างไรก็ตามการประกอบการ ทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ต้องแยกแยะเรื่องต้นทุนหรือผลกำไร มิเช่นนั้นจะไม่สามารถบริหาร จัดการ ในธุรกิจหรืองานนั้นๆได้

ต่อมาเมื่อดิฉันปรึกษาและเริ่มคุยเรื่องรับจ่ายภายในร้านกับแม่ ว่าเกิดปัญหาที่ผ่านมาเกือบครึ่งปีหลังเกิดรายจ่ายสูงกว่ารายรับมากจนเห็นเด่นชัด
เป็นการคุยเหมือนปรึกษากันในครอบครัว แต่ไม่เป็นอย่างที่คิดหรือตั้งใจที่ต้องการจะปรึกษาหรือแจ้งเป็นในๆ ว่าสถาณภาพการเงินของร้านอาการหนักขึ้น กลับกลายเป็นว่าดิฉันถูกแม่ใช้ไม้(ประมาณด้ามไม้กวาดใหญ่กว่านิดหน่อย)ตี ตีฟาดที่หัวที่หน้าอย่างทารุณ(คือดิฉันปัจจุบันอายุ 29 ปี แต่ใช้คำว่าฟาดตีอย่างทารุน ก็คิดภาพตามเลยนะคะว่าทารุน) คือเจตนาแม่จะตีฟาดที่คอ แต่พลาดไปตีที่จุดทัดดอกไม้ ตรงกกหูดิฉัน ฟาดกระหน่ำตีซ้ำๆๆๆๆๆ ตีโดยที่ดิฉันไม่โต้ตอบหรือแม้แต่ป้องกันตัว **ตีจนแขนช้ำเขียวม่วงใหญ่มาก ดิฉันเริ่มเจ็บ จึงหันไปมองหน้าแม่ แต่แม่จิกหัวดิฉันขึ้นค่อมตบ จิกหัวขึ้นคร่อมตบจริงๆนะคะ มีคนมาห้าม แม่ลุกขึ้นมาผมดิฉันติดที่มือเป็นกำๆ กดหน้าดิฉันถูกับถนนหินลูกรัง การกระทำไม่เหมือนที่มารดาพึงกระทำต่อบุตรเลยค่ะ

เรื่องราวซาไปสักพักหนึ่ง..

ดิฉันได้นึกถึงที่ๆซื้อไว้ จึงบอกแม่ว่าจะนำเสาไปปักเขตที่นะ เพราะที่ไม่มีโฉนด ข้างๆที่ก็เริ่มรุกมาจะครึ่งที่แล้ว(ที่เล็กๆตามประสาบ้านนอก ที่ไม่ถึงไร่ด้วยซ้ำค่ะ)

ใครจะคิดล่ะว่ามันจะเป็นเหตุจุดชนวนได้ขนาดนี้

แม่บอกดิฉันว่า ไม่ต้องมายุ่งที่ตรงนั้น ไม่ต้องยิ้ม ดิฉันนี่อึ้งงงไปเลย ดิฉันบอกแม่ไปว่าแต่นั่นดิฉันได้ซื้อไว้จากน้ำพักน้ำแรงตอนที่ดิฉันทำงานไว้เลยนะ แม่ดิฉันโมโหมากค่ะ อารมณ์ขึ้นใหญ่ แกบอกงั้นกูไม่ให้ทำร้านอาหาร กูปิด และก็ปิดจริงๆ หตุเพราะบ้านแม่จะควบคุมประตูเปิดร้าน ดิฉันยุ่งไม่ได้ เพราะบ้านคนละหลังในที่เดียวกันค่ะบ้านดิฉันอยู่ข้างใน

อีกนิดค่ะลืม พี่ชายคนโตแม่ที่ขายที่ให้
มาพูดใส่หน้าดิฉันว่า กูจะให้การกับตำรวจ ว่ากูไม่ได้ขายที่ให้ กูขายให้แม่ คือไม่อยากจะเชื่อคนที่เคยบูชาเราวันที่เรามีเงิน คนที่เราเคยสงสารเห็นใจเขา คนนี้หรอนี่ ทั้งที่ดิฉันร้องบอกว่า ที่นั้นดิฉันซื้อแล้ว จ่ายเงินสดลุงไปแล้วนี่นา ดิฉันแค่จะเอาเสาปักเขต สลักชื่อลูกชายมาปักไว้เท่านั้น เพราะที่มันไม่มีเอกสารสิทธิ์ใดๆ เผื่อสิบปียี่สิบปี อนาคตไม่มีใครรู้ ก็ยังสร้างบ้านให้ลูกดิฉันอยู่อาศัยได้บ้าง(เพราะแม่ดิฉันระยะหลังยื่นคำขาดไม่ให้ลูกดิฉันมาอยู่ ทั้งๆที่บ้านดิฉัน ร้านอาหารดิฉัน สร้างและลงทุนไว้ด้วยตัวดิฉันเอง

กลับกลายเป็นเรื่องเป็นราว แม่ดิฉันแจ้งตำรวจมาให้มาขับไล่ฉัน ขึ้นโรงพักจนดิฉันอายมาก เพราะตำรวจรู้จักฉันหมด

จนผ่านพ้นมาสามเดือนที่ปิดร้าน ดิฉันออกมาอยู่ข้างนอกสามเดือนแล้วด้วย ดิฉันกลับไปเอาเอกสารที่บ้าน พบร้านเปิด ดิฉันถามแม่ว่าทำไมทำแบบนี้ ดิฉันทำอยู่มาทำลายอาชีพลูกทำไม แต่แม่กลับตอบว่า

มันหมดเวลาของแล้ว(พูดกันดื้อๆง่ายๆเลย) แถมยังบอกอีกว่าไปเล่าบอกใครก็ไม่มีใครเขาหังเชื่อหรอก สู้กูไม่ได้หรอก ยังไงก็แพ้กู เพราะฉะนั้นออกไปซะดีๆ ดิฉันเลยถามว่าแล้วแม่มาปิดอาชีพดิฉันทำไม กลับได้คำตอบจากลุงพี่ชายแม่ว่า มันก็เป็นแผนขจัดคนที่ไม่ต้องการออกไง

ดิฉันมีแต่ความแค้นสุมเต็มหัวใจ มันบอกไม่ถูกเลยค่ะ ทั้งแค้นทั้งโกรธ อธิบายได้เพียง ในการนอนหลับ ทุกๆความฝันของดิฉันมีแต่ความโกรธแค้น ทะเลาะ ด่าว่า ถูกตบตี อยู่ทุกครั้งที่ฝัน แม้แต่นอนกลางวัน

สุดท้ายพ่อของหลานสองคน(ลูกพี่สาวดิฉัน) ก็กลับมาทำร้านอาหารนี้แทนดิฉันไปเลย หรืออดีตพี่เขยดิฉัน เพราะพี่สาวดิฉัน(แม่ของหลาน)ได้มีแฟนใหม่หรือสามีใหม่ไปแล้ว และไอ้อดีตพี่เขยคนนั้น ก็เคยพยายามลวนลามจะข่มขืนดิฉันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อตอนที่พี่สาวท้องลูกคนแรกแล้วกลับมาอยู่กับแม่และดิฉัน ซึ่งเรื่องนี้แม่ดิฉันรู้ดี เพราะในตอนนั้นดิฉันอายุเพียง 12 ปี มันจึงเป็นความรู้สึกที่เกลียดชังขยะแขยงมาก คือทั้งหมดในชีวิตที่ดิฉันตะเกียกตะกายทำทุกอย่างทุกทางหาเงินมาเพื่อสร้างอนาคตให้ตัวเอง กลายเป็นของคนอื่น แถมถูกประนามว่าอกตัญญู เลวทราม  ชั่วช้า และขับไล่ออกมาอย่างหมาตัวนึง

ดิฉันออกมาแต่ตัวกับเงินเพียงร้อยกว่าบาท คือดิฉันผิดพลาดในชีวิต เป็นหนี้เสีย จยถูกคำสั่งศาลยึดทรัพย์ จึงทำธุรกรรมเป็นชื่อแม่หมด จดทะเบียนประกอบการ หรือรถ หรือทุกสิ่ง คือถามว่าทุกคนแหละค่ะ ใครที่คุณไว้ใจที่สุดในชีวืต ต้องเป็นพ่อแม่อยู่แล้วค่ะ

คืองงมากค่ะ จึงอยากรู้ว่า มีใครเคยเจออะไรแบบนี้บ้างไหมคะ

มีใครเชื่อบ้างว่าเหตุการณ์แบบนี้มีอยู่จริง

มีมั้ยคะ เรื่องราวแบบนี้ จขกท ยืนยันว่าทุกตัวอักษรคือเรื่องจริง ไม่ใช่นิยายน้ำเน่า ไม่ได้ว่างมากจนเพ้อเจ้อ ไม่ใช่เรื่องที่วิตกจริตคิดไปเอง

เรื่องราวเลวร้ายที่เกิดจากคนที่เรียกตนว่าแม่ ที่ดิฉันเจอมันมากมายจนล้นปรี่ นี่แค่เรื่องที่เกิด ณ ปัจจุบัน ตอนนี้เฉยๆค่ะ



ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่