
Doctor Strange in the Multiverse of Madness (จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย) ภาคต่อของ จอมเวทย์มหากาฬ (2016) ที่เดินเรื่องหลังจาก สไปเดอร์แมน โนเวย์โฮม และ วันด้าวิสชั่น เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 5 ของ เฟส 4 กำกับโดย แซม ไรมี ผู้กำกับหนังสยองขวัญเกรดบีชั้นยอดอย่าง ผีอมตะ และไตรภาคสไปเดอร์แมนของโทบี้ แม็คไกวร์ ขอกลับมาจับงานฮีโร่อีกครั้งหลังวนเวียนกับการเป็นโปรดิวเซอร์มานาน มาคราวนี้เขาพกอะไรมาให้เราแปลกใจบ้าง มาติดตามกันเลยครับ
"หลังจากเหตุการณ์ใน Wandavision และ No Way Home หลายเดือน สตีเฟ่น สเตรนจ์ จอมเวทย์ผู้สามารถหยุดยั้งการล้างจักรวาลและคืนสันติสุขจากธานอส ได้เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความต้องการของตัวเองหลังคนเคยรักอย่าง คริสทีน ได้แต่งงานใหม่หลังเขาโดนกวาดล้างไปกว่า 5 ปี เขาได้ค้นพบว่าชีวิตของเขานั้นไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว การมาของอเมริกา ชาเวซ เด็กสาวปริศนาผู้มีพลังอันมหัศจรรย์ที่ดึงดูดให้มารร้ายหมายมั่นจะชิงพลังมาจากเธอและคุกคามโลกนี้ สตีเฟ่นจึงต้องขอความร่วมมือจากวันด้า แม็กซิมอฟ ผู้ที่เคยสร้างปัญหาไว้ในอดีตและหนีมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอย่างสงบ แต่ทว่ามันอาจจะสายเกินไปแล้ว"
การเดินเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นสไตล์สูตรสำเร็จมาร์เวลในยุคหลัง ๆ ไม่มีการปูอะไรให้อีกต่อไป นอกซะจากพูดเปรย ๆ ที่น่าจะพอทำให้คนนอกเข้าใจเนื้อเรื่อง แต่คงไม่เข้าถึงตัวละครหรือแรงจูงใจอะไรที่มันถูกปูมานานแล้ว ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่ได้ดูซีรีส์หรือหนังมาก่อน และผมก็ยังยืนยันว่าควรตามมาก่อนในระดับนึง ทั้ง หนังภาคแรก ซีรีส์วันด้าวิสชั่น โลกิ และวอทอิฟ หรือแม้แต่สไปเดอร์ แมน โนเวย์โฮม เพื่อจะได้เข้าใจคอนเซปต์ของมัลติเวิร์ส
ช่วงแรกค่อนข้างเดินเรื่องไว รวบรัดและเน้นฉากบู๊อลังการแบบที่เราเห็นกันจนแอบคิดว่ามันก็ซ้ำ ๆ แบบหนังเรื่องก่อน ๆ แต่ผมคิดผิดพอหลัง 20 นาทีแรกขึ้นมา หนังเทิร์นตัวเองจากหนังฮีโร่กลายเป็นหนังระทึกขวัญจิตวิทยาสำรวจความคิดและการกระทำของตัวละคร แถมมีความสยองขวัญไปแต่นั่นเองที่เป็นช่องโหว่สำคัญที่ทำให้บทค่อนข้างโหวงเมื่อเทียบกับหนังมาร์เวลเรื่องที่ผ่านมา หนังเลือกจะประเคนทุกอย่างตามคอนเซปต์ผสมกับมุกตลกสไตล์ผู้กำกับแซม ไรมี่ และฉากโหดเลือดสาดที่มากกว่าหนังทุกเรื่องของมาร์เวลแบบไม่ใช่เรต R ทำให้แฟนแกอมยิ้มได้อย่างแน่นอน เพราะเฮียแกเซอร์วิสแฟนซะจนนึกว่าแกมาทำภาคสปินออฟให้ผีอมตะแล้วด้วยซ้ำ
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้บทหนังมันดี เะเอาจริง ๆ หนังค่อนข้างมีพล็อตแค่ประมาณ 40 เปอร์เซนต์เท่านั้น 60 คือการใส่ฉากเซอร์วิสหรือหลอน ๆ ต่าง ๆ ที่ชวนเหวอมาเอาใจแฟนมาร์เวลกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง มันค่อนข้างบันเทิง แต่ถ้าหนังให้เวลากับตัวเองอีกหน่อย เราอาจจะอินหรือลุ้นไปกับตัวละครหรือสถานการณ์มากกว่านี้ โดยเฉพาะตอนจบที่จบแบบเบา ๆ ดื้อ ๆ ไม่สมกับที่เดินเรื่องมากว่าสองชั่วโมงใน ความเจ๋งและจุดเด่นมันเลยเป็นการนำเสนอพหุจักรวาลที่ก็ยังรู้สึกไม่บ้าคลั่งพอแบบผ่าน ๆ เพราะแม้หนังจะบอกว่าเป็นการเดินทางในพหุจักรวาล แต่จริง ๆ ก็มีพื้นที่ในการเล่นแค่ไม่กี่ที่ หนำซ้ำยังเป็นไปในทางที่เราไม่รู้สึกว้าวอะไรเท่าไหร่ มันเลยเป็นหนังมาร์เวลที่คนตั้งความหวังสูงในด้านการเชื่อมโยงหรือสเกลใหญ่ ๆ อาจจะผิดหวัง แต่ก็ไม่ใช่หนังที่แย่ แค่รู้สึกว่ามันถ่ายทอดบทออกมาได้ดีและเกลี่ยความสำคัญได้มากกว่านี้ มันเหมือนเราไปเล่นบ้านผีสิง 2 ชั่วโมงแล้วกำลังชั่งใจว่า เราสนุกมั้ยนะ ทำให้เราจดจำมั้ย หรือแค่ผ่าน ๆ ไป ไม่คิดอะไรต่อไปอีก
ตัวละคร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สตีเฟ่น หรือ หมอแปลกที่คนไทยชอบเรียกกันจากคำว่าด็อกเตอร์ สเตรนจ์ ที่ในภาคแรก ๆ เราเห็นเขาพัฒนาเป็นจอมเวทย์ไวเกินไปจนแทบไม่รู้สึกอะไร มาภาคนี้ดีหน่อย คือมันพาเราไปสำรวจอคติ อัตตา ความหลงตัวเองที่แท้จริงมีที่มา ปมปัญหาในใจอะไรบางอย่างที่ฉุดรั้งเขาจากการมีความสุข แม้จะปกป้องโลก แล้วต้องมาเจอกับ วันด้า แม็กซิมอฟ ที่ถ้าใครดูซีรีส์วันด้าวิสชั่นมาแล้ว จะรู้ทันทีว่าพลังของเธอนั้นได้หลุดโลกไปไกลเกินไปแล้ว แต่ความหลุดโลกเราก็ยังพอเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เธอได้รับมาตลอดตั้งแต่มีพลังเวทย์มันไม่แฟร์กับเธอเลย และการที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเธอต้องการความสุขเหมือนที่สตีเฟ่นต้องการ เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างต้องการวิธีที่ต่างกัน มันเลยให้อารมณ์จิตวิทยาในเชิงคุณธรรมกับจริยธรรมว่า เราควรปล่อยให้อะไรมันเป็นไป หรือจะทำอะไรสักอย่างเพื่อย้อนยื้อคืนมา แม้ตรงนี้จะเล่าไม่มาก แต่ก็แข็งแรงพอที่จะทำให้เราเข้าใจความหมายและความต้องการของตัวละครสองตัวนี้ ทั้งในเรื่องของพลังเวทย์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน เช่นเดียวกับอุดมการณ์ที่ปะทะกันไปมาอยู่ตลอด
ในขณะที่ตัวละครรองลงมาอย่าง คริสทีน จากแฟนเก่าสู่คนรู้ใจที่ทำได้แค่อยู่ข้าง ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นยังไงเธอกับสตีเฟ่นก็ไม่เคยไปกันรอด ปมปัญหาในใจของเขามันผลักทุกคนออกไป แต่เธอก็คอยสนับสนุนและผลักดันให้สตีเฟ่นทำในสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีผลลัพธ์ออกมายังไง เป็นความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและแอบอมทุกข์อยู่เล็ก ๆ อเมริกา ตัวละครใหม่ในจักรวาล เธอคือผู้หญิงแสบซ่าก๋ากั้น แถมยังเป็น LGBTQ+ ที่ได้รับการปลูกฝังอย่างดี ช่วยให้พื้นที่กับความหลากหลายทางเพศในหนังฮีโร่ การเปิดตัวของเธอครั้งนี้เหมือนเป็นการปูเธอไปสู่อะไรที่ใหญ่ซะมากกว่าจะมีบทบาทสำคัญใหญ่ ๆ ปมของเธอจึงเป็นความไม่มั่นใจและหวาดกลัวในพลังของตัวเอง
แต่ที่รู้สึกเฟลคือ มอร์โด้ อดีตเพื่อนผู้พาสตีเฟ่นเข้าวงการเวทย์ ปูมาซะดิบดีตั้งแต่ภาคแรก พอจะมาร้ายก็มาร้ายแบบผ่าน ๆ บทก็ไม่มีอะไรน่าจดจำ ส่วนหว่องนี่ตัวขโมยซีนเลย มาทั้งฮา ดราม่า แอ็คชั่นเรียกเสียงฮาได้ตลอดโรง แถมยังคอยเป็นเพื่อนคู่คิดให้สเตรนจ์และสนิทสนมมากกว่าที่ผ่านมา นอกนั้นก็มาแบบให้ว้าว ๆ แล้วก็กาวเอาซะมากกว่า
ประเด็นของเรื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อารมณ์คล้าย ๆ ซีวิลวอร์ คือ การชั่งน้ำหนักระหว่างความถูกต้องของดร. สตีเฟ่น สเตรนจ์ที่ไม่ว่าจะโหยหาความสุขมากแค่ไหน เขาก็ยังเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง หรือ การทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งความต้องการของตัวเองแบบวันด้าที่เรารู้ว่าแฟนมาร์เวลต้องไม่ชอบตัวละครนี้ เพราะพลังของเธอมันเหลือล้น แต่ในขณะเดียวกัน ความเปราะบาง ความหลอนของเธอก็เกิดขึ้นจากสิ่งที่โลกทำเอาไว้ และมันบีบบังคับผลักให้เธอไปถึงจุดที่อาจสายเกินเยียวยา อาจจะไม่ได้ถึงขั้นแบ่งทีม แต่หลังจบต้องมีดีเบทและไม่ว่าฝั่งไหนจะถูก ฝั่งไหนจะผิด สิ่งที่เราได้คือ เราควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างมันก็ขึ้นกับตัวเรา อยู่ที่ไหน มันก็แปรเปลี่ยน ไม่มีสิ้นสุด เพราะงั้นจงยอมรับความเจ็บปวด ยอมรับความจริงแล้วเดินหน้าต่อไป
หากสไปดี้ไม่มีบ้าน คือการใช้ความรับผิดชอบโดยให้คนนอกจักรวาลปีเตอร์มาเป็นบทเรียน หมอแปลก 2 ก็คือการให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติโดยการอยู่กับความจริง แต่ก็ไม่ได้ยอมแพ้ต่อโชคชะตา แค่ต้องมีความพยายาม ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน สองเรื่องนี้มันสอดคล้องตรง หมอแปลกก็เคยไร้ความรับผิดชอบ เย่อหยิ่ง
ถ้าหากหมอแปลกไม่ได้ค้นพบพหุจักรวาล หมอแปลกอาจจะตัดสินใจพลาดเหมือนตัวเองในจักรวาลก่อน ๆ แต่หมอแปลกได้เรียนรู้แล้วว่า จักรวาลต่าง ๆ ล้วนมีจุดสมบูรณ์ในตัวของมัน แต่ชีวิตของเขาก็อาจจะไม่ได้สมบูรณ์ แต่การได้เห็นผลกระทบสอนสตีเฟ่นให้รู้ว่า ชีวิตคือสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่จากใครคนไหน ทั้งการที่เขาผลักดันอเมริกา ผลักดันตัวเอง ยอมรับในความเจ็บปวด และเขาสามารถทำในสิ่งที่ดีที่สุดในช่วงเวลาคับขัน
พหุจักรวาลอันบ้าคลั่งจึงเปรียบเสมือนจิตใจของตัวละครที่วกวนและสับสนภายใต้การเก็บงำความรู้สึก และถูกปลดปล่อยออกมา จะว่าหมอแปลกฉบับนี้มีความเป็นหนังจิตวิทยาที่ฉาบด้วยฮีโร่มันก็คงไม่ผิดสักเท่าไหร่ เพราะตัวละครในเรื่องล้วนแต่จิตใจไม่ได้แข็งแรง และโหยหาความสุข และเมื่อพวกเขาค้นพบ มันก็หายไป แต่ผลที่ตามมายังคงอยู่และรอวันตามติดทัน
บางทีอาจจะมีเราที่มีชีวิตที่ดีกว่าในสักจักรวาลนึง แต่ในเมื่อเราเกิดมาในจักรวาลนี้ มันก็ไม่ได้แย่ มันคงเป็นจุดสัมบูรณ์ที่ต้องเกิด มันมีค่าแม้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ผลักดันให้เราพยายามมาจนถึงในจุด ๆ ที่เราพอใจแล้วที่มี และจะไม่มีใครมาแย่งไปจากเราได้ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ดีที่เข้ากับตีมเรื่องพหุจักรวาลได้อย่างไม่น่าเชื่อ และไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นในหนัง MCU
ในส่วนของนักแสดง เราอาจจะได้เห็นเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ จากบทคาวบอยห่าม

จาก อำนาจบาดเลือดแค้น พอมาในหนังมาร์เวล เขาสามารถดึงให้ตัวละครสตีเฟ่นมีความน่าสนใจ มีความน่าติดตาม มีบางอย่างที่เราเข้าถึงได้ และเขายังต้องแสดงหลายบุคลิกเพื่อทำให้เราเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นแค่คน ๆ เดียว และทำให้ใครหลายคนที่รู้สึกว่าเก่งเกินไป ให้กลายเป็นที่ยอมรับได้ด้วยบุคลิกที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่เขาก็พยายามทำให้เราเข้าใจว่าชีวิตมันไม่เคยเป็นไปตามที่ต้องการ แต่คนที่ควรยกถ้วยให้กลับเป็น อลิซาเบธ โอลเซ่นในบทวันด้าที่ต้องแสดงในบทที่แสนซับซ้อน น่าสงสาร น่าสะพรึง อาจจะน่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ใช่ตัวละครที่เราจะสามารถตราหน้าหรือพูดเต็มปากว่าเราเกลียดเธอ ตัวละครที่บอบช้ำและเจ็บปวด น้ำตาทุกหยดและทุกอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยว เธอสะกดคนดูและทำให้ตะลึง เหวอ อึ้ง กริ๊ด และร้องว้าวทุกครั้งในทุกฉาก เธอก็เป็นมนุษย์คนนึงที่พยายามทำทุกอย่างในแบบที่คิดว่าสมควร เพื่อเยียวยาความเจ็บปวด
โซชิตล์ โกเมซ อาจจะไม่ได้โชว์อะไรมากเท่าสองคนที่กล่าวไป แต่เธอก็โชว์ศักยภาพการแสดงที่เป็นธรรมชาติ ทั้งเศร้าและตลก น่ารักและสดใส ศักยภาพที่ทำให้เธอเป็นตัวขโมยซีนและ MVP ของเรื่อง ชวนให้ติดตามว่าเธอจะเป็นอย่างไรในอนาคต
ขอติเลย คือซีจีช่วงแรก ๆ ฉากสู้มันลอยมาก ให้อารมณ์เหมือนหนังสไปเดอร์แมนภาคแรกของผู้กำกับเลย คือเพราะเกรดสีหรือมุมกล้องหรือเปล่ามันทำให้ฉากมันดูลอย ๆ จนทำให้เรารู้สึกขัดหูขัดตา ในขณะที่ภาพและการนำเสนอของหนังให้อารมณ์แบบหนังมาร์เวลแต่หลุดไปทางหนังสยองขวัญจริง ๆ ทั้งฉากจัมพ์สแคร์ ฉากแหวะ ฉากเหวอ ๆ หรือมุมกล้องลายเซ็นของผู้กำกับที่ถ้าใครเป็นแฟนหนังเขาจะต้องร้อง ลายเซ็นผีอมตะอย่างแท้จริง จนอดคิดไม่ได้ว่ามาร์เวลเลือกเขามาคงเพราะไม่มีใครสามารถเนรมิตพหุจักรวาลแบบเพี้ยน ๆ ให้สุดขนาดนี้ได้อย่างเขาแน่นอน ในส่วนดนตรีประกอบก็มีความร็อคผสมอลัง ๆ แต่ก็มีความลึกลับผสมกับความงง ตื้อ ๆ ในพหุจักรวาลถือเป็นอะไรที่แปลกใหม่และดึงอารมณ์ของหนังได้ดี
หมอแปลก 2 คงเป็นการฟิวชั่นระหว่างหนังสยองขวัญจิตวิทยาแบบผีอมตะกับหนังพลังเวอร์วังแบบ MCU มันบันเทิง ตลก สยองขวัญ ชวนเหวอและสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ด้วยความที่หนังมันสั้นเกินไปเนี่ยแหละที่ทำให้ช่องโหว่ของบทมันเยอะ ทั้งน้ำหนักของเรื่องราว บทที่รวบรัด และบทสรุปที่ออกจะดื้อ ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฉากสุดท้ายคืองงว่าจบแล้ว หมอยังไม่ได้ทำอะไรเท่าที่ควรเลย แม้ว่าจะสิงร่างคนตายอยู่ มันเลยแผ่ว ๆ
พูดไม่ได้เต็มปากว่าดีมากตามที่หนังวิจารณ์ แต่ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ถ้าเป็นแฟนมาร์เวลที่ตามมาตลอดก็ห้ามพลาด ส่วนคนนอกถ้าไปดูคงได้อารมณ์แบบไปดูบ้านผีสิงหรือรถไฟเหาะ ดูจบแล้วอาจจะอยากไปตามจักรวาลหรือดูจบแล้วก็ผ่านไปเหมือนหนังเรื่องนึง ก็นานาจิตตัง ส่วนผมก็รู้สึกว่าได้เห็นทิศทางมาร์เวลที่หวังไว้ว่าจะเห็นมันฉีกไปไกลก็พอจะอุ่นใจว่า 10 ปีข้างหน้า มุกมาร์เวลคงไม่ได้กำลังตันไว และคงมีแนวทางใหม่ที่สามารถมาปรับใช้กับจักรวาลนี้ได้เรื่อย ๆ
สู้เขานะจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล แล้วมารอดูอนาคตไปด้วยกัน
(7.5/10)
สปอยเอนเครดิตสองตัว ใครยังไม่ได้ดู ห้ามกด!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1. คลี หญิงสาวผู้มีพลังเปิดมิติมืด มาตามหมอแปลกที่ได้รับพลังจากดาร์กโฮลจนมีสามตา เพราะสัมผัสได้ว่าเขาได้ฝ่าฝืนกฏของจักรวาลและมาขอให้เขาไปด้วยกัน เธอคือคนรักของหมอแปลกในอนาคตตามคอมมิค มูฟออนซะหมอ คนนี้แหละ ตัวจริง
2. ลุงคนขายพิซซ่าบอล (แสดงโดยบรูซ แคมป์เบลล์จากผีอมตะ) โดนสาปให้สู้กับมือ ได้รับการปลดปล่อย หันมาบอกคนดู จบแล้วจ้า!
เรื่องที่ 40: Doctor Strange In The Multiverse Of Madness จอมเวทย์มหากาฬกับมัลติเวิร์สอันชวนเหวอ แต่ยังไม่เวอร์พอ
Doctor Strange in the Multiverse of Madness (จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย) ภาคต่อของ จอมเวทย์มหากาฬ (2016) ที่เดินเรื่องหลังจาก สไปเดอร์แมน โนเวย์โฮม และ วันด้าวิสชั่น เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 5 ของ เฟส 4 กำกับโดย แซม ไรมี ผู้กำกับหนังสยองขวัญเกรดบีชั้นยอดอย่าง ผีอมตะ และไตรภาคสไปเดอร์แมนของโทบี้ แม็คไกวร์ ขอกลับมาจับงานฮีโร่อีกครั้งหลังวนเวียนกับการเป็นโปรดิวเซอร์มานาน มาคราวนี้เขาพกอะไรมาให้เราแปลกใจบ้าง มาติดตามกันเลยครับ
"หลังจากเหตุการณ์ใน Wandavision และ No Way Home หลายเดือน สตีเฟ่น สเตรนจ์ จอมเวทย์ผู้สามารถหยุดยั้งการล้างจักรวาลและคืนสันติสุขจากธานอส ได้เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความต้องการของตัวเองหลังคนเคยรักอย่าง คริสทีน ได้แต่งงานใหม่หลังเขาโดนกวาดล้างไปกว่า 5 ปี เขาได้ค้นพบว่าชีวิตของเขานั้นไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว การมาของอเมริกา ชาเวซ เด็กสาวปริศนาผู้มีพลังอันมหัศจรรย์ที่ดึงดูดให้มารร้ายหมายมั่นจะชิงพลังมาจากเธอและคุกคามโลกนี้ สตีเฟ่นจึงต้องขอความร่วมมือจากวันด้า แม็กซิมอฟ ผู้ที่เคยสร้างปัญหาไว้ในอดีตและหนีมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอย่างสงบ แต่ทว่ามันอาจจะสายเกินไปแล้ว"
การเดินเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นสไตล์สูตรสำเร็จมาร์เวลในยุคหลัง ๆ ไม่มีการปูอะไรให้อีกต่อไป นอกซะจากพูดเปรย ๆ ที่น่าจะพอทำให้คนนอกเข้าใจเนื้อเรื่อง แต่คงไม่เข้าถึงตัวละครหรือแรงจูงใจอะไรที่มันถูกปูมานานแล้ว ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่ได้ดูซีรีส์หรือหนังมาก่อน และผมก็ยังยืนยันว่าควรตามมาก่อนในระดับนึง ทั้ง หนังภาคแรก ซีรีส์วันด้าวิสชั่น โลกิ และวอทอิฟ หรือแม้แต่สไปเดอร์ แมน โนเวย์โฮม เพื่อจะได้เข้าใจคอนเซปต์ของมัลติเวิร์ส
ช่วงแรกค่อนข้างเดินเรื่องไว รวบรัดและเน้นฉากบู๊อลังการแบบที่เราเห็นกันจนแอบคิดว่ามันก็ซ้ำ ๆ แบบหนังเรื่องก่อน ๆ แต่ผมคิดผิดพอหลัง 20 นาทีแรกขึ้นมา หนังเทิร์นตัวเองจากหนังฮีโร่กลายเป็นหนังระทึกขวัญจิตวิทยาสำรวจความคิดและการกระทำของตัวละคร แถมมีความสยองขวัญไปแต่นั่นเองที่เป็นช่องโหว่สำคัญที่ทำให้บทค่อนข้างโหวงเมื่อเทียบกับหนังมาร์เวลเรื่องที่ผ่านมา หนังเลือกจะประเคนทุกอย่างตามคอนเซปต์ผสมกับมุกตลกสไตล์ผู้กำกับแซม ไรมี่ และฉากโหดเลือดสาดที่มากกว่าหนังทุกเรื่องของมาร์เวลแบบไม่ใช่เรต R ทำให้แฟนแกอมยิ้มได้อย่างแน่นอน เพราะเฮียแกเซอร์วิสแฟนซะจนนึกว่าแกมาทำภาคสปินออฟให้ผีอมตะแล้วด้วยซ้ำ
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้บทหนังมันดี เะเอาจริง ๆ หนังค่อนข้างมีพล็อตแค่ประมาณ 40 เปอร์เซนต์เท่านั้น 60 คือการใส่ฉากเซอร์วิสหรือหลอน ๆ ต่าง ๆ ที่ชวนเหวอมาเอาใจแฟนมาร์เวลกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง มันค่อนข้างบันเทิง แต่ถ้าหนังให้เวลากับตัวเองอีกหน่อย เราอาจจะอินหรือลุ้นไปกับตัวละครหรือสถานการณ์มากกว่านี้ โดยเฉพาะตอนจบที่จบแบบเบา ๆ ดื้อ ๆ ไม่สมกับที่เดินเรื่องมากว่าสองชั่วโมงใน ความเจ๋งและจุดเด่นมันเลยเป็นการนำเสนอพหุจักรวาลที่ก็ยังรู้สึกไม่บ้าคลั่งพอแบบผ่าน ๆ เพราะแม้หนังจะบอกว่าเป็นการเดินทางในพหุจักรวาล แต่จริง ๆ ก็มีพื้นที่ในการเล่นแค่ไม่กี่ที่ หนำซ้ำยังเป็นไปในทางที่เราไม่รู้สึกว้าวอะไรเท่าไหร่ มันเลยเป็นหนังมาร์เวลที่คนตั้งความหวังสูงในด้านการเชื่อมโยงหรือสเกลใหญ่ ๆ อาจจะผิดหวัง แต่ก็ไม่ใช่หนังที่แย่ แค่รู้สึกว่ามันถ่ายทอดบทออกมาได้ดีและเกลี่ยความสำคัญได้มากกว่านี้ มันเหมือนเราไปเล่นบ้านผีสิง 2 ชั่วโมงแล้วกำลังชั่งใจว่า เราสนุกมั้ยนะ ทำให้เราจดจำมั้ย หรือแค่ผ่าน ๆ ไป ไม่คิดอะไรต่อไปอีก
ตัวละคร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประเด็นของเรื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในส่วนของนักแสดง เราอาจจะได้เห็นเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ จากบทคาวบอยห่าม
โซชิตล์ โกเมซ อาจจะไม่ได้โชว์อะไรมากเท่าสองคนที่กล่าวไป แต่เธอก็โชว์ศักยภาพการแสดงที่เป็นธรรมชาติ ทั้งเศร้าและตลก น่ารักและสดใส ศักยภาพที่ทำให้เธอเป็นตัวขโมยซีนและ MVP ของเรื่อง ชวนให้ติดตามว่าเธอจะเป็นอย่างไรในอนาคต
ขอติเลย คือซีจีช่วงแรก ๆ ฉากสู้มันลอยมาก ให้อารมณ์เหมือนหนังสไปเดอร์แมนภาคแรกของผู้กำกับเลย คือเพราะเกรดสีหรือมุมกล้องหรือเปล่ามันทำให้ฉากมันดูลอย ๆ จนทำให้เรารู้สึกขัดหูขัดตา ในขณะที่ภาพและการนำเสนอของหนังให้อารมณ์แบบหนังมาร์เวลแต่หลุดไปทางหนังสยองขวัญจริง ๆ ทั้งฉากจัมพ์สแคร์ ฉากแหวะ ฉากเหวอ ๆ หรือมุมกล้องลายเซ็นของผู้กำกับที่ถ้าใครเป็นแฟนหนังเขาจะต้องร้อง ลายเซ็นผีอมตะอย่างแท้จริง จนอดคิดไม่ได้ว่ามาร์เวลเลือกเขามาคงเพราะไม่มีใครสามารถเนรมิตพหุจักรวาลแบบเพี้ยน ๆ ให้สุดขนาดนี้ได้อย่างเขาแน่นอน ในส่วนดนตรีประกอบก็มีความร็อคผสมอลัง ๆ แต่ก็มีความลึกลับผสมกับความงง ตื้อ ๆ ในพหุจักรวาลถือเป็นอะไรที่แปลกใหม่และดึงอารมณ์ของหนังได้ดี
หมอแปลก 2 คงเป็นการฟิวชั่นระหว่างหนังสยองขวัญจิตวิทยาแบบผีอมตะกับหนังพลังเวอร์วังแบบ MCU มันบันเทิง ตลก สยองขวัญ ชวนเหวอและสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ด้วยความที่หนังมันสั้นเกินไปเนี่ยแหละที่ทำให้ช่องโหว่ของบทมันเยอะ ทั้งน้ำหนักของเรื่องราว บทที่รวบรัด และบทสรุปที่ออกจะดื้อ ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พูดไม่ได้เต็มปากว่าดีมากตามที่หนังวิจารณ์ แต่ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ถ้าเป็นแฟนมาร์เวลที่ตามมาตลอดก็ห้ามพลาด ส่วนคนนอกถ้าไปดูคงได้อารมณ์แบบไปดูบ้านผีสิงหรือรถไฟเหาะ ดูจบแล้วอาจจะอยากไปตามจักรวาลหรือดูจบแล้วก็ผ่านไปเหมือนหนังเรื่องนึง ก็นานาจิตตัง ส่วนผมก็รู้สึกว่าได้เห็นทิศทางมาร์เวลที่หวังไว้ว่าจะเห็นมันฉีกไปไกลก็พอจะอุ่นใจว่า 10 ปีข้างหน้า มุกมาร์เวลคงไม่ได้กำลังตันไว และคงมีแนวทางใหม่ที่สามารถมาปรับใช้กับจักรวาลนี้ได้เรื่อย ๆ
สู้เขานะจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล แล้วมารอดูอนาคตไปด้วยกัน
(7.5/10)
สปอยเอนเครดิตสองตัว ใครยังไม่ได้ดู ห้ามกด!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้