นอกเหนือจากจังหวะ การตัดต่อ ดนตรีประกอบหนังและการแสดงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับว่าหนังทำออกมาได้ค่อนข้างดี คือการปูพื้นตัวละครได้ค่อนข้างแข็งแรง ในที่นี้จะพูดถึงเฉพาะลินกับแบงค์ ซึ่งเป็นอัจฉริยะที่เปรียบเสมือนเป็นขั้วตรงข้ามกัน
ลิน - หนังฉายให้เห็นความเป็นคน "เหลี่ยมจัด" (ไม่ว่าลินจะรู้ตัวหรือไม่) ของเธอได้อย่างฉลาด ไม่ว่าจะการคำนวณอย่างรวดเร็วของเธอ และโดยเฉพาะในฉากที่เธออยู่มัธยมต้นและพ่อพาเธอไปพบครูใหญ่วันสมัครเข้าโรงเรียน เธอระบุรายรับรายจ่ายที่เธอต้องเสียหากย้ายมาอยู่ในโรงเรียนนี้
หนังซูมให้เห็นพ่อลินที่แอบเขย่าขาลูกตลอดเวลาเพื่อปรามให้ลูกหยุดพูดต่อหน้าครูใหญ่ (ที่อาจจไม่ใช่แค่เรื่องของมารยาท แต่ไปไกลถึงเรื่องของความเกรงใจและระดับชั้นทางสังคมที่เหลื่อมล้ำ เราสังเกตได้ว่าแม้ครูใหญ่และพ่อลินจะรู้จักกันผ่านการเรียกชื่อ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพ่อลินนั้นมีความนอบน้อมเกรงใจต่อสถานะครูใหญ่ของอีกฝ่าย แม้จะอยู่คนละโรงเรียน พร้อมกันนั้นก็อยู่ในบทบาทที่เจียมตัวต่อการเป็นครูในโรงเรียนเล็กกว่าของตน-ตรงนี้คิดว่าหนังทำได้เห็นชัดและละเอียด) แน่นอนว่าลินไม่ได้หยุดพูด เธอน่าจะคำนวณความได้เปรียบเสียเปรียบแล้วว่าโรงเรียนน่าจะอยากได้ตัวเธอมาก และเธอก็ไม่ลังเลที่จะแสดงศักยภาพของตัวเอง พร้อมต่อรองสถานะของเธอ (และอาจจะของพ่อ) ให้สูงขึ้น
ตรงนี้ชี้ให้เห็นแต่แรกว่าเธอเป็นคนมีไหวพริบ และไม่ชอบการถูกเอาเปรียบ (ก่อนจะนำไปสู่ฉากการสอบเลขและการโกงครั้งแรกของเธอ ที่เธอโมโหครูสอนเลขที่ออกข้อสอบเหมือนชีทสอนพิเศษ) นี่จึงชี้ว่าในขั้นต้นแล้วเธอไม่ใช่คนเห็นแก่เงินเสียทีเดียว แต่มันมาจากความอึดอัดใจที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบในสังคม
หนังกำหนดให้ลินเป็นคนถนัดซ้ายตามความเชื่อของ ผกก ว่าคนถนัดซ้ายจะหัวดี (น้องออกแบบถนัดขวา) และเท่าที่เห็น ลินมีมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนที่ดี ไม่ใช่แค่เพราะเธอยอมให้พวกเขาลอก แต่จะเห็นว่า เธอคุยกับคนอื่นง่ายพอสมควร
ไม่เพียงเท่านั้น ไหวพริบของเธอนั้นมาพร้อมความเป็นมืออาชีพ เมื่อเธอรับงานและเงินมาแล้ว อุปสรรคแรกที่เธอเจอคือข้อสอบมีสองชุด ลินไม่ได้ถอย เธอมุ่งหน้าทำข้อสอบทั้งสองชุดให้ลูกค้าของเธอลอกได้ทั้งหมด และมากไปกว่านั้น ไหวพริบของเธอสะท้อนผ่านแผนการแยบยลในการให้ลอก ไม่ว่าจะด้วยคีย์เปียโน หรือการลัดฟ้าไปโกงข้อสอบ เธอคือผู้คิดแผนการทั้งนั้น (และการคิดแผนการสุดเฉียบนี้จะมีไม่ได้เลยถ้าขาดความเฉลียวและปราดเปรียวนี้)
(สังเกตได้ว่า ทุกครั้งที่ลินตกอยู่ในภาวะลังเลหรือสับสน หนังจะถ่ายเงาของลินที่สะท้อนในกระจกมากมายหลายบาน ซึ่งเป็นภาพแทนความคิดอันกระจัดกระจายของเธอ ไม่ว่าจะความลังเลก่อนรับงาน หรือความลังเลขณะที่คิดเรื่องแบงค์ ซึ่งแทบจะเป็นเทคนิคเดียวกับที่ดาร์เรน อโรนอฟสกี ใช้ใน black swan)
แบงค์ - เป็นตัวละครที่ถูกเขียนมาอย่างน่ารักและน่าเห็นใจ (ซึ่ง นน นักแสดงทำได้ดีมากๆ ทั้งแววตาและภาษากายหลายอย่าง) เราเห็นความซื่อตรงราวกับไม้บรรทัดของเขาและความซื่อบางอย่างที่อาจจะเรียกได้ว่า เกือบจะเป็นคนไม่เฉียว (โต้งมาขอจ้างลอกข้อสอบ แต่ปฏิเสธด้วยอาการหงุดหงิดแบบไม่ถนอมน้ำใจ หรือแววตายอมรับในทีตอนที่พัฒน์พูดว่า แบงค์เป็นคนไม่มีใครคบ คือแบงค์ก็น่าจะรับรู้ตัวเองระดับหนึ่งว่าไม่ใช่คนที่เป็นที่เอ็นดูของเพื่อนนักแต่ก็ไม่เป็นไร)
ในขั้วตรงข้ามของลิน ความฉลาดของแบงค์ถูกขับออกมาผ่านการท่องจำ (ขณะที่ลิน หนังขับความฉลาดของเธอด้วยการให้เธอคำนวณความได้เปรียบเสียเปรียบมากมาย) และก็เหมือนที่เขาบอก "ผมไม่ได้คิด ผมจำได้เฉยๆ" (การ "คิด" ได้เองกับ "จำ" ได้เอง มันย่อมบอกความแตกต่างของบุคลิกได้ประมาณหนึ่ง) และมีบุคลิกบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า เขามีระดับการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ปกตินัก (วิธีพูด อาการเก็บซ่อนความรู้สึกไม่เก่ง-ไม่เป็น) จนเหมือนมีอาการของกลุ่มออทิสติกอ่อนๆ (อันนี้คิดเอง ไม่รู้หนังจงใจให้คิดหรือเปล่า)
แบงค์ไม่เคยเก็บอาการซื่อของตน (ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) เขาบอกครูเรื่องการลอกข้อสอบของโต้ง เมื่อเห็นว่าครูคุมสอบเฉยก็ไปบอกครูใหญ่ (จนทำให้สถานะตัวละครนี้ทำหน้าที่สะท้อนความเฉยชาของผู้มีอำนาจในสังคมไปโดยปริยาย) และเผชิญหน้ากับสถานการณ์น่าอึดอัดเมื่อครูใหญ่ตัดสินใจลงโทษโต้งและลิน พร้อมพูดว่าตัดสิทธิ์ทุนของลิน แบงค์ยืนรับฟังทั้งหมดโดยไม่ปิดบังตัวตนว่าเขาคือคนมาฟ้อง (ทั้งที่โดยทั่วไปแล้ว คนที่ฟ้องมักอยู่ในสถานะ แอบๆ มากกว่าโจ่งแจ้งแบบนี้)
แต่นั่นก็อาจเพราะแบงค์ไม่รู้ว่าลินคือผู้สมรู้ร่วมคิด เขามองว่าลินกับเขาตกอยู่ในสถานะเดียวกันคือผู้เสียเปรียบในสังคมเฮงซวยแห่งนี้ เราจึงเห็นอาการตกใจตอนรู้ว่าลินคือคนสมยอมให้ลอก และมีแววตาเสียใจพร้อมคัดค้านการลงโทษตัดสิทธิ์ทุน
หนังฉายให้เห็นอาการตื่นกลัวง่ายของแบงค์ตอนออกทีวีพร้อมลิน แต่มากกว่านั้นคือการประหม่าต่อหน้าเด็กสาว (แถมเก็บอาการไม่เป็นด้วย) มันทำให้ฉากที่ลินบอกว่า "นายเหมือนพ่อเราจริงๆ" แล้วแบงค์ถามกลับ (ด้วยแววตาประหม่า) ว่า "แล้วมันดีหรือไม่ดี" กลายเป็นฉากน่ารักๆ ของหนังไปในที่สุด
ขณะที่ลินคือผู้วางแผนการโกงทั้งหมด แบงค์อยู่ในสถานะ "คนทำตาม" เฉยๆ ความซื่อปนมึนงงของแบงค์ถูกนำเสนอผ่านการซักซ้อมการโกงที่บ้านของเกรซ ที่เขาถามว่า "ต้องอ้วกให้ดูไหม" ซึ่งมันแสนจะสะท้อนความใสบางอย่างในตัวของเด็กหนุ่ม
ซึ่งความใสบางอย่างที่ว่านี้ เมื่อหนังหักมุมกลางเรื่อง แบงค์กลายเป็นคนถือแต้มต่อรอง ก็ทำให้ตัวละครของเขาดำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดนั่นเอง และการที่เขาเรียนรู้การมีแต้มต่อรองครั้งแรก (อาจจะครั้งแรกในชีวิตด้วยซ้ำ) ก็เปลี่ยนแบงค์ไปตลอดกาลหลังจากนั้น

ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันเรื่องภาพยนตร์กันนะคะ
Page:
https://www.facebook.com/llkhimll
Blog:
http://llkhimll.wordpress.com/
(ฉลาดเกมส์โกง) วิเคราะห์ตัวละคร "ลิน" กับ "แบงค์" อย่างละเอียด ความแตกต่างกันของสองขั้วอัจฉริยะ
ลิน - หนังฉายให้เห็นความเป็นคน "เหลี่ยมจัด" (ไม่ว่าลินจะรู้ตัวหรือไม่) ของเธอได้อย่างฉลาด ไม่ว่าจะการคำนวณอย่างรวดเร็วของเธอ และโดยเฉพาะในฉากที่เธออยู่มัธยมต้นและพ่อพาเธอไปพบครูใหญ่วันสมัครเข้าโรงเรียน เธอระบุรายรับรายจ่ายที่เธอต้องเสียหากย้ายมาอยู่ในโรงเรียนนี้
หนังซูมให้เห็นพ่อลินที่แอบเขย่าขาลูกตลอดเวลาเพื่อปรามให้ลูกหยุดพูดต่อหน้าครูใหญ่ (ที่อาจจไม่ใช่แค่เรื่องของมารยาท แต่ไปไกลถึงเรื่องของความเกรงใจและระดับชั้นทางสังคมที่เหลื่อมล้ำ เราสังเกตได้ว่าแม้ครูใหญ่และพ่อลินจะรู้จักกันผ่านการเรียกชื่อ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพ่อลินนั้นมีความนอบน้อมเกรงใจต่อสถานะครูใหญ่ของอีกฝ่าย แม้จะอยู่คนละโรงเรียน พร้อมกันนั้นก็อยู่ในบทบาทที่เจียมตัวต่อการเป็นครูในโรงเรียนเล็กกว่าของตน-ตรงนี้คิดว่าหนังทำได้เห็นชัดและละเอียด) แน่นอนว่าลินไม่ได้หยุดพูด เธอน่าจะคำนวณความได้เปรียบเสียเปรียบแล้วว่าโรงเรียนน่าจะอยากได้ตัวเธอมาก และเธอก็ไม่ลังเลที่จะแสดงศักยภาพของตัวเอง พร้อมต่อรองสถานะของเธอ (และอาจจะของพ่อ) ให้สูงขึ้น
ตรงนี้ชี้ให้เห็นแต่แรกว่าเธอเป็นคนมีไหวพริบ และไม่ชอบการถูกเอาเปรียบ (ก่อนจะนำไปสู่ฉากการสอบเลขและการโกงครั้งแรกของเธอ ที่เธอโมโหครูสอนเลขที่ออกข้อสอบเหมือนชีทสอนพิเศษ) นี่จึงชี้ว่าในขั้นต้นแล้วเธอไม่ใช่คนเห็นแก่เงินเสียทีเดียว แต่มันมาจากความอึดอัดใจที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบในสังคม
หนังกำหนดให้ลินเป็นคนถนัดซ้ายตามความเชื่อของ ผกก ว่าคนถนัดซ้ายจะหัวดี (น้องออกแบบถนัดขวา) และเท่าที่เห็น ลินมีมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนที่ดี ไม่ใช่แค่เพราะเธอยอมให้พวกเขาลอก แต่จะเห็นว่า เธอคุยกับคนอื่นง่ายพอสมควร
ไม่เพียงเท่านั้น ไหวพริบของเธอนั้นมาพร้อมความเป็นมืออาชีพ เมื่อเธอรับงานและเงินมาแล้ว อุปสรรคแรกที่เธอเจอคือข้อสอบมีสองชุด ลินไม่ได้ถอย เธอมุ่งหน้าทำข้อสอบทั้งสองชุดให้ลูกค้าของเธอลอกได้ทั้งหมด และมากไปกว่านั้น ไหวพริบของเธอสะท้อนผ่านแผนการแยบยลในการให้ลอก ไม่ว่าจะด้วยคีย์เปียโน หรือการลัดฟ้าไปโกงข้อสอบ เธอคือผู้คิดแผนการทั้งนั้น (และการคิดแผนการสุดเฉียบนี้จะมีไม่ได้เลยถ้าขาดความเฉลียวและปราดเปรียวนี้)
(สังเกตได้ว่า ทุกครั้งที่ลินตกอยู่ในภาวะลังเลหรือสับสน หนังจะถ่ายเงาของลินที่สะท้อนในกระจกมากมายหลายบาน ซึ่งเป็นภาพแทนความคิดอันกระจัดกระจายของเธอ ไม่ว่าจะความลังเลก่อนรับงาน หรือความลังเลขณะที่คิดเรื่องแบงค์ ซึ่งแทบจะเป็นเทคนิคเดียวกับที่ดาร์เรน อโรนอฟสกี ใช้ใน black swan)
แบงค์ - เป็นตัวละครที่ถูกเขียนมาอย่างน่ารักและน่าเห็นใจ (ซึ่ง นน นักแสดงทำได้ดีมากๆ ทั้งแววตาและภาษากายหลายอย่าง) เราเห็นความซื่อตรงราวกับไม้บรรทัดของเขาและความซื่อบางอย่างที่อาจจะเรียกได้ว่า เกือบจะเป็นคนไม่เฉียว (โต้งมาขอจ้างลอกข้อสอบ แต่ปฏิเสธด้วยอาการหงุดหงิดแบบไม่ถนอมน้ำใจ หรือแววตายอมรับในทีตอนที่พัฒน์พูดว่า แบงค์เป็นคนไม่มีใครคบ คือแบงค์ก็น่าจะรับรู้ตัวเองระดับหนึ่งว่าไม่ใช่คนที่เป็นที่เอ็นดูของเพื่อนนักแต่ก็ไม่เป็นไร)
ในขั้วตรงข้ามของลิน ความฉลาดของแบงค์ถูกขับออกมาผ่านการท่องจำ (ขณะที่ลิน หนังขับความฉลาดของเธอด้วยการให้เธอคำนวณความได้เปรียบเสียเปรียบมากมาย) และก็เหมือนที่เขาบอก "ผมไม่ได้คิด ผมจำได้เฉยๆ" (การ "คิด" ได้เองกับ "จำ" ได้เอง มันย่อมบอกความแตกต่างของบุคลิกได้ประมาณหนึ่ง) และมีบุคลิกบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า เขามีระดับการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ปกตินัก (วิธีพูด อาการเก็บซ่อนความรู้สึกไม่เก่ง-ไม่เป็น) จนเหมือนมีอาการของกลุ่มออทิสติกอ่อนๆ (อันนี้คิดเอง ไม่รู้หนังจงใจให้คิดหรือเปล่า)
แบงค์ไม่เคยเก็บอาการซื่อของตน (ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) เขาบอกครูเรื่องการลอกข้อสอบของโต้ง เมื่อเห็นว่าครูคุมสอบเฉยก็ไปบอกครูใหญ่ (จนทำให้สถานะตัวละครนี้ทำหน้าที่สะท้อนความเฉยชาของผู้มีอำนาจในสังคมไปโดยปริยาย) และเผชิญหน้ากับสถานการณ์น่าอึดอัดเมื่อครูใหญ่ตัดสินใจลงโทษโต้งและลิน พร้อมพูดว่าตัดสิทธิ์ทุนของลิน แบงค์ยืนรับฟังทั้งหมดโดยไม่ปิดบังตัวตนว่าเขาคือคนมาฟ้อง (ทั้งที่โดยทั่วไปแล้ว คนที่ฟ้องมักอยู่ในสถานะ แอบๆ มากกว่าโจ่งแจ้งแบบนี้)
แต่นั่นก็อาจเพราะแบงค์ไม่รู้ว่าลินคือผู้สมรู้ร่วมคิด เขามองว่าลินกับเขาตกอยู่ในสถานะเดียวกันคือผู้เสียเปรียบในสังคมเฮงซวยแห่งนี้ เราจึงเห็นอาการตกใจตอนรู้ว่าลินคือคนสมยอมให้ลอก และมีแววตาเสียใจพร้อมคัดค้านการลงโทษตัดสิทธิ์ทุน
หนังฉายให้เห็นอาการตื่นกลัวง่ายของแบงค์ตอนออกทีวีพร้อมลิน แต่มากกว่านั้นคือการประหม่าต่อหน้าเด็กสาว (แถมเก็บอาการไม่เป็นด้วย) มันทำให้ฉากที่ลินบอกว่า "นายเหมือนพ่อเราจริงๆ" แล้วแบงค์ถามกลับ (ด้วยแววตาประหม่า) ว่า "แล้วมันดีหรือไม่ดี" กลายเป็นฉากน่ารักๆ ของหนังไปในที่สุด
ขณะที่ลินคือผู้วางแผนการโกงทั้งหมด แบงค์อยู่ในสถานะ "คนทำตาม" เฉยๆ ความซื่อปนมึนงงของแบงค์ถูกนำเสนอผ่านการซักซ้อมการโกงที่บ้านของเกรซ ที่เขาถามว่า "ต้องอ้วกให้ดูไหม" ซึ่งมันแสนจะสะท้อนความใสบางอย่างในตัวของเด็กหนุ่ม
ซึ่งความใสบางอย่างที่ว่านี้ เมื่อหนังหักมุมกลางเรื่อง แบงค์กลายเป็นคนถือแต้มต่อรอง ก็ทำให้ตัวละครของเขาดำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดนั่นเอง และการที่เขาเรียนรู้การมีแต้มต่อรองครั้งแรก (อาจจะครั้งแรกในชีวิตด้วยซ้ำ) ก็เปลี่ยนแบงค์ไปตลอดกาลหลังจากนั้น
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันเรื่องภาพยนตร์กันนะคะ
Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/