สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
Listening
ต้องได้ประมาณ 13-15 คะแนน จาก 40 ถึงจะได้ 4.5 เท่าที่เราจำได้นะ เค้าไม่ได้พูดเร็วขนาดนั้น แต่พูดสำเนียงอังกฤษ ถ้าอยากเตรียมตัวเรื่อง listening ฟังพวกข่าว bbc จะช่วย เราว่าสำเนียงมันประมาณนั้นแต่ช้ากว่านะ
แบ่งเป็น 4 part แต่ละ part เค้าเปิดเทปรอบเดียว
part 1 เป็นพวกคนสองคนคุยกัน จะเหมือนการกรอกฟอร์ม เค้าจะบอกพวก ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ หรือ ที่อยู่ หรือเป็นกรอกตารางเช่น รถออกกี่โมง ออกจากที่ไหน ตั๋วราคาเท่าไหร่ บางทีเค้าจะสะกดคำ หรือบอกเบอร์โทรให้ฟัง บางทีจะทำทีเหมือนบอกผิดแล้วแก้ใหม่ (แบบ 3 4 5 เอ๊ยผิดๆ 3 5 4 อะไรแบบนั้น) ฉะนั้น ฟังดีๆ ฟังให้จบ อย่าพึ่งฟันธงแล้วเขียนไปเลย
part 2 เป็นคนเดียวพูดเกี่ยวกับอะไรทั่วไป อาจจะเป็นเรื่องที่อยู่ ชุมชน อะไรแบบนั้น มีให้ตอบหลายแบบเช่น multiple choice จับคู่ หรือ เขียน เช่น โทรหาเจ้าหน้าที่ ถ้าโทรครั้งแรกจะได้คุยกับใคร (ให้จับคู่ตามที่เทปบอก) หรือว่า ให้มาเป็นตารางเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์แล้วให้กรอกพวก วันจันทร์มีจัดแสดงอะไร จัดแสดงXXX กี่โมง ตั๋วราคาเท่าไหร่
part 3 เป็นการคุยกันหลายๆคนเป็นกลุ่ม ก็จะเป็นเรื่องที่จริงๆจัง อยู่ในลักษณะการเรียนการสอนขึ้นมาหน่อย เป็นให้เขียนคำตอบที่เค้าถามมา หรือว่าให้กรอกแผนภาพ ตรงนี้ต้องระวังหน่อย เพราะคุยกันหลายคน อาจมีมึนบ้าง เค้าจะเริ่มใช้คำที่ความหมายคล้ายกับคำถามแทนที่จะพูดตรงๆ เช่น คำถามอาจจะใช้คำว่า at present แต่เทปอาจจะพูด now หริอ currently
part 4 เป็นคนพูดคนเดียว แต่เกี่ยวกับอะไรที่วิชาการหน่อย ก็จะคล้ายๆ part 3 แต่มาแบบรัวกว่าหน่อย บางทีเป็น multiple choice บางทีเป็นเขียนตอบ ใช้คำพ้องความหมายมากขึ้น
อ่านคำถามดีๆ พยายามจับว่าคำถามถามอะไรก่อนที่เทปจะเล่น เช่นเค้าถามว่า 2 places to find information เราต้องจับให้ได้ว่าเค้าเริ่มพูดเรื่อง places นี่เมื่อไหร่ ถ้าเป็น part 1-3 เค้าจะมีเกริ่นออกมานิดนึงก่อนให้เราพอรู้บ้าง ข้อดีคือคำถามเรียงตามสิ่งที่เทปพูด คือถ้าคำถามถามเรื่องเบอร์โทรศัพท์ก่อนที่อยู่ เทปก็จะพูดเรื่องโทรศัพท์ก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องที่อยู่ จะไม่วกกลับไปกลับมา
แล้วโจทย์เค้าจะมีบอกว่าแต่ละ part คำตอบจะต้องไม่เกินกี่คำ ก็อย่าไปเกินล่ะ เช่น part 1 คำตอบจะต้องไม่เกิน 1-2 คำ ฉะนั้นถ้าตอบ he likes apple อะไรแบบนี้ก็ไม่ใช่แล้ว แล้วก็ดูเรื่องเอกพจน์ พหูพจน์ดีๆ ตอบคุถามถูก แต่ลืมพหูพจน์ เค้าก็ให้ผิดนะ (แบบตอบ apple แต่จริงๆแล้วต้องเป็น apple"s" เค้าก็ให้เราผิดอ่ะ)
เค้ามีเวลาประมาณ 10 นาทีให้เขียนคำตอบลงกระดาษคำตอบหลังจากฟังเทป+ตอบคำถามหมดแล้ว ฉะนั้น เราสามารถโน้ต/วงคำตอบไว้ในกระดาษคำถามก่อน
Reading
ต้องได้ประมาณ 13-14 คะแนนจาก 40 ถึงจะได้ 4.5 อ่านบทความ 3 อัน ตอบ 40 ข้อ บทความน่าจะซักประมาณ 1-2 หน้าได้ มี multiple choice จับคู่ เขียนคำตอบ บางทีกรอกแผนภูมิ แล้วก็ true/false/not given สำหรับเรา ยากสุดคือไอ้ true/false/not given เพราะเรามักจะแยก not given กะ false ไม่ถูก
อันนี้แล้วแต่คนถนัดนะว่าจะทำไง ส่วนเราคืออ่านหมดรอบนึงก่อนให้รู้คร่าวๆว่าอะไรอยู่ตรงไหน แล้วก็อ่านคำถาม แล้วกลับไปดูคำตอบจากบทความ (หาได้เร็วขึ้น เพราะอ่านไปแล้วรอบนึง จะพอรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน) เราหา keyword เอาจากคำถามว่าเค้าถามเรื่องอะไรแล้วก็ไปหา เท่าที่จำได้ คำถามก็เรียงกันหมดเหมือนกันนะ คือถ้าคำตอบข้อแรกอยู่ paragraph 3 แล้ว ข้อสองมันจะไม่กลับไป paragraph 1 อะไรแบบนั้น (เท่าที่จำได้นะ ไม่ได้ทำมาหลายปีแล้วล่ะ)
Writing
แบ่งเป็น 2 part
part 1 เป็นอธิบายแผนภูมิ 150 คำขึ้นไป แล้วก็ part 2 เป็นเรียงความ 250 คำขึ้นไป
เค้าดูอะไรบ้าง เค้าดู task achievement คือเราตอบโจทย์เค้ารึเปล่า coherence and cohesion คือ essay เราปะติดปะต่อกันรึเปล่า ลื่นไหลรึเปล่า lexical resources คือการใช้คำศัพท์ กะ grammar ถ้าใช้คำธรรมดา ก็คงได้คะแนนเรื่องการใช้คำศัพท์นิดหน่อย ถ้าธรรมดามากเกินก็ได้คะแนนตรงนี้ต่ำ ถ้าใช้ผิดแกรมม่าก็ได้คะแนนตรงแกรมม่าต่ำลง
task achievement ทำไง ก็ตอบโจทย์เค้า เช่น part 1 ให้อธิบายแผนภูมิ เราก็อธิบายมันซะ ถ้าเป็นกราฟก็อธิบายไปว่า กราฟนี้เป็นกราฟอะไร อะไรสูงสุด อะไรต่ำสุด กราฟค่อยๆขึ้น หรือขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือ ขึ้นอย่างรวดเร็วไปถึงจุด XXX หรือ ปี XXX แล้วค่อยๆลดลง ก็ว่าไป แล้วก็เปรียบเทียบระหว่างกราฟสองอัน เช่น กราฟนี้สูงกว่ากราฟนี้เท่าไหร่ อาจจะกี่เปอร์เซ็นต์ หรือกี่เท่าก็ว่ากันไป ส่วน part 2 ถ้าเค้าถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ พร้อมยกตัวอย่าง เราก็เขียนไปพร้อมสรุปว่าเราเห็นด้วยกับคำถามหรือไม่ ทำไม
coherence and cohesion ทำไงให้ลื่นไหล นั่นคือ structure ของ essay กับการใช้คำ structure เราก็เรียงบทความที่เราเขียนให้เข้าใจง่าย อ่านง่าย มี intro มี main body แล้วก็จบที่ conclusion ตัว main body ก็เรียงดีๆ เช่น part 2 จัด main body ให้อ่านง่าย แบบในย่อหน้าก็เรียงเหตุผล 1, 2, 3 แล้วเวลาอธิบายหรือยกตัวอย่างก็ทำเรียงไป แบบ เห็นด้วยเพราะเหตุผล 1, 2, 3 เหตุผล 1 เพราะXXX ยกตัวอย่างXXX เหตุผล 2 เพราะYYY ยกตัวอย่างYYY เหตุผล 3 เพราะZZZ ยกตัวอย่างZZZ แล้วก็อาจจะมีเหตุผลโต้แย้งอีกย่อหน้านึง (วิธีการเรียงก็เรียงเหมือนที่อธิบายไปเมื่อกี๊) แล้วก็สรุป ตกลงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
lexical resource อันนี้คือการใช้คำหลากหลายและใช้ให้ถูกกรณี ถ้าถามเรานะ ถ้าไม่ชัวร์ว่าคำไหนใช้ยังไง ให้ใช้คำที่เราแน่ใจว่าคำนี้ใช้เวลานี้แน่ๆ เราอาจจะได้เรื่องความหลากหลายน้อยหน่อย แต่ยังไงเราก็ไม่โดนหักเรื่องใช้ไม่ถูกที่ถูกบริบท
แกรมม่า ไม่ต้องอธิบายมากเนอะ
writing ให้เขียนน้อยๆ ไม่ต้องเกินที่เค้าขอมากมายหรอก เค้าขอ 150 กะ 250 เราก็ไม่ต้องเขียนถึง 300-400 อะไรหรอก เอาน้อยๆ ให้มีเวลากลับมาเช็คงานตัวเองดีกว่า
ฝึกยังไงให้ได้ตามที่เค้ากำหนด ในเน็ตมีตัวอย่างของข้อสอบเยอะอยู่ ลองไปหาแล้วทำดู ทำไปเรื่อยๆจะเริ่มรู้ว่าเขียนประมาณนี้แหละ 150 คำ หรือ 250 คำ ทำแล้วอาจจะให้คนอื่นช่วยอ่านให้ ดูว่าเข้าใจมั้ย แกรมม่าถูกมั้ย
Speaking
แบ่งเป็น 3 part เค้าดู fluency and coherency คือเราพูดลื่นไหลรึเปล่า lexical resource การใช้คำ grammar แกรมม่า กะ pronunciation การออกเสียง
part 1 แนะนำตัวเอง ฟรีสไตล์เลย เราชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ มาจากไหน เรียนอะไร ทำงานอะไร มีงานอดิเรกอะไร ชอบทำอะไร จะไปทำอะไร พูดได้หมดที่เกี่ยวกับตัวเอง เค้าไม่ค่อยยุ่งกะเรามากหรอกตอนนี้
part 2 เป็นพูด 2 นาทีไม่หยุดเกี่ยวกับหัวข้อที่เค้าให้มา เค้าจะให้เวลา 1 นาทีในการเตรียมตัว ใช้ไอ้ 1 นาทีนี้อย่างมีค่า วางแผนดีๆว่าจะพูดอะไรบ้าง จะได้ไม่เอิ่ม เอ่อ ระหว่างพูด หรือว่าหมดมุกระหว่างเค้าจับเวลา ถ้าหมดเวลาแล้วเค้าจะขอให้หยุดเลย เราอาจจะอึ้งที่เค้าอยู่ดีๆก็ขัดเราแบบ พอๆๆๆ อะไรแบบนั้น แต่ช่างเถอะ นั่นหมายความว่าเราพูดได้จนจบเวลาที่เค้าให้มา
part 3 เป็นคุยกับเค้าต่อจากเรื่องที่เราพูดไปใน part 2 ก็เป็นการคุยกันธรรมดา ถามตอบอ่ะ ถ้าเราไม่เข้าใจ หรือฟังไม่ทัน ถามเค้าเลย ไม่ต้องอาย ให้เค้าถามอีกรอบ หรือว่าบอกไปเลยว่าไม่เข้าใจคำไหน แบบ "pardon" หรือ "could you repeat the question" หรือ "excuse me / I'm sorry, I don't understand the question" หรือว่า "excuse me / I'm sorry, what does XXX mean?" หรืออะไรแบบนั้น ให้เค้าถามเราใหม่ หรือใช้คำอื่นที่ง่ายขึ้น เราว่าถึงแม้ว่าถ้าเราไม่เข้าใจคำนั้น เราอาจจะได้คะแนนเรื่องคำศัพท์น้อย แต่เรื่องการลื่นไหลในบทสนทนา เราก็ยังพอเก็บคะแนนตรงนี้ไว้ได้ดีกว่าที่จะ เอ่อออออ หยุดไปแล้วยิ้มเหะๆ เพราะตอบไม่ได้อ่ะ เราคุยกับฝรั่ง เราว่าเค้าก็น่าจะประเมิณเราได้ตั้งแต่เราเริ่มแนะนำตัวแล้วล่ะ ว่าควรจะต้องใช้คำประมาณไหนกับเรา ฉะนั้นเวลาคุยกะเค้า ไม่ต้องเครียดมากหรอก
เรื่องสำเนียงนะ ไม่ต้องสนอะไรมาก ประเด็นหลักคือเอาให้เค้าเข้าใจเรา ให้เราสื่อสารกับเค้าได้ พูดตอบ ถามกลับ อะไรได้ ให้บทสนทนามันไปต่อได้ก็พอ
หวังว่าจะช่วยนะ สู้เค้าๆ
ต้องได้ประมาณ 13-15 คะแนน จาก 40 ถึงจะได้ 4.5 เท่าที่เราจำได้นะ เค้าไม่ได้พูดเร็วขนาดนั้น แต่พูดสำเนียงอังกฤษ ถ้าอยากเตรียมตัวเรื่อง listening ฟังพวกข่าว bbc จะช่วย เราว่าสำเนียงมันประมาณนั้นแต่ช้ากว่านะ
แบ่งเป็น 4 part แต่ละ part เค้าเปิดเทปรอบเดียว
part 1 เป็นพวกคนสองคนคุยกัน จะเหมือนการกรอกฟอร์ม เค้าจะบอกพวก ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ หรือ ที่อยู่ หรือเป็นกรอกตารางเช่น รถออกกี่โมง ออกจากที่ไหน ตั๋วราคาเท่าไหร่ บางทีเค้าจะสะกดคำ หรือบอกเบอร์โทรให้ฟัง บางทีจะทำทีเหมือนบอกผิดแล้วแก้ใหม่ (แบบ 3 4 5 เอ๊ยผิดๆ 3 5 4 อะไรแบบนั้น) ฉะนั้น ฟังดีๆ ฟังให้จบ อย่าพึ่งฟันธงแล้วเขียนไปเลย
part 2 เป็นคนเดียวพูดเกี่ยวกับอะไรทั่วไป อาจจะเป็นเรื่องที่อยู่ ชุมชน อะไรแบบนั้น มีให้ตอบหลายแบบเช่น multiple choice จับคู่ หรือ เขียน เช่น โทรหาเจ้าหน้าที่ ถ้าโทรครั้งแรกจะได้คุยกับใคร (ให้จับคู่ตามที่เทปบอก) หรือว่า ให้มาเป็นตารางเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์แล้วให้กรอกพวก วันจันทร์มีจัดแสดงอะไร จัดแสดงXXX กี่โมง ตั๋วราคาเท่าไหร่
part 3 เป็นการคุยกันหลายๆคนเป็นกลุ่ม ก็จะเป็นเรื่องที่จริงๆจัง อยู่ในลักษณะการเรียนการสอนขึ้นมาหน่อย เป็นให้เขียนคำตอบที่เค้าถามมา หรือว่าให้กรอกแผนภาพ ตรงนี้ต้องระวังหน่อย เพราะคุยกันหลายคน อาจมีมึนบ้าง เค้าจะเริ่มใช้คำที่ความหมายคล้ายกับคำถามแทนที่จะพูดตรงๆ เช่น คำถามอาจจะใช้คำว่า at present แต่เทปอาจจะพูด now หริอ currently
part 4 เป็นคนพูดคนเดียว แต่เกี่ยวกับอะไรที่วิชาการหน่อย ก็จะคล้ายๆ part 3 แต่มาแบบรัวกว่าหน่อย บางทีเป็น multiple choice บางทีเป็นเขียนตอบ ใช้คำพ้องความหมายมากขึ้น
อ่านคำถามดีๆ พยายามจับว่าคำถามถามอะไรก่อนที่เทปจะเล่น เช่นเค้าถามว่า 2 places to find information เราต้องจับให้ได้ว่าเค้าเริ่มพูดเรื่อง places นี่เมื่อไหร่ ถ้าเป็น part 1-3 เค้าจะมีเกริ่นออกมานิดนึงก่อนให้เราพอรู้บ้าง ข้อดีคือคำถามเรียงตามสิ่งที่เทปพูด คือถ้าคำถามถามเรื่องเบอร์โทรศัพท์ก่อนที่อยู่ เทปก็จะพูดเรื่องโทรศัพท์ก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องที่อยู่ จะไม่วกกลับไปกลับมา
แล้วโจทย์เค้าจะมีบอกว่าแต่ละ part คำตอบจะต้องไม่เกินกี่คำ ก็อย่าไปเกินล่ะ เช่น part 1 คำตอบจะต้องไม่เกิน 1-2 คำ ฉะนั้นถ้าตอบ he likes apple อะไรแบบนี้ก็ไม่ใช่แล้ว แล้วก็ดูเรื่องเอกพจน์ พหูพจน์ดีๆ ตอบคุถามถูก แต่ลืมพหูพจน์ เค้าก็ให้ผิดนะ (แบบตอบ apple แต่จริงๆแล้วต้องเป็น apple"s" เค้าก็ให้เราผิดอ่ะ)
เค้ามีเวลาประมาณ 10 นาทีให้เขียนคำตอบลงกระดาษคำตอบหลังจากฟังเทป+ตอบคำถามหมดแล้ว ฉะนั้น เราสามารถโน้ต/วงคำตอบไว้ในกระดาษคำถามก่อน
Reading
ต้องได้ประมาณ 13-14 คะแนนจาก 40 ถึงจะได้ 4.5 อ่านบทความ 3 อัน ตอบ 40 ข้อ บทความน่าจะซักประมาณ 1-2 หน้าได้ มี multiple choice จับคู่ เขียนคำตอบ บางทีกรอกแผนภูมิ แล้วก็ true/false/not given สำหรับเรา ยากสุดคือไอ้ true/false/not given เพราะเรามักจะแยก not given กะ false ไม่ถูก
อันนี้แล้วแต่คนถนัดนะว่าจะทำไง ส่วนเราคืออ่านหมดรอบนึงก่อนให้รู้คร่าวๆว่าอะไรอยู่ตรงไหน แล้วก็อ่านคำถาม แล้วกลับไปดูคำตอบจากบทความ (หาได้เร็วขึ้น เพราะอ่านไปแล้วรอบนึง จะพอรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน) เราหา keyword เอาจากคำถามว่าเค้าถามเรื่องอะไรแล้วก็ไปหา เท่าที่จำได้ คำถามก็เรียงกันหมดเหมือนกันนะ คือถ้าคำตอบข้อแรกอยู่ paragraph 3 แล้ว ข้อสองมันจะไม่กลับไป paragraph 1 อะไรแบบนั้น (เท่าที่จำได้นะ ไม่ได้ทำมาหลายปีแล้วล่ะ)
Writing
แบ่งเป็น 2 part
part 1 เป็นอธิบายแผนภูมิ 150 คำขึ้นไป แล้วก็ part 2 เป็นเรียงความ 250 คำขึ้นไป
เค้าดูอะไรบ้าง เค้าดู task achievement คือเราตอบโจทย์เค้ารึเปล่า coherence and cohesion คือ essay เราปะติดปะต่อกันรึเปล่า ลื่นไหลรึเปล่า lexical resources คือการใช้คำศัพท์ กะ grammar ถ้าใช้คำธรรมดา ก็คงได้คะแนนเรื่องการใช้คำศัพท์นิดหน่อย ถ้าธรรมดามากเกินก็ได้คะแนนตรงนี้ต่ำ ถ้าใช้ผิดแกรมม่าก็ได้คะแนนตรงแกรมม่าต่ำลง
task achievement ทำไง ก็ตอบโจทย์เค้า เช่น part 1 ให้อธิบายแผนภูมิ เราก็อธิบายมันซะ ถ้าเป็นกราฟก็อธิบายไปว่า กราฟนี้เป็นกราฟอะไร อะไรสูงสุด อะไรต่ำสุด กราฟค่อยๆขึ้น หรือขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือ ขึ้นอย่างรวดเร็วไปถึงจุด XXX หรือ ปี XXX แล้วค่อยๆลดลง ก็ว่าไป แล้วก็เปรียบเทียบระหว่างกราฟสองอัน เช่น กราฟนี้สูงกว่ากราฟนี้เท่าไหร่ อาจจะกี่เปอร์เซ็นต์ หรือกี่เท่าก็ว่ากันไป ส่วน part 2 ถ้าเค้าถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ พร้อมยกตัวอย่าง เราก็เขียนไปพร้อมสรุปว่าเราเห็นด้วยกับคำถามหรือไม่ ทำไม
coherence and cohesion ทำไงให้ลื่นไหล นั่นคือ structure ของ essay กับการใช้คำ structure เราก็เรียงบทความที่เราเขียนให้เข้าใจง่าย อ่านง่าย มี intro มี main body แล้วก็จบที่ conclusion ตัว main body ก็เรียงดีๆ เช่น part 2 จัด main body ให้อ่านง่าย แบบในย่อหน้าก็เรียงเหตุผล 1, 2, 3 แล้วเวลาอธิบายหรือยกตัวอย่างก็ทำเรียงไป แบบ เห็นด้วยเพราะเหตุผล 1, 2, 3 เหตุผล 1 เพราะXXX ยกตัวอย่างXXX เหตุผล 2 เพราะYYY ยกตัวอย่างYYY เหตุผล 3 เพราะZZZ ยกตัวอย่างZZZ แล้วก็อาจจะมีเหตุผลโต้แย้งอีกย่อหน้านึง (วิธีการเรียงก็เรียงเหมือนที่อธิบายไปเมื่อกี๊) แล้วก็สรุป ตกลงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
lexical resource อันนี้คือการใช้คำหลากหลายและใช้ให้ถูกกรณี ถ้าถามเรานะ ถ้าไม่ชัวร์ว่าคำไหนใช้ยังไง ให้ใช้คำที่เราแน่ใจว่าคำนี้ใช้เวลานี้แน่ๆ เราอาจจะได้เรื่องความหลากหลายน้อยหน่อย แต่ยังไงเราก็ไม่โดนหักเรื่องใช้ไม่ถูกที่ถูกบริบท
แกรมม่า ไม่ต้องอธิบายมากเนอะ
writing ให้เขียนน้อยๆ ไม่ต้องเกินที่เค้าขอมากมายหรอก เค้าขอ 150 กะ 250 เราก็ไม่ต้องเขียนถึง 300-400 อะไรหรอก เอาน้อยๆ ให้มีเวลากลับมาเช็คงานตัวเองดีกว่า
ฝึกยังไงให้ได้ตามที่เค้ากำหนด ในเน็ตมีตัวอย่างของข้อสอบเยอะอยู่ ลองไปหาแล้วทำดู ทำไปเรื่อยๆจะเริ่มรู้ว่าเขียนประมาณนี้แหละ 150 คำ หรือ 250 คำ ทำแล้วอาจจะให้คนอื่นช่วยอ่านให้ ดูว่าเข้าใจมั้ย แกรมม่าถูกมั้ย
Speaking
แบ่งเป็น 3 part เค้าดู fluency and coherency คือเราพูดลื่นไหลรึเปล่า lexical resource การใช้คำ grammar แกรมม่า กะ pronunciation การออกเสียง
part 1 แนะนำตัวเอง ฟรีสไตล์เลย เราชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ มาจากไหน เรียนอะไร ทำงานอะไร มีงานอดิเรกอะไร ชอบทำอะไร จะไปทำอะไร พูดได้หมดที่เกี่ยวกับตัวเอง เค้าไม่ค่อยยุ่งกะเรามากหรอกตอนนี้
part 2 เป็นพูด 2 นาทีไม่หยุดเกี่ยวกับหัวข้อที่เค้าให้มา เค้าจะให้เวลา 1 นาทีในการเตรียมตัว ใช้ไอ้ 1 นาทีนี้อย่างมีค่า วางแผนดีๆว่าจะพูดอะไรบ้าง จะได้ไม่เอิ่ม เอ่อ ระหว่างพูด หรือว่าหมดมุกระหว่างเค้าจับเวลา ถ้าหมดเวลาแล้วเค้าจะขอให้หยุดเลย เราอาจจะอึ้งที่เค้าอยู่ดีๆก็ขัดเราแบบ พอๆๆๆ อะไรแบบนั้น แต่ช่างเถอะ นั่นหมายความว่าเราพูดได้จนจบเวลาที่เค้าให้มา
part 3 เป็นคุยกับเค้าต่อจากเรื่องที่เราพูดไปใน part 2 ก็เป็นการคุยกันธรรมดา ถามตอบอ่ะ ถ้าเราไม่เข้าใจ หรือฟังไม่ทัน ถามเค้าเลย ไม่ต้องอาย ให้เค้าถามอีกรอบ หรือว่าบอกไปเลยว่าไม่เข้าใจคำไหน แบบ "pardon" หรือ "could you repeat the question" หรือ "excuse me / I'm sorry, I don't understand the question" หรือว่า "excuse me / I'm sorry, what does XXX mean?" หรืออะไรแบบนั้น ให้เค้าถามเราใหม่ หรือใช้คำอื่นที่ง่ายขึ้น เราว่าถึงแม้ว่าถ้าเราไม่เข้าใจคำนั้น เราอาจจะได้คะแนนเรื่องคำศัพท์น้อย แต่เรื่องการลื่นไหลในบทสนทนา เราก็ยังพอเก็บคะแนนตรงนี้ไว้ได้ดีกว่าที่จะ เอ่อออออ หยุดไปแล้วยิ้มเหะๆ เพราะตอบไม่ได้อ่ะ เราคุยกับฝรั่ง เราว่าเค้าก็น่าจะประเมิณเราได้ตั้งแต่เราเริ่มแนะนำตัวแล้วล่ะ ว่าควรจะต้องใช้คำประมาณไหนกับเรา ฉะนั้นเวลาคุยกะเค้า ไม่ต้องเครียดมากหรอก
เรื่องสำเนียงนะ ไม่ต้องสนอะไรมาก ประเด็นหลักคือเอาให้เค้าเข้าใจเรา ให้เราสื่อสารกับเค้าได้ พูดตอบ ถามกลับ อะไรได้ ให้บทสนทนามันไปต่อได้ก็พอ
หวังว่าจะช่วยนะ สู้เค้าๆ
แสดงความคิดเห็น
สอบIelts ให้ได้ overall 4.5 ควรทำไงคะ
1. Listening
ต้องทำได้ประมาณกี่ข้อเพื่อที่เอาไปเฉลี่ยกันแล้วให้ได้4.5ค่ะ ส่วนตัวเป็นคนที่ฟังไม่ค่อยออก ยิ่งถ้าพูดเร็วๆแล้วเป็นสำเนียงแปลกๆคือตายไปเลยค่ะ
2. Reading
จะต้องทำได้ประมาณกี่ข้อ เพื่อที่เอาคะแนนไปเฉลี่ยกันแล้วได้คะแนนรวม4.5 ไปดูข้อสอบเก่าๆแล้วคำที่ใช้ในคำถามกับคำตอบมันไม่เหมือนกันเลยค่ะแต่ความหมายเหมือนกัน ซึ่งเป็นคนที่ไม่ได้เก่งคำศัพท์ซะด้วย
3. Writing
ควรฝึกยังไงให้เขียนได้ครบตามจำนวนที่กำหนด แล้วส่วนมากจะตั้งหัวข้อเกี่ยวกับอะไรคะ? ถ้าเกิดว่าเขียนโดยใช้คำธรรมดาแล้วก็ยังไม่ถูกหลักแกรมม่าอีกจะได้คะแนนหรือเปล่า
4. Speaking
ถ้าเขาถามแล้วเราตอบไม่ได้จริงๆควรทำยังไงคะ คือถ้าเกิดว่าเราไม่รู้เรื่องว่าที่เขาถามมันหมายถึงอะไร เราควรทำยังไงดี ควรเตรียมตัวยังไงดีคะ
ขอความเห็นใจจากพี่ๆทุกคนหน่อยนะค่ะ หนูไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว เครียดมากเลยค่ะเพราะไม่มีตังไปดรียนคอร์สเป็นเขา แถมวันสอบก็ใกล้เข้ามาแล้ว ร้องไห้หนักมากกกก