เจาะกระบวนการคิด พฤติกรรมทหาร และระบบการเกณฑ์ทหาร จากประสบการณ์ 10 ปีของคนลายพรางด้วยกัน

กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม รู้สึกตื่นเต้นกับข้อมูลที่จะนำเสนอทุกท่าน เพราะคิดว่าเป็นข้อมูลที่คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจไม่แจ่มชัดหรือเข้าไม่ถึง เรามาเริ่มกันเลย
ผมจะเล่าโดยลดอคติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะงั้นถ้อยคำอาจจะดูไร้อารมณ์ไปสักนิด ขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ติดตามกันก่อนนะะะะ


ผมอยู่ในสังคมทหารมาหลายขวบปีแล้ว เคยอยู่ในจุดต่ำที่สุดเท่าที่ความเป็นมนุษย์จะมอบให้ และอยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่การปกครองเล็กๆ สังคมทหารเป็นสังคมของคนที่ได้รับการกดดันและต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด โดยมีโทษมากำกับอยู่เสมอ หากจะวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้จากการฝึกทหารลักษณะนี้ เราจะได้กำลังพลที่ค่อนข้างขาดการเชื่อมโยง ไม่มีความคิดริเริ่ม ทำตามระเบียบเพราะกลัวโดนลงโทษ(ยังไม่ต้องถามว่าระเบียบนั้นดีงามเหมาะสมเพียงใด) มีลักษณะสนใจเฉพาะผู้ที่ให้คุณให้โทษได้ ตักตวงความสบายทุกครั้งเมื่อมีโอกาส และจะพยายามทำทุกวิถีทางให้งานสำเร็จโดยมักไม่สนว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะเป็นอยู่ยังไง ได้รับการสนับสนุนเพียงพอหรือไม่


มีความเชื่อมโยงอยู่มากระหว่างความเป็นไทยกับระบบทหาร เช่น เค้าทำกันมาเป็นสิบๆปีแล้ว จะมาเปลี่ยนทำไม สมัยกูก็ทำแบบนี้ ไม่เห็นตาย, บ่อยครั้งที่คำสั่งหรือแบบฝึกของเราช่างเก่า คร่ำครึ และไม่ได้ใช้งานจริงในปัจจุบัน แต่เราก็ยังตะบี้ตะบันฝึก และทำให้มันดีที่สุดเพื่อ”รับตรวจ?” หรือ “มันเป็นแบบฝึกก็ทำๆไปก่อน เวลาฝึกทำแบบนี้ เวลาไปใช้จริงทำอีกแบบนึง?” แล้วจะฝึกไปทำไม
ไม่เคยมีเหตุผลที่เหมาะสมมารองรับการกระทำแปลกๆเหล่านี้ ด้วยกำแพง “คำสั่งผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์” หรือ “รับคำสั่ง ทำทันที ทำดีที่สุด” ผมพอเข้าใจได้ว่าคำสั่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างรวดเร็วมาจากในสมัยอดีต ห้วงภาวะสงครามที่รอบตัวตัดสินเป็นตายกันในเสี้ยววินาที การปฏิบัติตามคำสั่งจึงจำเป็นเพื่อความอยู่รอดและรวดเร็วของคนส่วนใหญ่ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เราจึงควรมีสิทธิ์ที่จะสงสัยและตั้งคำถามกับอะไรก็ตามที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม และควรได้รับคำตอบที่สมเหตุสมผลกลับมาด้วย ทั้งนี้เราจะเห็นได้ว่า สิ่งที่สำคัญกว่าการปฏิบัติตามคำสั่ง คือ คำสั่งอันถูกต้องและมีประสิทธิภาพ จากปากและมันสมองของผู้นำที่เชี่ยวชาญนั่นเอง


อีกสิ่งหนึ่งที่ผมแทบไม่ได้สัมผัสเลยในห้วงที่ยังเป็นนักเรียนทหารอยู่ คือเรื่องของกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเจ้าหน้าที่ที่กำลังจะมีสิทธิ์ครอบครองอาวุธ และมีอำนาจในลักษณะของการเป็นเจ้าชีวิตผู้อื่น ผลลัพธ์ที่ได้จากการเราไม่ให้ความรู้เรื่องพวกนี้ คือการที่ทหารบางกลุ่มชอบออกมาปกป้องการทำร้ายร่างกายว่าเป็นการฝึก หรือผู้บังคับบัญชาเห็นดีงาม ปกป้องลูกน้องที่กระทำผิดเรื่องทำร้ายร่างกาย การฝึกคือการฝึก การฝึกคือการซักซ้อมเพื่อใช้งานจริงในยามสงคราม การทำร้ายร่างกายไม่ใช่การฝึก เราไม่ได้ซักซ้อมเพื่อไปขึ้นชกกับใคร นักมวยยังต่อยกลับได้ นี่ทำไม่ได้ ทั้งยังตรวจสอบไม่ได้อีกต่างหากว่าการซ่อมจะมีประสิทธิภาพหรือยกระดับความเข้มแข็งอดทนอย่างเป็นรูปธรรม และร้อยละ 99 ของคนที่ซ่อมผู้ใต้บังคับบัญชา ต่างเคยโดนกระทำมาก่อน และมีความเกลียดชังการลงโทษลักษณะนี้ แต่แปลกที่พอเขาโตขึ้นมาก็ถ่ายทอดต่อไปเหมือนเดิม นี่ยังไม่ได้กล่าวถึง พรบ.วินัยทหารปี 2476 ที่กำหนดบทลงทัณฑ์ไว้อย่างชัดเจนแล้ว(ซึ่งแน่นอนไม่มีหมวดทุบตี ฟาด เตะ บลาๆ) แต่ก็เช่นกัน เป็นอีกเรื่องที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกันเท่าไหร่ เหมือนกับเรื่องสิทธิมนุษยชน


คิดว่าน่าจะมาถึงประเด็นที่ทุกคนอยากทำความเข้าใจ “คอรัปชั่น”
เงินเดือนข้าราชการที่รับอยู่ปัจจุบัน ผมคิดว่าน้อยเมื่อเทียบกับอีกหลายๆอาชีพ ใช่ มันไม่ใช่สาเหตุให้ต้องคอรัปชั่น แต่ผมอยากให้ทุกคนค่อยๆคิดตามกันไป ลดอคติ ค่อยๆทำความเข้าใจ แล้วคุณจะเห็นภาพชัดขึ้นเอง

ผมคิดว่าระบบทหารที่ใกล้ตัวทุกคนที่สุดน่าจะเป็นระบบทหารเกณฑ์ หรือทหารใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พี่ น้อง ลูกหลาน ญาติ กระทั่งคนรักของเราทุกคน ต้องได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในระบบราชการทหารไทย อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำที่สุดในสายการบังคับบัญชาทหาร ใช่ นั่นไม่ได้แปลว่าคุณภาพชีวิตกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเค้าต้องต่ำไปด้วย แต่ด้วยความลงตัวด้านผลประโยชน์บางประการ จึงเอื้อให้ระบบนี้ยังดำเนินต่อไป
ถามผมว่าทหารเกณฑ์ยังจำเป็นอยู่ไหม ย้อนกลับไปว่า การทหารเป็นซับเซทของการทูต เรามีกองกำลังทหาร ส่วนหนึ่งก็ไว้เพื่อเจรจาต่อรอง เป็นอำนาจรูปแบบหนึ่ง แต่ในการทหารยุคปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมีกำลังรบเดินเท้าเยอะๆ ไม่จำเป็นต้องเกณฑ์ไพร่พลมากมาย ไม่ได้รบแบบในสามก๊กที่เอากำลังเรือนหมื่นแสนมาประชันหน้ากัน ส่วนตัวผมคิดว่าหากเราลดขนาดกำลังทหาร เปลี่ยนเป็นแบบสมัครใจเพื่อให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย(?) พัฒนาสวัสดิการ เปิดรับคนที่สนใจจริงๆ นำงบประมาณส่วนที่เหลือไปพัฒนาด้านเทคโนโลยี และทรัพยากรบุคคล ดูจะมีประโยชน์มากกว่า
(ยังไม่ลงประเด็นที่ว่าทำไมไม่หารือใหม่ เรื่องการเกณฑ์ ให้เราตระหนักว่ากลุ่มคนใดออกกฎหมาย กฎหมายนั้นก็เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องตัวเอง)
ตัดกลับมาภาพปัจจุบัน ในภาวะที่เราหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารไม่ได้ ลดกำลังพลไม่ได้ และเงินเดือนข้าราชการก็ต่ำเตี้ย ธุรกิจปล่อยทหารจึงถือกำเนิดขึ้น
ปัญหาของผู้บังคับบัญชา > อยากได้เงินเพิ่ม
ปัญหาของทหาร > ไม่อยากอยู่ ถ้าอยู่ก็อยากอยู่สบายๆ อยากกลับบ้าน
เกิดการแลกเปลี่ยนอย่างไม่เท่าเทียมกัน (จขกท ในฐานะติ่ง FMA จะรู้สึกตะหงิดๆ555)

ทหารใหม่ด้วยความที่ไม่สมัครใจมาแต่แรก จะตัดสินใจอย่างไม่ยากที่จะและเงินเดือนกับการกลับบ้านมือเปล่าเพื่อได้เจอครอบครัวอันอบอุ่น อันนี้เราตีเป็น win-win (ถึงจะไม่winกับภาษีเราๆและเพื่อนพลทหารคนอื่นที่อยากกลับบ้างก็เถอะ)
ทหารใหม่ด้วยความร้อน เหนื่อยล้า ไม่อยากตัดหญ้า ขัดส้วม เข้าเวร ก็จะมีงาน ทบร(ทหารบริการ) มารองรับ ไปบ้านนายพันนู้น นายพลนี้ เลี้ยงหมา ล้างจาน ล้างรถ จ่ายตลาด รับส่งลูกนาย สบายสัส อันนี้winกับพลทหาร แต่ใช่ว่าจะได้ไปกันง่ายๆ จะมีกระบวนการคัดอยู่ ไม่ว่าจะดู วุฒิการศึกษา ความประพฤติ หน้าตา เพราะเคยมีมาแล้ว พลทหารเอาหม้อเข้าไมโครเวฟ ควันโขมงทั่วบ้านผู้พัน (เสริมironyเล็กๆ อิอิ)
*พูดถึงเรื่องการทำความสะอาดกองร้อยกองพันที่ชอบเป็นประเด็น* จริงอยู่ที่ว่าแต่ละกองพันจะมีเงินบำรุงรักษากองพันเป็นวงรอบทุกปีอยู่แล้ว ทำไมไม่จ้างเอกชนมาทำ? เหตุผล คือ ความปลอดภัยและการรักษาความลับในหน่วย เช่น ที่ตั้งคลังอาวุธ คลังแสง โรงรถ แผนผังรายชื่อทหารในหน่วย จึงมีความเป็นไปได้ที่ใช้พลทหารจะปลอดภัยกว่าบุคคลภายนอก
และเช่นกัน การปล่อยทหารกลับบ้าน หรือไปอยู่บ้านนาย ก็ไม่ได้ปล่อยหมดแบบกองพันเงียบกริบ ยังคงต้องมีทหารเพื่อเข้าเวรคลังอาวุธ เวรรักษาการณ์(ป้อม) และทำความสะอาด(ภาษาทหารเรียกโยธา) และแน่นอน เผื่อคนที่ยศใหญ่กว่าหน่วยนั้นๆผ่านมา นึกอารมณ์ดีถามทหารหายไปไหนหมด จะซวยเอาได้ (เรียกได้ว่าเป็นการ win-win corrupt แบบมีขอบเขต)

ทั้งนี้ พวกเขาเหล่านี้ต่างเคยฝึกระบบระเบียบแบบทหาร การใช้อาวุธ และความรู้ทางทหารเบื้องต้นพอสังเขปแล้วในห้วงการฝึกทหารใหม่ 10 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นจนจบผลัด ไม่ว่าจะ 6 เดือน ปีหรือ 2 ปี หากไม่มีภารกิจฝึกตามวงรอบ หรืองานด่วน เช่น รับตรวจสายฟ้าแลบ รับเสด็จ จะค่อนข้าง”ว่างมาก” จึงเอื้อให้ผู้บังคับบัญชาสามารถปล่อยทหารได้

และนี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ผมอยากมาเล่าสู่กันฟัง พยายามอย่าตัดสินอะไรจากสิ่งที่ผมเล่า ยอมรับว่ามีบางครั้งที่ก็ต้องไหลตามน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องอยู่ให้เป็น คำสอนที่ดีที่สุดที่ผมจำได้แม่นจากพ่อคือ “เราต้องอยู่เพื่อโตต่อไป” เชื่อว่าเราสามารถผลักดันระบบทหารให้มีความเป็นสากล ปลอดภัย และทันสมัยได้มากกว่านี้หากทุกคนช่วยกัน อย่างน้อยที่สุด ผมคนนึงที่เคยโดนถีบ โดนฟาด ได้แผลจากรุ่นพี่ จะไม่สร้างบาดแผลให้ใครเพิ่มอีก มันต้องดีขึ้นได้ ผมมีความเชื่อแบบนั้น

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามจนจบครับ
#peace

ยังมีอีกหลายประเด็นที่อยากเล่า แต่วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อน หัวร้อนแล้ว555 ใครสนใจอะไรตอบไว้นะครับ ถ้ามีโอกาสจะแนะนำให้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่