อภิชชาและโทมนัสนี้กล่าวไว้เป็นของคู่กัน ถ้าเวลาสบายดีก็อภิชชา คือมีจิตที่ทะเยอทะยานไปตามความอยาก แต่พอไม่สบายก็มีโทมนัส และของ ๒ อย่างนี้มีประจำอยู่ในโลก ดังนั้น จึงได้ตรัสว่านำอภิชชาและโทมนัสในโลกนี้ออกเสียได้ดังนี้
ขอให้มองให้ดี ๆ จนกระทั่งมองเห็นว่าในโลกนี้ไม่มีอะไร นอกจากอภิชชาและโทมนัส เพราะว่าคนทั่ว ๆ ไปนั้นก็ไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นสมบัตินอกจากอภิชชาและโทมนัส บางเวลาก็ร่าเริงหลงใหลลิงโลดไปต่าง ๆ นานา แล้วบางเวลาก็มานั่งร้องไห้อยู่ นี่เรียกว่าอภิชชาและโทมนัสมีอยู่ในโลก เป็นของประจำโลกอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ต้องเอาออกไปเสียโดยวิธีที่ถูกต้องที่สุด เพราะว่ามันใช้ไม่ได้ทั้ง ๒ อย่าง อภิชชาก็ไม่ไหว โทมนัสก็ไม่ไหว ถ้านำออกไปเสียได้จึงจะดีจึงจะไหวจึงจะว่าง คือมันว่างจากความรบกวบทั้งของอภิชชาและโทมนัส
ความมุ่งหมายของความมีสติก็คือ จะนำอภิชชาและโทมนัสออกมาเสียให้ได้ หรือจะพูดให้ถูกกว่านี้ก็เรียกว่าป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นก็มีสตินำออกเสียได้ทันทีและทันควัน ทำอย่างนี้เรียกว่า อาตาปี คือเป็นผู้มีความเพียรเผาบาป ความทุกข์ก็ควรจะถือว่าเป็นบาปชนิดหนึ่งหรือเป็นผลบาป เผาบาปก็คือเผาความทุกข์ รวมทั้งรากเหง้าของมันอย่าให้เสียไป
ทีนี้ก็มาดูซ้ำกันอีกทีว่าจะเป็นโอกาสไหนอีกเล่าที่จะเผาบาปคือความทุกข์ มันต้องเป็นเวลาที่มีความทุกข์ที่เรารู้สึกกันว่ามันเป็นบาปหรือเป็นผลบาป เมื่อบาปมันเกิดขึ้นก็ต้องเผามันเสียกระนั้นเอง จะไปมัวร้องไห้หรือครวญครางด้วยความเจ็บนั้นมันจะมีประโยชน์อะไร เมื่อบาปคือความทุกข์มาถึงเข้าก็ต้องเผามันเสียกระนั้น แล้วมันก็จะสูญสิ้นไปไม่กลับมารบกวนอีก ถ้าหากว่าเผาให้ถูกวิธีตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ นี่ตอนนี้คือคำอธิบายของคำว่าเป็นผู้มีสติ
ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ในธรรม ในพระธรรม ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่ว่าจะเผลอไม่ได้จะลืมไม่ได้จะประมาทไม่ได้ แต่ต้องหัดตั้งต้นมาตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ เช่นมีสติสัมปชัญญะในเรื่องง่าย ๆ นี้ก่อนแล้วจึงจะมีสติสัมปชัญญะในเรื่องที่ยากขึ้นไป
เช่นว่าเดิน ยืน นั่ง นอน มีสติสัมปชัญญะที่จะไม่ให้หกล้มหรือจะไม่ให้ผิดพลาด แต่ขั้นสูงขึ้นไปก็คือมีสติสัมปชัญญะในธรรมะ เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา เพราะว่าพอเปลี่ยนอิริยาบถจิตใจมันก็ฟุ้งซ่านกวัดแกว่ง มันก็มีการแทรกแซงของกิเลสหรือของความประมาท จึงหัดให้เป็นผู้ไม่ประมาทในทุกอิริยาบถ เราก็จะมีความรู้ในธรรมะนั้นเต็มเปี่ยมอยู่ทุกอิริยาบถ
การกระทำเช่นการกินถ้าอร่อยขึ้นมา มันก็ไปหลงใหลในความอร่อย มันก็ลืมอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือถ้ามันไม่อร่อยขึ้นมา มันก็ไปโกรธนั่นโกรธนี่ มันก็ลืมอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะฉะนั้นจึงต้องเตือนว่าเมื่อกินก็ดี เมื่อตื่นก็ดี เมื่อเคี้ยวก็ดี เมื่อลิ้มก็ดี จะต้องมีสัมปชัญญะ อย่าให้อภิชชาและโทมนัสครอบงำจิตนั่นเอง แม้แต่การที่จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะมันก็ยังมีเรื่องหรือมีโอกาส มีช่องทางที่จะเกิดความประมาทได้ จึงว่าไว้หมดทุก ๆ อิริยาบถจะต้องมีสติสัมปชัญญะและก็ไม่ลืม ไม่เผลอ
#๑๑๑ปีพุทธทาสภิกขุ
ธรรมะจากพระที่สอนเพื่อความดับทุกข์ก่อนตาย
ขอให้มองให้ดี ๆ จนกระทั่งมองเห็นว่าในโลกนี้ไม่มีอะไร นอกจากอภิชชาและโทมนัส เพราะว่าคนทั่ว ๆ ไปนั้นก็ไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นสมบัตินอกจากอภิชชาและโทมนัส บางเวลาก็ร่าเริงหลงใหลลิงโลดไปต่าง ๆ นานา แล้วบางเวลาก็มานั่งร้องไห้อยู่ นี่เรียกว่าอภิชชาและโทมนัสมีอยู่ในโลก เป็นของประจำโลกอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ต้องเอาออกไปเสียโดยวิธีที่ถูกต้องที่สุด เพราะว่ามันใช้ไม่ได้ทั้ง ๒ อย่าง อภิชชาก็ไม่ไหว โทมนัสก็ไม่ไหว ถ้านำออกไปเสียได้จึงจะดีจึงจะไหวจึงจะว่าง คือมันว่างจากความรบกวบทั้งของอภิชชาและโทมนัส
ความมุ่งหมายของความมีสติก็คือ จะนำอภิชชาและโทมนัสออกมาเสียให้ได้ หรือจะพูดให้ถูกกว่านี้ก็เรียกว่าป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นก็มีสตินำออกเสียได้ทันทีและทันควัน ทำอย่างนี้เรียกว่า อาตาปี คือเป็นผู้มีความเพียรเผาบาป ความทุกข์ก็ควรจะถือว่าเป็นบาปชนิดหนึ่งหรือเป็นผลบาป เผาบาปก็คือเผาความทุกข์ รวมทั้งรากเหง้าของมันอย่าให้เสียไป
ทีนี้ก็มาดูซ้ำกันอีกทีว่าจะเป็นโอกาสไหนอีกเล่าที่จะเผาบาปคือความทุกข์ มันต้องเป็นเวลาที่มีความทุกข์ที่เรารู้สึกกันว่ามันเป็นบาปหรือเป็นผลบาป เมื่อบาปมันเกิดขึ้นก็ต้องเผามันเสียกระนั้นเอง จะไปมัวร้องไห้หรือครวญครางด้วยความเจ็บนั้นมันจะมีประโยชน์อะไร เมื่อบาปคือความทุกข์มาถึงเข้าก็ต้องเผามันเสียกระนั้น แล้วมันก็จะสูญสิ้นไปไม่กลับมารบกวนอีก ถ้าหากว่าเผาให้ถูกวิธีตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ นี่ตอนนี้คือคำอธิบายของคำว่าเป็นผู้มีสติ
ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ในธรรม ในพระธรรม ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่ว่าจะเผลอไม่ได้จะลืมไม่ได้จะประมาทไม่ได้ แต่ต้องหัดตั้งต้นมาตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ เช่นมีสติสัมปชัญญะในเรื่องง่าย ๆ นี้ก่อนแล้วจึงจะมีสติสัมปชัญญะในเรื่องที่ยากขึ้นไป
เช่นว่าเดิน ยืน นั่ง นอน มีสติสัมปชัญญะที่จะไม่ให้หกล้มหรือจะไม่ให้ผิดพลาด แต่ขั้นสูงขึ้นไปก็คือมีสติสัมปชัญญะในธรรมะ เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา เพราะว่าพอเปลี่ยนอิริยาบถจิตใจมันก็ฟุ้งซ่านกวัดแกว่ง มันก็มีการแทรกแซงของกิเลสหรือของความประมาท จึงหัดให้เป็นผู้ไม่ประมาทในทุกอิริยาบถ เราก็จะมีความรู้ในธรรมะนั้นเต็มเปี่ยมอยู่ทุกอิริยาบถ
การกระทำเช่นการกินถ้าอร่อยขึ้นมา มันก็ไปหลงใหลในความอร่อย มันก็ลืมอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือถ้ามันไม่อร่อยขึ้นมา มันก็ไปโกรธนั่นโกรธนี่ มันก็ลืมอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะฉะนั้นจึงต้องเตือนว่าเมื่อกินก็ดี เมื่อตื่นก็ดี เมื่อเคี้ยวก็ดี เมื่อลิ้มก็ดี จะต้องมีสัมปชัญญะ อย่าให้อภิชชาและโทมนัสครอบงำจิตนั่นเอง แม้แต่การที่จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะมันก็ยังมีเรื่องหรือมีโอกาส มีช่องทางที่จะเกิดความประมาทได้ จึงว่าไว้หมดทุก ๆ อิริยาบถจะต้องมีสติสัมปชัญญะและก็ไม่ลืม ไม่เผลอ
#๑๑๑ปีพุทธทาสภิกขุ