[หนังโรงเรื่องที่ 187] ฉลาดเกมส์โกง - หนังไทย--พร้อมขายให้โลก ; (นัฐวุฒิ พูนพิริยะ, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A++++++++ (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เรื่องราวเกี่ยวกับนักเรียนอัจฉริยะสมองใสอย่าง "ลิน" ผู้ปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าในรั้วโรงเรียนไฮโซที่ตนอยู่นั้น มีผู้พร้อมที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเพียงแค่แลกกับการ 'ลอกข้อสอบ' จนนำไปสู่เม็ดเงินหลายหมื่นหลายแสนบาทที่หลั่งไหลเข้ามา และสุดท้ายเรื่องราวก็บานปลายไปถึงการสอบสนามระดับโลกอย่าง "STIC" ซึ่งเป็นการสอบเพื่อใช้คะแนนยื่นเข้ามหาวิทยาลัยทั่วโลก ร่วมหัวโดยสองสหายบ้านรวยคับฟ้าอย่าง "พัฒน์" และแฟนสาว "เกรซ" ภารกิจจารกรรมคำตอบจากการสอบที่เข้มงวดที่สุดในโลกจึงเกิดขึ้น ...
โอเค ก่อนที่จะวิเคราะห์ต่อ ก็ต้องขอชื่นชมค่าย GDH และลีลาการคุมงานของผู้กำกับจริงๆ ที่สามารถคลอดงาน suspense-thriller ได้ดีชนิดที่ว่าตัวผู้เขียนยังอดทึ่งไม่ได้ คือในระยะเวลา 130 นาทีในโรงนี่หนังสามารถคุมโทนอารมณ์ของตัวเองได้นิ่งมากๆ ไม่มีช่วงไหนที่ทำให้เกิดความรู้สึก 'หย่อนยาน' หรือ 'ซอฟต์' ลงมาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นกราฟที่ค่อยๆทะยานตัวขึ้นไปจุดสูงสุด จากการโกงที่เป็นเรืองเล็กๆ--กลายเป็นอาชญากรรมการสอบที่ร้ายแรงที่สุด .. และที่สำคัญคือผู้เขียนรู้สึกขอบคุณมากที่หนังรู้ตัวดีว่า "ตัวเองไม่ใช่หนังตลก" คือไม่มีฉากเล่นมุกซักแอะ ไม่มีฉากบทพูดไร้สาระไม่จำเป็นเลย เลยยิ่งทำให้จุดยืนหนังหนักแน่นเข้าไปอีก

แน่นอนว่าสิ่งที่ชอบก็คือ 'ความระทึก' ที่หนังสามารถสะกดคนดูให้อยู่หมัดได้ขนาดนี้ รวมไปถึงการแบ่งองก์ต่างๆในแต่ละช่วงของหนังได้ชัดเจนจนคนดูสามารถเตรียมใจติดตามต่อได้ไม่ยาก (เราจะได้เห็นคนเปลี่ยนท่านั่งเป็นท่า 'เอาจริง' บ่อยมากทุกๆครั้งที่หนังเปลี่ยนองก์) แล้วที่พีคไปกว่านั้นคือในความลุ้นระหว่างการ 'ลอกข้อสอบในห้องเรียน' นั้นมันเชื่อมโยงกับประสบการณ์ตรงของ(อดีต)นักเรียนอย่างเราได้ไม่ยาก ส่วนตัวเชื่อว่าแทบทุกคนต้องผ่านการลอก-ส่งโพย-ส่งซิกในห้องสอบมาไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว .. ก็คงเข้าใจว่าไอ้ความรู้สึกที่ลุ้นตัวโก่งของ 'ลิน' นั้นก็ไม่ได้เป็นการโม้โอ้อวดเกินความเป็นจริงแต่อย่างใด

อีกเรื่องนึงก็คือการที่หนังหยิบเอา 'ความจริงที่น่ารังเกียจ' (ugly truths) หลายอย่างที่ลึกๆเราก็รู้กันดีอยู่แล้วออกมาตีแผ่ในลักษณะของหนังใหญ่ได้น่าเจ็บแสบขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการติวหนังสือโดยอาจารย์ประจำวิชา (ในเชิงสัญลักษณ์ที่ว่าอาจารย์สามารถทำเงินเป็นกอบเป็นกำได้จนสามารถมีนาฬิกาใหม่มาให้ตนได้ชื่นชมหน้าชั้นเรียน), ระบบการคุมสอบในโรงเรียนที่หย่อนยานอันเกิดมาจากทีมงานที่ไม่เต็มใจ หรือกระทั่ง 'ค่าแป๊ะเจี๊ยะเข้าเรียน' ที่นับวันจะยิ่งแพงทะลุเพดานขึ้นไปเรื่อยๆ (แต่ผู้ปกครองทุกคนก็ยังเต็มใจที่จะจ่ายเป็นเรื่องปกติ) ... ซึ่งเอาจริงๆสิ่งเหล่านี้คือความผิดเพี้ยนที่ล้วนเกิดจากวัตถุดิบจริงๆที่รอบตัวเรามาเนิ่นนานจนมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว และหนังก็หยิบเอา 'ความป่วย' ของสังคมอันนี้มาบอกเล่าได้อย่างน่าสะใจไม่แพ้กัน
.
.
สิ่งที่เราชอบที่สุดของหนังเรื่องนี้และอยากพูดถึงที่สุดก็คือส่วนของ 'ตัวละคร' ดังนั้นจะขอแยกย่อยออกเป็นหัวข้อเล็กๆเพื่อไม่ให้สับสนและแน่นอนว่าจะไม่มีสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญแน่นอน
1."ลิน" (ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) : เป็นหนึ่งในตัวละครที่ผู้เขียนรู้สึกว่า 'แคสมาได้สมบูรณ์แบบ' มากๆ คือในมิติของความเป็น genius-nerd เนี่ย มันก็ควรจะออกมาในลักษณะนี้แหละ ก็ต้องชื่นชมนักแสดงอย่าง 'น้องออกแบบ' ที่สามารถสื่อความรู้สึกผ่านทางสายตาและท่าทางได้ดีจนตัวละครลินออกมาในลักษณะจอมบงการที่ชวนขนลุก (สวยแบบขนลุกๆ) ได้แบบในหนังขนาดนี้ แต่เอาจริงๆแล้วในปมตัวละครทั้งหมดนั้นปมของลินกลับอ่อนที่สุดอย่างน่าเสียดาย คือจะชี้ทางไปทางปมเรื่องแม่ หนังก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดซักเท่าไหร่ .. ไอ้ครั้นจะชี้ไปทางความขาดแคลนทางฐานะของครอบครัว แล้ว ไอ้เปียโนตัวยักษ์เรือนละเกือบแสนที่ตั้งอยู่กลางบ้านมันก็ไม่สอดคล้องกันอีก กลับกลายเป็นว่าในท้ายที่สุดแล้ว ตัวบทหนังกลับส่งให้ลินกลายเป็น 'เหยื่อ' ของเกมส์โกง-เกมส์เงินนี้แบบราบๆแบนๆเสียมากกว่า

2."แบงค์" (ชานน สันตินธรกุล) : ในฐานะ 'อัจฉริยะลูกกระจ๊อก' ก็ถือว่าเป็นตัวละครที่น่าสนใจในฐานะตัวแทนของชนชั้นล่างที่มีฐานะยากจน (ก็เป็นความงงอย่างหนึ่งว่าบ้านที่ยากจนเอาเงินที่ไหนมาจ่ายแป๊ะเจี๊ยะเข้าโรงเรียนนี้ได้?) กลับกลายเป็นตัวละครที่เรา 'ซื้อ' น้อยที่สุดจากหนังเรื่องนี้ คือหนังพยายามวาดภาพแบงค์ออกมาในลักษณะคนที่ซื่อสัตย์-ขยันขันแข็ง (honest-hardworking)ซึ่งจะสำคัญต่อพัฒนาการตัวละครในช่วงท้ายเรื่อง ... ในความเห็นของเราแล้วตัวละครของแบงค์กลับดู 'มีความเป็นคน' น้อยที่สุดในเรื่อง ต่างจากตัวแสดงนำอีกสามตัวที่ดูจับต้องได้มากกว่านี้ ซึ่งไอ้นิสัยตงฉินแบบไม่มีแรงจูงใจ (motives) ทำให้แบงค์เป็นตัวละครที่เราไม่สามารถเชื่อมโยงกับวัยเรียนของตัวเองได้เลย ... เอาง่ายๆว่านอกจากฉากระเบิดอารมณ์ที่น้องแสดงได้ดีจนน่าปรบมือให้แล้ว ก็ไม่มีส่วนอื่นเลยที่เราชอบตัวละครนี้

3."เกรซ" (อิษยา ฮอสุวรรณ) : เป็นอีกหนึ่งของหายากสำหรับหนังไทยเหมือนกัน คือตัวเกรซเนี่ยมันชัดอยู่แล้วว่าบทของนางอยู่ในลักษณะที่ฝรั่งเรียกว่า 'บลอนดี้' (blonde) หรือ 'สวยใสไร้สมอง' นั่นแหละ ซึ่งเอาจริงๆเกรซนี่ก็ถือว่าเป็นตัวละครอีกตัวที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้สมบูรณ์แบบมากที่สุดเลยนะ คือด้วยความซับซ้อนทางศีลธรรมของตัวละครนี้มันต่ำเตี้ยเลียดินมากจนอาจจะพูดได้เลยว่าเกรซนี่แหละ เป็น 'คนดีโดยเนื้อแท้' (genuinely good) ที่สุดในเรื่อง และไอ้ความดีของนางนี่แหละที่ผลักดันให้ 'ลิน' เข้ามาสู่วงการอาชญากรรมจากเหตุผลแรกเริ่มเดิมที่เกิดมาจากคำง่ายๆใสๆอย่างคำว่า 'มิตรภาพ' นี่แหละ
4."พัฒน์" (ธีรดนย์ ศุภพันธ์ภิญโญ) : พัฒน์เป็นตัวละครที่เราชอบที่สุดในเรื่องนี้ ในฐานะตัวแทนจากฝั่ง 'ชนชั้นสูง' (elites) ที่มีทั้งศักยภาพทั้งด้านเงินทองและอิทธิพลล้นมือ จนไม่ต้องยี่หระกับการควักกระเป๋าเงิน 'ซื้อเกรด' จากลินเลยแม้แต่น้อย และในท้ายที่สุดก็เป็นหนึ่งในหัวโจกอาชญากรโกงข้อสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คนนึงเช่นกัน ... แล้วในชีวิตที่ครบเครื่องสมบูรณ์แบบนี้แล้ว พัฒน์จะยังไม่มีอะไรอีกล่ะ? คำตอบก็คือ 'เสรีภาพในการตัดสินใจชีวิต' นั่นเอง สิ่งหนึ่งในเอกลักษณ์ของครอบครัว elites ทั้งหลายนั้นก็คือการที่ 'พ่อแม่จะเป็นใหญ่มากๆ' --
-- สังเกตได้จากฉากบนโต๊ะอาหารที่พ่อของพัฒน์สั่งให้พัฒน์ไปหยิบของมาให้ทั้งๆที่จะให้คนรับใช้ทำแทนก็ได้ แต่ด้วยภาษากายและสายตาที่สื่อมาจากพ่อเราจะเห็นได้เลยว่า 'นั่นไม่ใช่ประโยคขอร้อง' และพัฒน์ก็ต้องทำตามแบบไม่มีข้อแม้ปากเสียงใดๆทั้งสิ้น (อาจจะปนความกลัวมาหน่อยๆด้วยซ้ำ) ซึ่งนี่จะเป็นบริบทที่เกิดขึ้นในครอบครัว elites เท่านั้นจริงๆ และจะขัดแย้งกับบริบทในครอบครัวชนชั้นกลาง-ล่าง ที่การมีปากเสียงระหว่างลูกกับพ่อแม่นั้นจะเป็นเรื่องที่ปกติมากกว่า ดังนั้นตัวละครพัฒน์เองก็ถือว่าเป็น 'เหยื่อ' อีกหนึ่งคนจากระบบครอบครัวที่เข้มงวดแต่ก็ละเลยเช่นกัน
.
.
แต่ในความเวิร์กของหนัง มันก็มีส่วนที่ 'ไม่สมจริง' อยู่เล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นการส่งซิกคำตอบผ่านวิธี 'เพลงเปียโน' ที่เอาจริงๆแล้วด้วยวิธีการมันที่บอกว่า 'ให้สังเกตการเคลื่อนไหวของนิ้ว' มันก็ฟังดูเข้าท่าและจับได้ยากดีอยู่หรอก แต่ด้วยความที่หนังมันอยากให้คนดูอย่างเราเห็นภาพไง มันเลยกลายเป็นมหกรรมเคาะโต๊ะ expo 2017 ไปโดยปริยาย คือเสียงมันดังอย่างกับไซต์ก่อสร้าง ดังจนคนคุมสอบเอ็งต้องหูหนวกแน่ๆถ้า ณ จุดนี้ยังจับทุจริตไม่ได้อีก ซึ่งเอาจริงๆแล้วไอ้เสียงตุบๆๆนี่ถ้าเอาออกไปมันก็สมจริงขึ้นไปอีกขั้นเลยล่ะ .. แต่ก็อย่างว่า ฉากมันก็จะไม่เท่เฟี้ยวฟ้าวแบบที่ผู้กำกับอยากได้อีก
อีกเรื่องหนึ่งก็คือตัวกรรมการคุมสอบในพาร์ทสุดท้ายของหนัง คือเราสงสัยจริงจังว่าไอ้ Mr.Hitman ที่คอยมาจับทุจริตนี่มันมี 'อำนาจ' ในตัวเองมากพอที่จะใช้กำลังข่มขู่-สอบสวน หรือกระทั่งบังคับให้ผู้เข้าสอบ *ที่สละสิทธิ์การสอบของตัวเองแล้ว* กลับไปห้องสอบเพื่อสอบปากคำได้ด้วยหรอวะ? คือในส่วนนี้คนไทยเราอาจจะรู้สึกเป็นเรื่องปกติกับการใช้อำนาจที่ไม่ชอบสมกับตำแหน่งของตนที่เกิดจากความอาวุโสจนเคยชินไง แต่นี่หนังอุตส่าห์ถ่อไปเมืองนอกแล้วจะไม่นำพาหน่อยเหรอว่าประเทศเขามีสิทธิมนุษยชนว่าไงบ้าง? นี่ถ้าถึงขนาดใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมก็ว่าไปอย่าง แต่ส่วนตัวคิดว่าถ้ามีเคสแบบในหนังจริงๆนี่วอนโดนฟ้องได้ง่ายๆเลยนะ
ในช่วงตอนจบของหนังกลับทำออกมาได้น่าผิดหวังอย่างเหลือเชื่อ คือในความที่หนังมันพยายามปั้นตัวละครเอกทั้งสี่ตัวของเราให้มันกลายเป็น 'ตัวร้าย' (villains) อย่างช้าๆมาตลอดสองชั่วโมงเนี่ย กลับไม่ถูกเอาไปต่อยอดอย่างที่คนดูคาดหวังไว้ จากสุนทรพจน์ปลุกระดมของพัฒน์ที่แสดงตนขบถต่อระบบการศึกษาอันน่าจดจำ กลับกลายมาเป็นตอนจบที่เพลย์เซฟๆแบบที่กลัวเสียงวิพากษ์ของสังคมงั้นหรือ? ทั้งๆที่มันจะเป็นหนังที่ขึ้นหิ้งได้อยู่แล้วหากกว่ามันจบไปอีกแบบ
... สรุปแล้วก็คงปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า "ฉลาดเกมส์โกง" เป็นหนังไทยที่ดีที่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความที่หนังตั้งมั่นอยู่บนพล็อตของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่มีการเถลไถลไปไหนเลยแม้แต่น้อย ทำให้เรื่องราวการโกงข้อสอบของเด็กไม่กี่คนมันถูกเนรมิตขึ้นมาเป็น 'เรื่องจริง' ได้ในสายตาคนดูอย่างเรา ทั้งทีมนักแสดงวัยรุ่นที่สอดรับกับบทก็ดี ทั้งเพลงประกอบที่ซัพพอร์ทกับธีมฉลาดๆของเรื่องก็ดี (รู้นะว่าเลียนแบบ soundtrack ของ "steve jobs" (2015) มาเยอะเลย) ถึงแม้บางส่วนจะอาจจะบกพร่องในแง่ของความสมจริงไปบ้าง แต่เอาจริงๆแล้วหนังมันก็ยังเพอร์เฟคอยู่ดีแหละถ้าวัดในตลาดหนังไทย (ที่กำลังตกต่ำอยู่ตอนนี้)
เอาเป็นว่าอย่ามัวอ่านรีวิวผมอยู่เลยเถอะ รีบๆไปเข้าโรงหนังไป๊ ตั๋วหนังโคตรคุ้ม!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ!
[หนังโรงเรื่องที่ 187] ฉลาดเกมส์โกง - หนังไทย--พร้อมขายให้โลก by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 187] ฉลาดเกมส์โกง - หนังไทย--พร้อมขายให้โลก ; (นัฐวุฒิ พูนพิริยะ, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A++++++++ (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เรื่องราวเกี่ยวกับนักเรียนอัจฉริยะสมองใสอย่าง "ลิน" ผู้ปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าในรั้วโรงเรียนไฮโซที่ตนอยู่นั้น มีผู้พร้อมที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเพียงแค่แลกกับการ 'ลอกข้อสอบ' จนนำไปสู่เม็ดเงินหลายหมื่นหลายแสนบาทที่หลั่งไหลเข้ามา และสุดท้ายเรื่องราวก็บานปลายไปถึงการสอบสนามระดับโลกอย่าง "STIC" ซึ่งเป็นการสอบเพื่อใช้คะแนนยื่นเข้ามหาวิทยาลัยทั่วโลก ร่วมหัวโดยสองสหายบ้านรวยคับฟ้าอย่าง "พัฒน์" และแฟนสาว "เกรซ" ภารกิจจารกรรมคำตอบจากการสอบที่เข้มงวดที่สุดในโลกจึงเกิดขึ้น ...
โอเค ก่อนที่จะวิเคราะห์ต่อ ก็ต้องขอชื่นชมค่าย GDH และลีลาการคุมงานของผู้กำกับจริงๆ ที่สามารถคลอดงาน suspense-thriller ได้ดีชนิดที่ว่าตัวผู้เขียนยังอดทึ่งไม่ได้ คือในระยะเวลา 130 นาทีในโรงนี่หนังสามารถคุมโทนอารมณ์ของตัวเองได้นิ่งมากๆ ไม่มีช่วงไหนที่ทำให้เกิดความรู้สึก 'หย่อนยาน' หรือ 'ซอฟต์' ลงมาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นกราฟที่ค่อยๆทะยานตัวขึ้นไปจุดสูงสุด จากการโกงที่เป็นเรืองเล็กๆ--กลายเป็นอาชญากรรมการสอบที่ร้ายแรงที่สุด .. และที่สำคัญคือผู้เขียนรู้สึกขอบคุณมากที่หนังรู้ตัวดีว่า "ตัวเองไม่ใช่หนังตลก" คือไม่มีฉากเล่นมุกซักแอะ ไม่มีฉากบทพูดไร้สาระไม่จำเป็นเลย เลยยิ่งทำให้จุดยืนหนังหนักแน่นเข้าไปอีก
แน่นอนว่าสิ่งที่ชอบก็คือ 'ความระทึก' ที่หนังสามารถสะกดคนดูให้อยู่หมัดได้ขนาดนี้ รวมไปถึงการแบ่งองก์ต่างๆในแต่ละช่วงของหนังได้ชัดเจนจนคนดูสามารถเตรียมใจติดตามต่อได้ไม่ยาก (เราจะได้เห็นคนเปลี่ยนท่านั่งเป็นท่า 'เอาจริง' บ่อยมากทุกๆครั้งที่หนังเปลี่ยนองก์) แล้วที่พีคไปกว่านั้นคือในความลุ้นระหว่างการ 'ลอกข้อสอบในห้องเรียน' นั้นมันเชื่อมโยงกับประสบการณ์ตรงของ(อดีต)นักเรียนอย่างเราได้ไม่ยาก ส่วนตัวเชื่อว่าแทบทุกคนต้องผ่านการลอก-ส่งโพย-ส่งซิกในห้องสอบมาไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว .. ก็คงเข้าใจว่าไอ้ความรู้สึกที่ลุ้นตัวโก่งของ 'ลิน' นั้นก็ไม่ได้เป็นการโม้โอ้อวดเกินความเป็นจริงแต่อย่างใด
อีกเรื่องนึงก็คือการที่หนังหยิบเอา 'ความจริงที่น่ารังเกียจ' (ugly truths) หลายอย่างที่ลึกๆเราก็รู้กันดีอยู่แล้วออกมาตีแผ่ในลักษณะของหนังใหญ่ได้น่าเจ็บแสบขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการติวหนังสือโดยอาจารย์ประจำวิชา (ในเชิงสัญลักษณ์ที่ว่าอาจารย์สามารถทำเงินเป็นกอบเป็นกำได้จนสามารถมีนาฬิกาใหม่มาให้ตนได้ชื่นชมหน้าชั้นเรียน), ระบบการคุมสอบในโรงเรียนที่หย่อนยานอันเกิดมาจากทีมงานที่ไม่เต็มใจ หรือกระทั่ง 'ค่าแป๊ะเจี๊ยะเข้าเรียน' ที่นับวันจะยิ่งแพงทะลุเพดานขึ้นไปเรื่อยๆ (แต่ผู้ปกครองทุกคนก็ยังเต็มใจที่จะจ่ายเป็นเรื่องปกติ) ... ซึ่งเอาจริงๆสิ่งเหล่านี้คือความผิดเพี้ยนที่ล้วนเกิดจากวัตถุดิบจริงๆที่รอบตัวเรามาเนิ่นนานจนมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว และหนังก็หยิบเอา 'ความป่วย' ของสังคมอันนี้มาบอกเล่าได้อย่างน่าสะใจไม่แพ้กัน
.
สิ่งที่เราชอบที่สุดของหนังเรื่องนี้และอยากพูดถึงที่สุดก็คือส่วนของ 'ตัวละคร' ดังนั้นจะขอแยกย่อยออกเป็นหัวข้อเล็กๆเพื่อไม่ให้สับสนและแน่นอนว่าจะไม่มีสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญแน่นอน
1."ลิน" (ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) : เป็นหนึ่งในตัวละครที่ผู้เขียนรู้สึกว่า 'แคสมาได้สมบูรณ์แบบ' มากๆ คือในมิติของความเป็น genius-nerd เนี่ย มันก็ควรจะออกมาในลักษณะนี้แหละ ก็ต้องชื่นชมนักแสดงอย่าง 'น้องออกแบบ' ที่สามารถสื่อความรู้สึกผ่านทางสายตาและท่าทางได้ดีจนตัวละครลินออกมาในลักษณะจอมบงการที่ชวนขนลุก (สวยแบบขนลุกๆ) ได้แบบในหนังขนาดนี้ แต่เอาจริงๆแล้วในปมตัวละครทั้งหมดนั้นปมของลินกลับอ่อนที่สุดอย่างน่าเสียดาย คือจะชี้ทางไปทางปมเรื่องแม่ หนังก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดซักเท่าไหร่ .. ไอ้ครั้นจะชี้ไปทางความขาดแคลนทางฐานะของครอบครัว แล้ว ไอ้เปียโนตัวยักษ์เรือนละเกือบแสนที่ตั้งอยู่กลางบ้านมันก็ไม่สอดคล้องกันอีก กลับกลายเป็นว่าในท้ายที่สุดแล้ว ตัวบทหนังกลับส่งให้ลินกลายเป็น 'เหยื่อ' ของเกมส์โกง-เกมส์เงินนี้แบบราบๆแบนๆเสียมากกว่า
2."แบงค์" (ชานน สันตินธรกุล) : ในฐานะ 'อัจฉริยะลูกกระจ๊อก' ก็ถือว่าเป็นตัวละครที่น่าสนใจในฐานะตัวแทนของชนชั้นล่างที่มีฐานะยากจน (ก็เป็นความงงอย่างหนึ่งว่าบ้านที่ยากจนเอาเงินที่ไหนมาจ่ายแป๊ะเจี๊ยะเข้าโรงเรียนนี้ได้?) กลับกลายเป็นตัวละครที่เรา 'ซื้อ' น้อยที่สุดจากหนังเรื่องนี้ คือหนังพยายามวาดภาพแบงค์ออกมาในลักษณะคนที่ซื่อสัตย์-ขยันขันแข็ง (honest-hardworking)ซึ่งจะสำคัญต่อพัฒนาการตัวละครในช่วงท้ายเรื่อง ... ในความเห็นของเราแล้วตัวละครของแบงค์กลับดู 'มีความเป็นคน' น้อยที่สุดในเรื่อง ต่างจากตัวแสดงนำอีกสามตัวที่ดูจับต้องได้มากกว่านี้ ซึ่งไอ้นิสัยตงฉินแบบไม่มีแรงจูงใจ (motives) ทำให้แบงค์เป็นตัวละครที่เราไม่สามารถเชื่อมโยงกับวัยเรียนของตัวเองได้เลย ... เอาง่ายๆว่านอกจากฉากระเบิดอารมณ์ที่น้องแสดงได้ดีจนน่าปรบมือให้แล้ว ก็ไม่มีส่วนอื่นเลยที่เราชอบตัวละครนี้
3."เกรซ" (อิษยา ฮอสุวรรณ) : เป็นอีกหนึ่งของหายากสำหรับหนังไทยเหมือนกัน คือตัวเกรซเนี่ยมันชัดอยู่แล้วว่าบทของนางอยู่ในลักษณะที่ฝรั่งเรียกว่า 'บลอนดี้' (blonde) หรือ 'สวยใสไร้สมอง' นั่นแหละ ซึ่งเอาจริงๆเกรซนี่ก็ถือว่าเป็นตัวละครอีกตัวที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้สมบูรณ์แบบมากที่สุดเลยนะ คือด้วยความซับซ้อนทางศีลธรรมของตัวละครนี้มันต่ำเตี้ยเลียดินมากจนอาจจะพูดได้เลยว่าเกรซนี่แหละ เป็น 'คนดีโดยเนื้อแท้' (genuinely good) ที่สุดในเรื่อง และไอ้ความดีของนางนี่แหละที่ผลักดันให้ 'ลิน' เข้ามาสู่วงการอาชญากรรมจากเหตุผลแรกเริ่มเดิมที่เกิดมาจากคำง่ายๆใสๆอย่างคำว่า 'มิตรภาพ' นี่แหละ
4."พัฒน์" (ธีรดนย์ ศุภพันธ์ภิญโญ) : พัฒน์เป็นตัวละครที่เราชอบที่สุดในเรื่องนี้ ในฐานะตัวแทนจากฝั่ง 'ชนชั้นสูง' (elites) ที่มีทั้งศักยภาพทั้งด้านเงินทองและอิทธิพลล้นมือ จนไม่ต้องยี่หระกับการควักกระเป๋าเงิน 'ซื้อเกรด' จากลินเลยแม้แต่น้อย และในท้ายที่สุดก็เป็นหนึ่งในหัวโจกอาชญากรโกงข้อสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คนนึงเช่นกัน ... แล้วในชีวิตที่ครบเครื่องสมบูรณ์แบบนี้แล้ว พัฒน์จะยังไม่มีอะไรอีกล่ะ? คำตอบก็คือ 'เสรีภาพในการตัดสินใจชีวิต' นั่นเอง สิ่งหนึ่งในเอกลักษณ์ของครอบครัว elites ทั้งหลายนั้นก็คือการที่ 'พ่อแม่จะเป็นใหญ่มากๆ' --
-- สังเกตได้จากฉากบนโต๊ะอาหารที่พ่อของพัฒน์สั่งให้พัฒน์ไปหยิบของมาให้ทั้งๆที่จะให้คนรับใช้ทำแทนก็ได้ แต่ด้วยภาษากายและสายตาที่สื่อมาจากพ่อเราจะเห็นได้เลยว่า 'นั่นไม่ใช่ประโยคขอร้อง' และพัฒน์ก็ต้องทำตามแบบไม่มีข้อแม้ปากเสียงใดๆทั้งสิ้น (อาจจะปนความกลัวมาหน่อยๆด้วยซ้ำ) ซึ่งนี่จะเป็นบริบทที่เกิดขึ้นในครอบครัว elites เท่านั้นจริงๆ และจะขัดแย้งกับบริบทในครอบครัวชนชั้นกลาง-ล่าง ที่การมีปากเสียงระหว่างลูกกับพ่อแม่นั้นจะเป็นเรื่องที่ปกติมากกว่า ดังนั้นตัวละครพัฒน์เองก็ถือว่าเป็น 'เหยื่อ' อีกหนึ่งคนจากระบบครอบครัวที่เข้มงวดแต่ก็ละเลยเช่นกัน
.
แต่ในความเวิร์กของหนัง มันก็มีส่วนที่ 'ไม่สมจริง' อยู่เล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นการส่งซิกคำตอบผ่านวิธี 'เพลงเปียโน' ที่เอาจริงๆแล้วด้วยวิธีการมันที่บอกว่า 'ให้สังเกตการเคลื่อนไหวของนิ้ว' มันก็ฟังดูเข้าท่าและจับได้ยากดีอยู่หรอก แต่ด้วยความที่หนังมันอยากให้คนดูอย่างเราเห็นภาพไง มันเลยกลายเป็นมหกรรมเคาะโต๊ะ expo 2017 ไปโดยปริยาย คือเสียงมันดังอย่างกับไซต์ก่อสร้าง ดังจนคนคุมสอบเอ็งต้องหูหนวกแน่ๆถ้า ณ จุดนี้ยังจับทุจริตไม่ได้อีก ซึ่งเอาจริงๆแล้วไอ้เสียงตุบๆๆนี่ถ้าเอาออกไปมันก็สมจริงขึ้นไปอีกขั้นเลยล่ะ .. แต่ก็อย่างว่า ฉากมันก็จะไม่เท่เฟี้ยวฟ้าวแบบที่ผู้กำกับอยากได้อีก
อีกเรื่องหนึ่งก็คือตัวกรรมการคุมสอบในพาร์ทสุดท้ายของหนัง คือเราสงสัยจริงจังว่าไอ้ Mr.Hitman ที่คอยมาจับทุจริตนี่มันมี 'อำนาจ' ในตัวเองมากพอที่จะใช้กำลังข่มขู่-สอบสวน หรือกระทั่งบังคับให้ผู้เข้าสอบ *ที่สละสิทธิ์การสอบของตัวเองแล้ว* กลับไปห้องสอบเพื่อสอบปากคำได้ด้วยหรอวะ? คือในส่วนนี้คนไทยเราอาจจะรู้สึกเป็นเรื่องปกติกับการใช้อำนาจที่ไม่ชอบสมกับตำแหน่งของตนที่เกิดจากความอาวุโสจนเคยชินไง แต่นี่หนังอุตส่าห์ถ่อไปเมืองนอกแล้วจะไม่นำพาหน่อยเหรอว่าประเทศเขามีสิทธิมนุษยชนว่าไงบ้าง? นี่ถ้าถึงขนาดใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมก็ว่าไปอย่าง แต่ส่วนตัวคิดว่าถ้ามีเคสแบบในหนังจริงๆนี่วอนโดนฟ้องได้ง่ายๆเลยนะ
ในช่วงตอนจบของหนังกลับทำออกมาได้น่าผิดหวังอย่างเหลือเชื่อ คือในความที่หนังมันพยายามปั้นตัวละครเอกทั้งสี่ตัวของเราให้มันกลายเป็น 'ตัวร้าย' (villains) อย่างช้าๆมาตลอดสองชั่วโมงเนี่ย กลับไม่ถูกเอาไปต่อยอดอย่างที่คนดูคาดหวังไว้ จากสุนทรพจน์ปลุกระดมของพัฒน์ที่แสดงตนขบถต่อระบบการศึกษาอันน่าจดจำ กลับกลายมาเป็นตอนจบที่เพลย์เซฟๆแบบที่กลัวเสียงวิพากษ์ของสังคมงั้นหรือ? ทั้งๆที่มันจะเป็นหนังที่ขึ้นหิ้งได้อยู่แล้วหากกว่ามันจบไปอีกแบบ
... สรุปแล้วก็คงปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า "ฉลาดเกมส์โกง" เป็นหนังไทยที่ดีที่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความที่หนังตั้งมั่นอยู่บนพล็อตของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่มีการเถลไถลไปไหนเลยแม้แต่น้อย ทำให้เรื่องราวการโกงข้อสอบของเด็กไม่กี่คนมันถูกเนรมิตขึ้นมาเป็น 'เรื่องจริง' ได้ในสายตาคนดูอย่างเรา ทั้งทีมนักแสดงวัยรุ่นที่สอดรับกับบทก็ดี ทั้งเพลงประกอบที่ซัพพอร์ทกับธีมฉลาดๆของเรื่องก็ดี (รู้นะว่าเลียนแบบ soundtrack ของ "steve jobs" (2015) มาเยอะเลย) ถึงแม้บางส่วนจะอาจจะบกพร่องในแง่ของความสมจริงไปบ้าง แต่เอาจริงๆแล้วหนังมันก็ยังเพอร์เฟคอยู่ดีแหละถ้าวัดในตลาดหนังไทย (ที่กำลังตกต่ำอยู่ตอนนี้)
เอาเป็นว่าอย่ามัวอ่านรีวิวผมอยู่เลยเถอะ รีบๆไปเข้าโรงหนังไป๊ ตั๋วหนังโคตรคุ้ม!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้