((มาลาริน)) ^_^ ประชารัฐตามแนวทางไทยแลนด์ 4.0 👉 คนไทยเฮ สยามไบโอไซเอนซ์จับมือม.มหิดลทำยาถูกลดการนำเข้ายาราคาสูง

เรื่องดีๆในวงการยาที่คนไทยควรรับทราบ..นานาโอเคปักหมุด

ติดตามข่าวค่ะ...👇👇👇

💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉
สยามไบโอไซเอนซ์จับมือมหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาไบโอฟาร์มา ลดนำเข้ายาราคาสูงจากต่างประเทศ เพิ่มจำนวนผู้ป่วยไทยให้ได้ใช้ยาคุณภาพระดับโลก เดินหน้าวิจัยสร้างนวัตกรรมยาต่อเนื่อง ร่วมมือคิวบาผลิตไบโอฟาร์มาสำหรับโรคมะเร็ง และโรคแพ้ภูมิตนเอง ส่งออกทั่วโลก เชื่อมั่นผลิตยาใช้เองในประเทศ ช่วยดูแลสุขภาพของคนไทยให้เข้าถึงยาได้มากขึ้น และเพิ่มความมั่นคงด้านยาของไทย

นายอภิพร ภาษวัธน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เปิดเผยในโอกาสต้อนรับนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา และคณะ เยี่ยมชมโรงงานฯ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2560      ว่า อุตสาหกรรมไบโอฟาร์มา เป็นอุตสาหกรรมที่นำเทคโนโลยีชีวภาพชั้นสูงมาประยุกต์ใช้ในการวิจัยพัฒนาและผลิตยา เวชภัณฑ์ และเวชสำอาง โดยมีกลไลการออกฤทธิ์เลียนแบบการทำงานของร่างกาย ซึ่งต่างจากการใช้เทคโนโลยีทางเคมีหรือสารเคมี ที่มักส่งผลข้างเคียงต่อผู้ป่วย ผลิตภัณฑ์ไบโอฟาร์มา จึงมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง อีกทั้งเป็นที่ต้องการของตลาดสำหรับการใช้รักษาโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคแพ้ภูมิตนเอง โรคไต โรคเบาหวาน เป็นต้น ปัจจุบัน มีมูลค่าตลาดโลกสูงถึง 8 ล้านล้านบาทต่อปี และอัตราการเติบโตสูงกว่าร้อยละ   10 ต่อปี ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทยมีการใช้ไบโอฟาร์มารวมทั้งสิ้นกว่า 16,000 ล้านบาท ซึ่ง         ที่ผ่านมา ล้วนเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ และมีราคาสูง ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ได้จำกัด เพียง  ร้อยละ2 หรือประมาณ 100,000 ราย จากจำนวนผู้ป่วยทั้งสิ้นกว่า 5,000,000 ราย

ดร.ทรงพล ดีจงกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด กล่าวว่า บริษัท สยามไบโอ        ไซเอนซ์ เกิดจากความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดลในรูปแบบประชารัฐตามแนวทางไทยแลนด์ 4.0 

เป็นโรงงานผลิตไบโอฟาร์มาอย่างครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยได้รับมาตรฐานรับรองคุณภาพระดับโลก       มีผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายแล้ว 2 รายการคือ ยาบำบัดภาวะเลือดจางในผู้ป่วยโรคไต และยาบำบัดภาวะเสี่ยงการติดเชื้อในผู้ป่วยมะเร็ง การผลิตยาดังกล่าวได้เองในประเทศ ส่งผลให้ยานำเข้าจากต่างประเทศ 2 รายการนี้มีราคาลดลงมากกว่าร้อยละ 50 และช่วยประหยัดงบประมาณของประเทศได้กว่า 3,000 ล้านบาท ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาอีกทั้งเพิ่มจำนวนผู้ป่วยให้เข้าถึงยา 2 รายการนี้กว่า 1 เท่าตัว

เร็วๆ นี้ สยามไบโอไซเอนซ์ จะนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ได้ทำร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล "จากหิ้งสู่ห้าง" โดยจะออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลรักษาแผลกดทับในผู้สูงอายุ และต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผิว และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผม รวมทั้งจะร่วมมือกับพันธมิตรในต่างประเทศวิจัยและพัฒนาไบโอฟาร์มาสำหรับช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด

นอกจากนี้ สยามไบโอไซเอนซ์ จะมีข้อตกลงความร่วมมือกับ Center of MolecularImmunologyประเทศคิวบา ในการผลิตไบโอฟาร์มาสำหรับโรคมะเร็ง และโรคแพ้ภูมิตนเอง อีก 6 รายการ เพื่อส่งออกทั่วโลก โดยมีมูลค่าตลาดทั่วโลกรวมกว่า 1 ล้านล้านบาท สำหรับประเทศไทยมีผู้ป่วยไทยที่ต้องการยา 6 รายการนี้มากกว่า 1,000,000 ราย แต่สามารถเข้าถึงได้เพียง 2,000 ราย เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงถึงปีละ 1,000,000 บาทต่อคน ทำให้ผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถจะได้รับการรักษาด้วยยากลุ่มนี้ได้  คาดว่าหากบริษัทสามารถนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกสู่ตลาด และได้รับการส่งเสริมอย่างเต็มที่จะสามารถเพิ่มโอกาสให้แก่ผู้ป่วยเข้าถึงยาเหล่านี้ได้เพิ่มมากขึ้นไม่ต่ำกว่า 3 เท่า โดยไม่เพิ่มภาระงบประมาณด้านสุขภาพมากนัก"

นายอภิพร กล่าวต่อไปว่า อุตสาหกรรมไบโอฟาร์มาสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างเสริมความมั่นคงด้านสุขภาพได้เป็นอย่างดี หลายๆ ประเทศ อาทิ เกาหลีใต้ รัสเซีย บราซิล ได้ออกมาตรการส่งเสริม โดยเน้นการให้สิทธิพิเศษในการจัดซื้อแก่ผู้ผลิตในประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการลงทุน ทั้งจากแหล่งทุนในประเทศและต่างประเทศ รวมไปถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ประเทศดังกล่าวอีกด้วย ประเทศเกาหลีใต้ นับเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านไบโอฟาร์มาในเวทีโลก สำหรับในภูมิภาคอาเซียน ประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้เริ่มใช้นโยบายในลักษณะดังกล่าวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยมาเลเซีย มีการประกันโควต้าจัดซื้อยา เพื่อจูงใจให้ต่างชาติมาตั้งโรงงานในประเทศ ส่วนอินโดนีเซีย มีกฎหมายกำหนดว่า บริษัทยาจากต่างประเทศต้องร่วมมือกับผู้ผลิตในประเทศเท่านั้น จึงจะสามารถขึ้นทะเบียนยาเพื่อจำหน่ายได้

"ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลและบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ นับเป็นการบุกเบิกอุตสาหกรรมไบโอฟาร์มาที่ใช้ประโยชน์ได้จริง หากรัฐมีนโยบายและมาตรการส่งเสริมดังเช่นในต่างประเทศ       จะสามารถดึงดูดให้นักลงทุนไทยและต่างชาติมาลงทุนในอุตสาหกรรมไบโอฟาร์มาในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น และสามารถดูแลสุขภาพของคนไทยได้อย่างยั่งยืน ในขณะที่ประเทศกำลังเข้าสู่สภาวะสังคมสูงวัย และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของรัฐมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นายอภิพร กล่าวในตอนท้าย

http://www.banmuang.co.th/news/economy/80246
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่