แบ่งปันประสบการณ์ เมื่อผมถูกคนรักบอกเลิกในวันที่ผมกำลังจะขอเธอแต่งงาน

แค่อยากแบ่งปันครับ ใครมีความคิดเห็นอะไร รบกวนแนะนำหรือแชร์ได้เลยนะครับ
   จขกท.อายุ 30 ต้นๆ ทำงานเอกชน ซื้อบ้านและรถด้วยเงินของตัวเอง เก็บเงินสินสอดและค่างานแต่งทุกอย่างด้วยเงินของตัวเองแม้ตอนนี้เงินที่เก็บมาจะไม่ได้ใช้ตามจุดประสงค์นั้นแล้วก็ตาม พื้นฐานครอบครัวไม่รวยแต่เพราะเห็นแม่ลำบากแต่เด็ก เลยหางานดีๆทำและรู้จักเก็บเงินจนสร้างตัวเองได้ในระดับนึง โดยส่วนตัวไม่โรแมนติก ไม่ใช่เป็นผู้ชายหวานอะไร แต่ถ้าคบใครจะคบคนเดียวและจริงจังครับ
   แฟน จขกท. อายุ 30 ทำงานราชการทางด้านการแพทย์ รายได้น้อยกว่าผม 3 เท่า การศึกษาดี Profile ok  และครอบครัวมีฐานะกว่าผมหลายเท่าซึ่งตอนแรกที่คบกัน ผมไม่ทราบ เห็นว่าน้องเค้าน่ารักดีและเพื่อนเราก็รู้จักเลยให้เพื่อนติดต่อให้และคบกันเรื่อยประมาณ 5 ปี ครับ สมมติชื่อ A

เริ่มต้นด้วยความเข้าใจ
   ผมกับ A ตอนแรกที่เราคบกันก็คงเหมือนคู่รักอื่นๆทั่วไป คือเราเข้ากันได้ดีมาก ผมดูแลเค้าได้ดีในระดับนึงส่วนแฟนผมก็เป็นกำลังใจ ให้คำปรึกษาและดูแลผมดีมากๆ ตัวผมเองก็คบผู้หญิงมาบ้างพอสมควรแต่คนนี้คือ Click ที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอ ความรู้ หน้าตา โดยเฉพาะเป็นผู้หญิงที่ไม่งี่เง่าเลย ไม่เคยจะมีเรื่องทะเลาะกันข้ามวัน ปีนึงทะเลาะกันแค่ 2-3 ครั้ังเท่านั้นเองและไม่มีอะไรรุนแรง เธอเป็นคนที่ทำให้ผมคิดอยากจะพัฒนาตัวเองเพื่อให้ผมมีความสามารถมากพอที่จะดูแลเธอได้ ครอบครัวผมเองก็ยอมรับในตัวแฟนผมมากๆหลังจากคบกันได้ประมาณ 2 ปี ผมเองก็บอกกับครอบครัวผมว่า คนนี้แหละคือคนที่ผมจะแต่งงานด้วย และก็บอกกับแฟนที่คบว่าผมขอเก็บเงินสร้างเนื้อสร้างตัวซักระยะถ้าพร้อมผมจะบอกและอยากให้เค้ารู้ไว้ว่าผมเองอยากสร้างอนาคตร่วมกับเค้า หลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนจะปกติเราก็ยังคบกันด้วยดีเสมอมา ขอบอกก่อนนะครับว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันเวลาออกมาเจอกัน ผมจะไปรับน้อง A ที่บ้านและไปส่งทุกครั้ง จนคบได้ซักระยะนึงผมเองก็เริ่มอยากจะเจอครอบครัวของแฟนบ้าง โดยทุกๆช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ผมจะซื้อผลไม้ไปฝากที่บ้านแฟนเสมอและทุกๆครั้งที่ผมไปผมจะบอกก่อนล่วงหน้าทุกครั้ง แต่เชื่อไหมครับ ครอบครัวเค้าไม่เคยอยู่ให้ผมไหว้แม้ผมจะนัดไว้แล้วก็ตาม เป็นแบบนี้ตลอดซึ่งเรื่องนี้แม่ผมก็ถามว่าไปเจอพ่อแม่เค้าเป็นไงบ้าง ตัวผมเองก็ต้องโกหกแม่ไปว่าไม่มีอะไร เค้าก็ดีแม่ ไม่กล้าบอกว่าเค้าไม่อยู่ให้เจอกลัวแม่ไม่สบายใจ แต่ผมเองก็ไม่ถือเป้นประเด็นเอามาคิด เพราะเฉพาะตัวแฟนผมเองเธอนั้นยังคงดีกับผมมากๆอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้บางครั้งมันออกจะน่าเบื่อบ้างหลังคบไปนานๆ แต่ผมก็ยังรักในความดีของเธอ

จุดเปลี่ยน
    มีอยู่ครั้งนึงผมมีความจำเป็นต้องไปส่งเธอที่บ้านเกิดเธออีกหลัง ในต่างจังหวัดทำให้ผมพบว่าจริงๆแล้ว ครอบครัวเธอรวยมากๆจนผมเทียบไม่ติดเลย ผมได้มีโอกาสพบป้าและน้าของเธอที่รีสอร์ทของครอบครัวเธอ ซึ่งพอญาติผู้ใหญ่เธอเห็นผมก็เค้ามาสืบสวนผมใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือครอบครัว ซึ่งผมเองก็ตอบไปตามความจริง โดยเฉพาะป้าเธอเวลาที่อยู่กับผมสองคนและแฟนผมไม่ได้อยู่ด้วย คำถามแรกที่ถามคือ ผมเงินเดือนเท่าไหร่เยอะหรือเปล่า ซึ่งผมคิดว่าเสียมารยาทมากเพราะยังไม่สนิทกันพอที่จะถามคำถามแบบนี้ แต่ผมก็ตอบไปตามความจริง แะผมเองก็ไม่ได้บอกแฟนเพราะกลัวเธอไม่สบายใจ ตอนนั้นผมบอกตรงๆว่าผมไม่ชอบมารยาทของญาติเธอเท่าไหร่ แต่ผมเองก็เลือกที่จะมองผ่านและเก็บมันไว้ มันคงไม่มีคู่รักไหนหรอกที่ความรักจะโรยด้วยกลีบกุหลาบมาตั้งแต่ต้นจริงไหมครับ ผมได้มีโอกาสไปที่รีสอร์ทเธออีก 2-3 ครั้ง โดยพาครอบครัวผมไปด้วยรวมทั้งยายผมที่เป็นอัลไซเมอร์เพราะอยากให้ยายแกได้เปิดหูเปิดตา และอยากให้พ่อแม่ผมและญาติๆแฟนผมได้รู้จักกันไว้ทำความคุ้นเคยกันไว้ก่อน ทุกครั้งที่ไปพักผมจ่ายค่าที่พักราคาเต็ม ไม่มีโปรโมชั่นและส่วนลดใดๆทั้งสิ้น ส่วนครอบครัวเค้าก็น่ารักซื้อของฝากมาฝากผมก่อนกลับเสมอ แต่มีอยู่ครั้งนึงที่พ่อแม่ผมซื้อของไปฝากครอบครัวแฟนผม แต่ทางน้าเค้าไม่เอา บอกว่าเอามาให้ก็ไม่มีใครกินเอากลับไปเถอะ พ่อกับแม่ผมหน้าเสีย ผมเองก็อึดอัดใจ แต่ผมก็เลือกเก็บมันไว้เพราะไม่อยากสร้างความลำบากใจให้แฟน ปัญหาต่างๆหรือคำต่อว่าของแม่ผมต่อพฤติกรรมบางอย่างของครอบครัวเค้า ผมรับไว้เองคนเดียว ไม่บอกแฟนกลัวเค้าไม่สบายใจ พอเข้าปีที่ 4 ที่คบกันแฟนผมมีท่าทีเปลี่ยนไป เช่น ถ่ายรูปคู่กันน้อยลง แฟนผมไม่ค่อยรับ Tag facebook จากผม รวมถึงไปหาญาตืเค้าบางคนเค้าจะแนะนำว่าผมเป็นเพื่อนไม่มีคำว่าแฟนหลุดจากปาก แต่ A ก็ยังดูแลผมดีอยู่และเราก็แทบไม่เคยทะเลาะกันเหมือนเดิม

เค้าลางหายนะเริ่มปรากฎ
     เมื่อปีที่แล้วช่วงปลายปีผมเก็บเงินได้ครบตามเป้าที่ตัวเองตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นสินสอด และเงินจัดงานแต่งผมจึงเริ่มคุยกับแฟนเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะผมต้องให้แฟนแต่งบ้านซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน เราเคยคุยกันแล้วว่าเรื่องแต่งบ้านผมจะตามใจเค้าเลยเอาเต็มที่ แต่หลังจากที่ผมเริ่มคุยเรื่องแต่งงานแบบจริงจังดูเธอเริ่มอึดอัด ทั้งๆที่แต่ก่อนดูเธออยากแต่งและพูดถึงอนาคตเสมอ กลายเป็นว่าเธอรับปากส่งๆไปว่าขอคุยกับแม่ก่อนแล้วได้เรื่องยังไงจะมาบอก แต่เธอมีแง้มๆมาว่า ทางครอบครัวเธอกังวลเรื่องยายผมที่เป็นอัลไซเมอร์จะเป็นภาระที่เธอต้องมารับผิดชอบด้วย ครอบครัวกลัวเธอจะลำบากที่อาจจะต้องมาช่วยดูแลคุณยายผม ผมได้ยินยอมรับว่าโมโหแต่ก็ข่มใจไว้ นั่นยายเราทั้งคนเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก ผมคงทิ้งไม่ได้ แต่ผมก็บอกเธอว่าไม่ต้องกังวล ผมดูแลยายผมได้ ไม่ต้องมาลำบากกับยายผม ครอบครัวผมมีเงินพอที่จะเลี้ยงยายและลูกหลานยายมีหลายคน ครอบครัวผมเองไม่ได้รับทั้งหมดซะหน่อย และเราเองแยกออกมาอยู่กัน 2 คน ไม่เห็นต้องกังวลอะไร เธอพูดทิ้งท้ายไว้ว่าผมไม่เคยมีลูกสาวผมเองไม่เข้าใจหรอก ครอบครัวเค้าเลี้ยงดูลูกหลานมาอย่างดี ทำให้การสนทนาเรื่องแต่งงานวันนั้นจบลงแบบเซ็งๆ แต่ตัวผมเองก็ยังคบกับแฟนผมปกติไม่ได้โกรธอะไรเธอ จนช่วงต้นปี ผมคุยเรื่องแต่งงานจริงจังอีกครั้งเพราะผมเองก็ถึงเกณฑ์อายุที่จะมีครอบครัวแล้ว แม่ก็ถามแล้วว่าเมื่อไหร่จะให้แม่ไปขอแฟนล่ะ แต่คำตอบที่ได้รับจากแฟนคือเค้าไม่พร้อม ตอบไม่ได้ว่าพร้อมเมื่อไหร่ สุดท้ายมีทะเลาะกันนิดหน่อย ผมทิ้งท้ายไว้ว่าผมมั่นใจว่าผมดูแลเค้าได้ แต่ไม่เป็นไร ถ้า A พร้อมเมื่อไหร่ให้บอกผมแต่ตัวผมนั้นพร้อมเสมอ ต่อจากนี้ไปผมจะไม่พูดเรื่องอนาคตของเราอีกจะได้ไม่ทะเลาะกัน แต่ตัวผมเองนั้นก็มี timeline ตรงนี้ เราสองคนไม่ใช่เด็ก การคบกันมันต้องมีจุดหมายไม่ใช่คบไปวันๆ เค้าบอกว่าเค้าเข้าใจแต่เค้ายังให้คำตอบผมไม่ได้ ผมบอกว่า ผมจะรอเท่าที่รอได้แล้วกัน

จุดจบ
     หลังจากนั้นเรายังคงไปเที่ยวและคุยกันปกติ แต่ผมไม่คุยเรื่องแต่งงานหรือจะเข้าไปพบพ่อแม่เธออีกเลย ประมาณ 1 เดือนจากนั้นเธอโทรเข้ามาหาผมตอน 2 ทุ่ม และร้องไห้พร้อมทั้งบอกว่า เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ ไม่เกี่ยวกับครอบครัว  ไม่เกี่ยวกับมือที่สาม  และผมไม่ได้ผิดอะไร แต่ A อยากจะขอเลิกกับผมเพราะเธอไม่พร้อมใช้ชีวิตครอบครัวกับผม เธอไม่ได้รักผมเหมือนเดิม เธอจืนตนาการอนาคตครอบครัวกับผมไม่ออก พร้อมทั้งพรั่งพรูอะไรอีกมากมายพร้อมเสียงร้องไห้เธอยังคงก้องในหูผม ผมจำไม่ได้ว่าเธอพูดอะไรบ้างเพราะผมช็อคกับสิ่งที่เธอพูด ทุกสิ่งที่ผมหวังพังทลายลงแบบไม่ตั้งตัว หลังเธอพูดจบผมตอบเธอไปว่า ผมเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของเธอ น่าเสียดายที่เราไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันตามที่ฝันไว้แต่ไม่เป็นไร ผมยังคงเป็นพี่และเป็นคนที่หวังดีกับเธอเสมอ หวังว่าเธอจะเจอคนที่ดีกว่าผม จากนั้นผมก็วางสายเธอไป  จากนั้นผมก็ไม่เจอเธออีกเลย ผมมีโทรไปบ้างเพราะเป็นห่วงแต่ไม่บ่อย และปัจจุบันไม่โทรแล้วผมยังคงเก็บความรู้สึกดีๆกับผู้หญิงคนนี้ไว้เสมอ เพราะเค้าเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมคิดจะใช้ชีวิตร่วมด้วย

จนบัดนี้ผมยังไม่กล้าฟันธงว่าเธอเลิกกับผมเพราะอะไร เป็นเพราะครอบครัวเธอหรือเธอหมดรักผมจริงๆแบบที่เธอพูด
แต่ถึงรู้ไปมันก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะในเมื่อตอนสุดท้าย จุดจบมันก็คงเหมือนกันอยู่ดี
แปลกนะ ผมอ่านความรักของหลายๆคู่ที่จบกัน มันเกิดจากความไม่เข้าใจ นอกใจ นิสัยเข้ากันไม่ได้ แต่สำหรับคู่ผมไม่มีเรื่องเหล่านั้นเลยแต่มันก็จบอยู่ดีแบบ งงงง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่