สวัสดีครับ
ผมได้มีโอกาสไปดูหนังใหม่จากค่าย GDH มา กับเรื่อง "ฉลาดเกมส์โกง" (ที่จริงๆแล้วชื่อไม่ควรมี ส เสือการันต์ 555)
ฟังดูชื่อกระทู้อาจจะดูแปลกๆ ว่าหนังเรื่องนี้มันสะท้อนเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทยได้ยังไง? แต่ผมเป็นเพียงแค่คนคนหนึ่งที่ชมภาพยนต์เรื่องนี้จนจบแล้วรู้สึกว่า "นี่แหล่ะ! คือความเป็นไทย (ในด้านที่ไม่ค่อยจะดี) ตั้งแต่หัวจรดท้ายเรื่อง" และหนังเรื่องนี้ได้ให้อะไรกับผม ที่ผมอาจจะมองเห็นแต่ไม่มีโอกาสได้ถ่ายทอดให้ท่านอื่นรับรู้ (ผมไม่ใช่นักรีวิวหนังตัวยง) จึงเป็นที่มาของการตั้งกระทู้นี้ครับ
*Spoil Alert*
บทความนี้สปอยเนื้อเรื่องในหนังตั้งแต่ต้นจนจบ มีการวิเคราะห์เหตุการณ์แต่ละอย่างทุกจุด ใครไม่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อนไม่ควรอ่านครับ!!
- Chapter 1 - ปฐมบทแห่งการเริ่มต้น
ลินเป็นเด็กที่มีความสามารถมากมายทางด้านวิชาการ การเรียนรู้ และคุณพ่อเล็งเห็นถึงศักยภาพของลูก จึงต้องการให้ลูกได้เรียนในสถาบันการศึกษาที่ดีกว่าที่เดิม เพื่อโอกาสในอนาคต แม้จะต้องยอมจ่ายเงินมากแค่ไหนก็ตาม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้*เอกลักษณ์แห่งความเป็นไทยลำดับที่ 1* ชื่อเสียงของสถาบัน ส่งผลอย่างมากต่ออนาคตของเด็ก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นในทุกๆแห่งทั่วโลกว่าเด็กที่เรียนจบจากสถาบันที่ดี ย่อมมีภาษีกว่า แต่!! ในประเทศไทยความต่างชั้นกันของสถาบันการศึกษามีมากมายเหลือเกิน (จากข่าวดราม่าการรับคนเข้าทำงานที่มีการกีดกันนักศึกษาบางสถาบัน) สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าคุณไม่สามารถจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงได้ แม้คุณจะเก่งแค่ไหนก็ตาม คุณก็โดนตัดสินตั้งแต่ต้น
และลินได้พยายามที่จะปฏิเสธ ผ.อ. ของโรงเรียนว่า ไม่อยากเข้าเรียนที่นี่ ด้วยเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่าย และได้ทำการคำนวณตัวเลขในหัว ขณะที่คุณพ่อพยายามเบรคจน ผ.อ. ต้องพูดตัดบทว่า "เดี๋ยวจะให้ทุน"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้*เอกลักษณ์แห่งความเป็นไทยลำดับที่ 2* ตอนที่พ่อพยายามเบรคลิน ทั้งที่สิ่งที่ลินพูดเป็นการแสดงความเห็นแบบตรงไปตรงมาและมีเหตุผล สังคมไทยผู้ใหญ่มักไม่อยากให้เด็กแสดงความเห็นแบบตรงไปตรงมาแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม
- Chapter 2 - สู่ระบบสังคมการศึกษาแบบไทยๆ
ลินได้เข้ามาเรียนโดยได้ทุนเรียนฟรีทุกบาททุกสตางค์ (ตามคำกล่าวของ ผ.อ.) ลินเริ่มพบปะเพื่อน เริ่มมีเพื่อนสนิท (เกรซ) เกรซเป็นเด็กที่ต้นทุนครอบครัวสูงกว่าลิน เป็นเด็กสดใสร่าเริงและนิสัยไม่ได้เลวร้าย (ขอยืนยัน ว่าไม่เลวร้าย) แต่วันหนึ่ง เกรซเพื่อนสนิทของลินก็ถึงคราวเข้าตาจนเมื่อไม่เข้าใจโจทย์คณิตศาสตร์ที่ไปติวเรียนพิเศษมาแม้แต่น้อย และจำเป็นต้องทำคะแนนให้ได้ เพื่อจะได้ทำกิจกรรมที่ตัวรัก ในทางกลับกันลินกลับคิดว่าทำกิจกรรมยากกว่าเรียนตั้งเยอะ เดี๋ยวติวให้เอง..
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้*เอกลักษณ์แห่งความเป็นไทยลำดับที่ 3* คุณไม่สามารถสั่งให้ปลาปีนต้นไม้ได้เก่งเท่าลิง และไม่สามารถสอนให้ลิงว่ายน้ำได้เก่งเท่าปลา หากคุณตัดสินความสามารถของปลาด้วยการปีนต้นไม้ ปลาจะตายจากโลกนี้ไปโดยที่ไร้ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง ในทางกลับกัน โลกจะเสียนักว่ายน้ำที่เก่งที่สุดอย่างปลาไป... ประโยคที่เกรซพูดว่า "แค่กูเรียนไม่เก่ง กูไม่มีสิทธิเล่นละครเวทีเลยหรอวะ?" เป็นสิ่งที่ตอกย้ำสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน เอกลักษณ์ของความเป็นไทยคือตัดสินคุณค่าของเด็กด้วยระบบการศึกษาในแง่ของวิชาการมากจนเกินไป แต่หาใช่การพัฒนาความสามารถในสิ่งที่เขาถนัดไม่ ซ้ำความอัปยศอย่างสูงสุดคือทำลายโอกาสของเด็กที่มีความสามารถด้วยการยัดเยียดให้เค้าทำในสิ่งที่เค้าไม่ถนัดและตัดโอกาสในสิ่งเค้าถนัด!!
- Chapter 3 - ปฐมบทการล่มสลายแห่งโลกสีขาว
หลังจากที่ลินได้ติวให้เกรซ ในส่วนที่เกรซไม่เข้าใจสิ่งที่ครูในคลาสเรียนพิเศษ(ที่หมดเงินไปตั้งเยอะเพื่อเรียน)สอน ก็ถึงเวลาแห่งการสอบจริง เมื่อถึงเวลาแห่งการสอบจริง พอข้อสอบมาถึงมือ ลินก็ประหลาดใจว่า ข้อสอบในมือ เหมือนกับข้อสอบติวที่เกรซไปเสียเงินเพื่อเรียนมาทุกหน้ากระดาษ!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้*เอกลักษณ์แห่งความเป็นไทยลำดับที่ 4* สิ่งนี้มีอยู่จริง ผมเคยพบเจอกับตัวเองในคลาสเรียนพิเศษของโรงเรียนผมเอง (ขออนุญาตไม่พาดพิงชื่อสถาบัน) ในคลาสเรียนพิเศษที่ครอบครัวของผมต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อมาเรียน สอนทำการบ้าน สอนเก็บคะแนน และเอาข้อสอบมาเฉลย!! (โดยไม่บอกว่ามันคือข้อสอบ!!) แปลว่าคนมีเงินเรียนพิเศษเท่านั้น ที่มีโอกาสทำคะแนนได้ดีกว่า มันไม่แฟร์เอาซะเลย
ลินเลยหันไปถามเกรซว่า จำได้มั้ยที่ติวให้?? เกรซจำไม่ได้ (เพราะไม่เก่งเรื่องเรียน) ได้แต่นั่งร้องไห้ ด้วยความที่ลินรักเพื่อนมาก ลินจึงทำการ "โกงข้อสอบ" เป็นครั้งแรก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้*เอกลักษณ์แห่งความเป็นไทยลำดับที่ 5* การช่วยเหลือเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี แต่การช่วยเหลือมันก็มีทั้งวิธีที่ถูกและผิด และวิธีการช่วยเหลือแบบผิดๆมักเกิดขึ้นให้เห็นประจำในสังคมไทย (ในสังคมต่างชาติก็มีเช่นกัน แต่โดย Nature ของคนไทยกับต่างชาติต่างกันตรงที่ต่างชาติมักยึดหลักพึ่งพาตนเองมากกว่าเกาะๆกันไป) ส่วนตัวผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยช่วยเหลือเพื่อนแบบผิดวิธี ตั้งแต่จับกลุ่มทำรายงานที่ให้คนที่ไม่ทำอะไรออกเงินค่าใช้จ่าย (เอาง่ายๆมันก็คือการรับจ้างทำงานแทนเพื่อนนั่นแหล่ะ) ซึ่งมันเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง และเราทำมันมาตลอดจนเคยชิน
หลังจากที่สอบเสร็จ เกรซดีใจมากที่ได้ผลการเรียนในระดับดีมากพอดีจะสามารถเล่นละครเวทีต่อได้ จึงได้เชิญลินมาเที่ยวที่บ้านพัฒน์ พัฒน์เป็นเด็กรวยมากและมีแนวคิดที่เก่ง (ผมพูดไม่ผิดครับ เก่งจริงๆ) พัฒน์ได้เสนอเงื่อนไขที่ Win-Win กันทุกฝ่าย นั่นคือ... "จัดตั้งกระบวนการโกงข้อสอบ" โดยมีผลตอบแทนในหลักแสน ซึ่งลินไม่เห็นด้วยที่จะทำ จนกระทั่งพัฒน์ได้เล่าความจริงบางอย่างให้ลินฟังเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเอง เกรซ และลินได้มาเข้าเรียนที่นี่ นั่นคือ "แป๊ะเจี๊ยะ" ซึ่งแรกๆลินก็ไม่เชื่อ จนกระทั่งลินแอบไปค้นเอกสารที่บ้านจึงได้พบว่า พ่อของลินต้องชำระเงินจำนวนมหาศาลเพื่อให้ลินได้เข้าเรียนที่สถาบันแห่งนี้... โลกสีขาวที่ลินเคยคิดก็พังทลายลง "โรงเรียนเอาเงินไปจากพวกเราตั้งเยอะ ถึงเวลาที่เราจะเอาอะไรคืนมาบ้าง" พัฒน์ได้กล่าวไว้...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้*เอกลักษณ์แห่งความเป็นไทยลำดับที่ 6* แม้เรื่องแป๊ะเจี๊ยะจะไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ไม่ดีมากกว่าคือการที่ "ครอบครัว ไม่หยิบข้อเท็จจริงมาคุยกัน" ลินในภาพยนต์เป็นเด็ก ม.ปลาย (อายุ 16 ปี) ซึ่งในสังคมตะวันตก เด็กวัยนี้เป็นวัยที่เริ่มหาประสบการณ์จากการทำงานพิเศษกันเป็นเรื่องจริงจังแล้ว แต่! สังคมไทยยังเลือกที่จะปกปิดเรื่องบางเรื่องที่ควรพูดกับลูก เพราะมองว่าลูกเป็นเด็ก มีหน้าที่แค่เรียน!! แต่หารู้ไม่ว่าการปกปิดเรื่องราวบางอย่างที่สำคัญและปล่อยให้มารู้ในภายหลัง มันคือการทำร้ายความรู้สึก และความไว้เนื้อเชื่อใจได้ และส่งผลต่ออุปนิสัยใจคอ ทัศนคติของเด็กวัยรุ่นได้เลยทีเดียว (แม้คนเป็นพ่อแม่จะคิดว่าที่ไม่บอกเพราะหวังดีก็ตาม)
- Chapter 4 - Into The Darkside
หลังจากที่ลินช็อคเมื่อรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับค่าใช้จ่าย "แป๊ะเจี๊ยะ" ลินได้เล่นเปียโนเพื่อคลายเครียดและคุยกับพ่อเรื่องเรียน และได้เถียงกันจนพ่อหยอกเล่นและหนีไปอาบน้ำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้*เอกลักษณ์แห่งความเป็นไทยลำดับที่ 7* พ่อของลินได้พูดกับลินว่า ที่อยากให้มาเรียนที่นี่เพราะมันดี และเป็นโอกาสที่ดีของลูกในการเรียนต่อ แต่ลินได้พูดขึ้นมาประโยคนึง (ซึ่งเป็นประโยคที่พีคมากกกก) "พ่อไม่คิดหรอว่าหนูอยู่ที่เดิมหนูจะมีความสุขกว่า" หลายครั้งในสังคมไทยผู้ใหญ่มักเลือกเส้นทางให้เด็ก โดยที่ไม่เคยสนความรู้สึกของเด็กว่าเด็กคิดยังไงหรือแฮปปี้ไหมกับเส้นทางที่พ่อแม่เลือกให้ ท้ายที่สุดแล้วลูกก็กลายเป็นเครื่องมือของพ่อแม่แม้พ่อแม่จะมองว่าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกก็ตาม สุดท้ายพ่อของลินก็เฉไฉ และหนีไปอาบน้ำโดยไม่ตอบคำถามที่ลินถาม
เมื่อลินเล่นเปียโนได้ซักพักหนึ่ง จึงเกิดไอเดียเรื่อง Code ขึ้นมา ซึ่ง Code นี้แหล่ะที่จะใช้ในการโกงได้อย่างแนบเนียน ในที่สุดลินก็เข้าสู่ด้านมืดเต็มตัว ถึงเวลาแห่งการถอนทุนคืนแล้ว!!!!!
ขอพักเบรคก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมาเขียนต่อ เขียนเยอะไปกลัวไม่อ่านกัน อิอิ
[CR] ฉลาดเกมส์โกง--> "เอกลักษณ์แห่งความเป็นไทย" (Spoil และวิเคราะห์แบบสีเทา)
ผมได้มีโอกาสไปดูหนังใหม่จากค่าย GDH มา กับเรื่อง "ฉลาดเกมส์โกง" (ที่จริงๆแล้วชื่อไม่ควรมี ส เสือการันต์ 555)
ฟังดูชื่อกระทู้อาจจะดูแปลกๆ ว่าหนังเรื่องนี้มันสะท้อนเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทยได้ยังไง? แต่ผมเป็นเพียงแค่คนคนหนึ่งที่ชมภาพยนต์เรื่องนี้จนจบแล้วรู้สึกว่า "นี่แหล่ะ! คือความเป็นไทย (ในด้านที่ไม่ค่อยจะดี) ตั้งแต่หัวจรดท้ายเรื่อง" และหนังเรื่องนี้ได้ให้อะไรกับผม ที่ผมอาจจะมองเห็นแต่ไม่มีโอกาสได้ถ่ายทอดให้ท่านอื่นรับรู้ (ผมไม่ใช่นักรีวิวหนังตัวยง) จึงเป็นที่มาของการตั้งกระทู้นี้ครับ
*Spoil Alert*
บทความนี้สปอยเนื้อเรื่องในหนังตั้งแต่ต้นจนจบ มีการวิเคราะห์เหตุการณ์แต่ละอย่างทุกจุด ใครไม่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อนไม่ควรอ่านครับ!!
- Chapter 1 - ปฐมบทแห่งการเริ่มต้น
ลินเป็นเด็กที่มีความสามารถมากมายทางด้านวิชาการ การเรียนรู้ และคุณพ่อเล็งเห็นถึงศักยภาพของลูก จึงต้องการให้ลูกได้เรียนในสถาบันการศึกษาที่ดีกว่าที่เดิม เพื่อโอกาสในอนาคต แม้จะต้องยอมจ่ายเงินมากแค่ไหนก็ตาม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และลินได้พยายามที่จะปฏิเสธ ผ.อ. ของโรงเรียนว่า ไม่อยากเข้าเรียนที่นี่ ด้วยเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่าย และได้ทำการคำนวณตัวเลขในหัว ขณะที่คุณพ่อพยายามเบรคจน ผ.อ. ต้องพูดตัดบทว่า "เดี๋ยวจะให้ทุน"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- Chapter 2 - สู่ระบบสังคมการศึกษาแบบไทยๆ
ลินได้เข้ามาเรียนโดยได้ทุนเรียนฟรีทุกบาททุกสตางค์ (ตามคำกล่าวของ ผ.อ.) ลินเริ่มพบปะเพื่อน เริ่มมีเพื่อนสนิท (เกรซ) เกรซเป็นเด็กที่ต้นทุนครอบครัวสูงกว่าลิน เป็นเด็กสดใสร่าเริงและนิสัยไม่ได้เลวร้าย (ขอยืนยัน ว่าไม่เลวร้าย) แต่วันหนึ่ง เกรซเพื่อนสนิทของลินก็ถึงคราวเข้าตาจนเมื่อไม่เข้าใจโจทย์คณิตศาสตร์ที่ไปติวเรียนพิเศษมาแม้แต่น้อย และจำเป็นต้องทำคะแนนให้ได้ เพื่อจะได้ทำกิจกรรมที่ตัวรัก ในทางกลับกันลินกลับคิดว่าทำกิจกรรมยากกว่าเรียนตั้งเยอะ เดี๋ยวติวให้เอง..
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- Chapter 3 - ปฐมบทการล่มสลายแห่งโลกสีขาว
หลังจากที่ลินได้ติวให้เกรซ ในส่วนที่เกรซไม่เข้าใจสิ่งที่ครูในคลาสเรียนพิเศษ(ที่หมดเงินไปตั้งเยอะเพื่อเรียน)สอน ก็ถึงเวลาแห่งการสอบจริง เมื่อถึงเวลาแห่งการสอบจริง พอข้อสอบมาถึงมือ ลินก็ประหลาดใจว่า ข้อสอบในมือ เหมือนกับข้อสอบติวที่เกรซไปเสียเงินเพื่อเรียนมาทุกหน้ากระดาษ!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ลินเลยหันไปถามเกรซว่า จำได้มั้ยที่ติวให้?? เกรซจำไม่ได้ (เพราะไม่เก่งเรื่องเรียน) ได้แต่นั่งร้องไห้ ด้วยความที่ลินรักเพื่อนมาก ลินจึงทำการ "โกงข้อสอบ" เป็นครั้งแรก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากที่สอบเสร็จ เกรซดีใจมากที่ได้ผลการเรียนในระดับดีมากพอดีจะสามารถเล่นละครเวทีต่อได้ จึงได้เชิญลินมาเที่ยวที่บ้านพัฒน์ พัฒน์เป็นเด็กรวยมากและมีแนวคิดที่เก่ง (ผมพูดไม่ผิดครับ เก่งจริงๆ) พัฒน์ได้เสนอเงื่อนไขที่ Win-Win กันทุกฝ่าย นั่นคือ... "จัดตั้งกระบวนการโกงข้อสอบ" โดยมีผลตอบแทนในหลักแสน ซึ่งลินไม่เห็นด้วยที่จะทำ จนกระทั่งพัฒน์ได้เล่าความจริงบางอย่างให้ลินฟังเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเอง เกรซ และลินได้มาเข้าเรียนที่นี่ นั่นคือ "แป๊ะเจี๊ยะ" ซึ่งแรกๆลินก็ไม่เชื่อ จนกระทั่งลินแอบไปค้นเอกสารที่บ้านจึงได้พบว่า พ่อของลินต้องชำระเงินจำนวนมหาศาลเพื่อให้ลินได้เข้าเรียนที่สถาบันแห่งนี้... โลกสีขาวที่ลินเคยคิดก็พังทลายลง "โรงเรียนเอาเงินไปจากพวกเราตั้งเยอะ ถึงเวลาที่เราจะเอาอะไรคืนมาบ้าง" พัฒน์ได้กล่าวไว้...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- Chapter 4 - Into The Darkside
หลังจากที่ลินช็อคเมื่อรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับค่าใช้จ่าย "แป๊ะเจี๊ยะ" ลินได้เล่นเปียโนเพื่อคลายเครียดและคุยกับพ่อเรื่องเรียน และได้เถียงกันจนพ่อหยอกเล่นและหนีไปอาบน้ำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อลินเล่นเปียโนได้ซักพักหนึ่ง จึงเกิดไอเดียเรื่อง Code ขึ้นมา ซึ่ง Code นี้แหล่ะที่จะใช้ในการโกงได้อย่างแนบเนียน ในที่สุดลินก็เข้าสู่ด้านมืดเต็มตัว ถึงเวลาแห่งการถอนทุนคืนแล้ว!!!!!
ขอพักเบรคก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมาเขียนต่อ เขียนเยอะไปกลัวไม่อ่านกัน อิอิ