พออายุมากขึ้น คนเราก็จะคิดถึงวัยเด็กมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องบางเรื่องที่มีความทรงจำดีๆกับใครบางคน และบางเรื่องที่ยังไม่ได้บอกไปหรือพูดไปกับใครบางคนให้ชัดเจน กลายเป็นความคาราคาซังทางด้านความคิดว่า....เราปล่อยให้โอกาส หรือ เราปล่อยเวลาให้ผ่านไปได้อย่างไร โดยที่ยังไม่ทำอะไรเลย
ผมอายุ 30 กว่าแล้วครับ มักจะนั่งคิดถึงใครบางคนสมัยยังเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสวัยละอ่อนเอ๊าะๆ ที่ยังไม่ได้มีโอกาสบอกความจริงกับเพื่อนสนิทไป จนตอนนี้....ก็ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะเค้าคนนั้นหายไปแล้ว
ผมขออนุญาตใช้ชื่อว่าเจเจละกันนะครับ แล้วก็ขอเล่าเรื่องย้อนหลังกลับไปประมาณ 20 กว่าปี เผื่อว่าเค้าคนนั้นจะมีโอกาสได้ผ่านมาอ่าน หรือมีเพื่อนๆแชร์เรื่องนี้ไปถึงเค้าบ้างครับ และหวังว่าเค้าจะติดต่อผมกลับมานะครับ
เรื่องราวของผมเริ่มจากสมัยเรียนช่วง ม.ปลาย ณ โรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงดังที่สุดแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ สมัยนั้นถือว่าดังที่สุดได้เลยครับ และเนื่องจากว่าเป็นโรงเรียนเอกชนที่ดังที่สุด เพื่อนๆ ที่มาเรียนส่วนใหญ่ก็จะมีฐานะดี ลักษณะการใช้ชีวิตประจำวันต่างๆ อาจจะทำให้ผมตามไม่ทัน ผมจึงมีเพื่อนน้อย ไม่ค่อยจะคบใครหรือไปเที่ยวกับใคร พยายามใช้จ่ายอย่างไม่ฟุ่มเฟืยมากนัก ช่วง ม.4-5 เป็นช่วงที่ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นและน่าจดจำอะไรมาก จนมา ม.6 ได้มีโอกาสมาสนิทกับเพื่อนต่างห้องคนนึง (จริงๆ รู้จักกันตั้งแต่ ม.4 แล้วแต่ไม่สนิท ไม่ค่อยชอบหน้า) ขอใช้ชื่อเค้าว่าเอเอนะครับ สนิทกันเพราะผมและเค้าไปโรงเรียนเช้ามาก สาเหตุที่ผมไปเช้าเพราะรู้ตัวว่าเรียนหนังสือไม่เก่ง สมัยนั้นต้องสอบ QUOTA เข้า ม.เชียงใหม่ หากสอบไม่ติดก็ต้องสอบ ENTRANCE เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาล ถ้าไม่ติดจริงๆก็ต้องไปเรียน ม.เอกชน ไม่เหมือนกับสมัยนี้ที่เป็นระบบ O-NET, A-NET ที่ดูจะปวดหัวแล้วก็งงในการสอบเข้าจริงๆ
สมัย ม.4-5 ผมเรียนหนังสือไม่เก่ง สอบตกเยอะ ดังนั้นอยากสอบเข้า ม.รัฐบาลให้ได้เพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ ผมจึงต้องมาโรงเรียนแต่เช้า ทุกๆเช้าผมจะเจอกับเอเอที่ห้องสมุด เราเลยสนิทกันครับ จากความสนิทกันที่เจอกันในตอนเช้าก็พัฒนามาเจอกันช่วงอื่นบ้าง ตอนที่เรียน หากใครเลิกเรียนเร็วกว่ากันก็จะไปรอหน้าห้องอีกคน เพื่อไปไหนมาไหนด้วยกันในโรงเรียน ซึ่งหลังจากที่พยายามอย่างหนักในการอ่านหนังสือมา ทั้งผมและเอเอก็ไม่สามารถไปต่อได้กับ ม.เชียงใหม่ เพราะสอบ QUOTA ไม่ติด ผมเสียใจมาก ร้องไห้หนักมาก โชคดีที่ได้เอเอมาปลอบใจและกอดผมไว้ การกอดครั้งนั้นอาจจะกอดในฐานะเพื่อนเพื่อให้กำลังใจ และผมรับรู้ถึงกำลังใจในครั้งนั้นได้และดีขึ้น ฮึดสู้ต่อไป
จุดนี้เองทำให้เกิดความรู้สึกดีต่อกันมากขึ้นครับแต่ ณ ตอนนั้นยังเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกจึงยังไม่คิดอะไรกันมากกว่าเพื่อนสนิทครับ จนวันนึงเอเอต้องไปอเมริกาเพื่อไปแข่งวงโยธวาทิตของทางโรงเรียน (เอเออยู่ในวง band ที่ได้รับคัดเลือกของประเทศไปแข่ง) 2 อาทิตย์ ผมต้องไปเรียนใช้ชีวิตอยู่แบบเหงาๆ ขาดเพื่อนสนิทไปมันยากนะ มันรู้สึกยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก พอเอเอกลับมาก็เสียคุณพ่อไปอีกยิ่งทำให้เราไม่ได้เจอกัน กว่าที่ทุกอย่างจะเสร็จสิ้นก็ราวเดือนนึงพอดี วันที่เอเอกลับมาเรียนแล้วมาเจอกัน เชื่อไหมว่าผมดีใจมาก ตื่นเต้นมากที่ได้เจอกันอีกครั้ง มีอะไรเยอะแยะเต็มไปหมดเล่าให้ฟัง เราใช้ชีวิตอยู่กันมากขึ้น เจอกันมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงบ่ายของทุกวันเราเลือกที่จะไปอ่านหนังสือในห้องสมุดแทน (สมัยนั้น ม.6 เทอม 2 ช่วงบ่ายทางโรงเรียนจะให้เราเลือกอิสระว่าจะกลับบ้าน หรือเข้า Class ติวข้อสอบ) ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น ฮอร์โมนพุ่งปรี๊ดและเป็นวัยอยากลอง เอเอจูบปากผม ซึ่งทำให้ผมตื่นเต้นมากและเริ่มสับสนในตัวเองมากขึ้น
วันเวลาผ่านไป โรงเรียนปิดเพื่อให้เราอ่านหนังสือเตรียมสอบ ENTRANCE ผมและเอเอเลือกที่จะไปอ่านหนังสือด้วยกัน ติวกันที่บ้านเอเอทุกวัน ใช้เวลาอยู่ด้วยกันจนความสัมพันธ์พัฒนามาเป็นความรักที่มีต่อกัน และมั่นใจว่าไม่ใช่ความรักแบบเพื่อนแล้ว แต่สมัยนั้นก็ไม่เหมือนปัจจุบัน เราไม่สามารถแสดงความรักต่อหน้าสาธารณชนได้ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค์ต่อการคบกันของเรา 2 คน
หลังจากที่ทุ่มเทกับการอ่านหนังสืออย่างหนัก เราทั้ง 2 สอบเข้า ม.รัฐบาลได้ตามที่หวังไว้แต่น่าเสียดายที่เป็นคนละที่กัน แม้จะอยู่ใน กทม. เหมือนกันแต่การเดินทางสมัยนั้นไปหากันยากมาก (ยังไม่มี BTS) ทำให้เราไม่ค่อยได้เจอกัน ผมขึ้นรถเมล์ไม่เป็น เดินทางไปหากันลำบาก เอเออยู่บ้านญาติใน กทม.ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เค้าเรียน ส่วนผมอยู่หอพักในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียน ในช่วงแรกของการเป็น Freshy เรายังคุยกันทุกวัน แต่เมื่อกิจกรรมมากขึ้น การเรียนในช่วงเวลาที่ไม่ตรงกัน ทำให้เราห่างกันไปเรื่อยๆ จนไม่ได้คุยกัน ความสนิทที่เคยมีก็ห่างหายไป ผมเริ่มคบผู้หญิงคนนึงที่เรียนคณะเดียวกัน เอเอทราบเรื่องนี้ครับ แต่สักพักผมกับผู้หญิงคนนี้ก็เลิกกันไป โดยไม่มีแฟนอีกเลยจนเรียนจบมหาวิทยาลัย ระหว่างนั้นไม่ได้ติดต่อกับเอเอเลย แต่ช่วงใกล้ๆ ก่อนที่เรียนจบผมได้สมัครงานบริษัทนึงไว้และเค้าเรียกสัมภาษณ์งาน ซึ่งสถานที่สัมภาษณ์งานอยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยของเอเอ ผมจึงโทรศัพท์บอกเอเอ แล้วเอเอก็ชวนไปค้างที่บ้านเค้าเพื่อเช้ามาจะได้เดินทางไปสัมภาษณ์งานทัน
ในคืนที่พักที่บ้านเอเอนั้น ความรู้สึกเก่าๆ สมัยนั้นกลับเข้ามาหมดเลย เอเอเจอหน้าก็กอดผมและบอกว่าคิดถึง ทั้งยังจัดการทุกอย่างให้ผมเป็นอย่างดีอาหารการกิน เสื้อผ้า และเช้ามาก็จัดแจงเรื่องการไปสัมภาษณ์งานให้ไปตรงเวลานัดได้เป็นอย่างดี (ต่อมาผมไม่ได้งานนี้นะครับ)
พอเรียนจบ เราทั้งคู่ก็กลับไปอยู่เชียงใหม่ด้วย แต่มีโอกาสได้เจอกันน้อยมาก เพราะเราทั้งคู่ต้องเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ เอเอไปสหรัฐอเมริกา ส่วนผมไปออสเตรเลีย จึงทำให้เราต้องห่างกันอีกรอบ เมื่อผมเรียนจบก็กลับมาทำงานที่เชียงใหม่ แต่เอเอเรียนจบแล้วไม่กลับมายังคงหางานทำที่อเมริกา ซึ่งจะกลับมาปีละครั้งโดยจะบอกผมล่วงหน้าแล้วเราก็นัดเจอกันทุกครั้ง ทุกครั้งที่ได้เจอกันมันรู้สึกดีมากนะ
ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันประมาณ 10 ปีได้แล้วมั๊ง ผมไปทานข้าวกับเอเอตามนัด ซึ่งผมได้พาแฟนผู้หญิงไปแนะนำให้เอเอรู้จักด้วย (ตลอดเวลาก่อนหน้านี้ไม่เคยบอกเอเอว่ามีแฟน และคบได้ประมาณ 2 ปี) จากนั้นวันนั้นผมก็ไม่ได้รับการติดต่อกับเอเออีกเลย และเอเอไม่กลับมาไทยอีกเลย จากนั้นไม่ถึงปีผมก็เลิกกับแฟนผู้หญิงคนนี้ครับ
เอเอเข้าใจว่าผมและเค้าคือผู้ชาย ผมต้องทำตามกรอปที่สังคมวางไว้ และเอเอก็เช่นกัน เอเอจึงตัดสินใจไม่ติดต่อกลับมาอีก คือทั้งหมดนี้ผมเล่าเรื่องมาผมแค่อยากบอกว่าผมรู้ตัวแล้วว่าผมเป็นเกย์ ผมไม่จำเป็นต้องรักผู้หญิงและคบผู้หญิงเพื่อความถูกต้องตามแบบแผนที่กำหนดมา ผมจะเลือกรักเอเอได้แล้ว ไม่แคร์ใครแล้ว อยากบอกว่าไม่เคยรักใครเท่าเอเอเลย
ระยะเวลาผ่านไปแล้วผ่านไปอีก เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ การตามหาเพื่อนผ่านเฟซบุ๊คน่าจะช่วยได้ แม้ผมจะตามหาข้อมูลเอเอไม่เจอ แต่เจอชื่อผู้หญิงคนหนึ่งใช้นามสกุลของเอเอ ผมพยายามเข้าไปดูข้อมูลแต่กลายเป็นการตั้ง Private ไว้ สิ่งที่เห็นมีเพียงรูปเดียวคือ เอเอเดินจูงมือกับผู้หญิงคนหนึ่ง ในใจก็คิดว่าคงเป็นน้องสาวเอเอรึเปล่า พยายามส่งข้อความทาง inbox ไปก็ส่งไม่ได้ ผมก็ใช้เวลาว่างจากการทำงานเล่นเฟซบุ๊คจนในที่สุดก็สามารถติดต่อกับ facebook อีก account หนึ่งได้ ซึ่ง account นี้คือน้องสาวของเอเอจริงๆ และกว่าจะตอบข้อความผมกลับมาประมาณ 2 ปี โดยน้องเค้าบอกว่าไม่ค่อยได้ใช้เฟซบุ๊คเลย คุณแม่และตัวน้องย้ายมาอยู่ กทม. กัน ส่วนเอเอก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลย เค้าแต่งงานมีภรรยาอยู่ที่อเมริกาแล้ว และไม่เล่นเฟซบุ๊ค ไม่เล่น Social ใดๆ เลย
ตอนที่ได้รู้ว่าเอเอมีภรรยาแล้ว ก็บอกตรงๆว่าตกใจเพราะผมรอเค้าอยู่ เสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่เคลียร์ความรู้สึกที่มีต่อกันเพื่อไม่ให้รู้สึกค้างคากันแบบนี้ เสียใจที่เอเอไม่ติดต่อกลับมาหาแม้จะติดต่อมาในฐานะเพื่อน เสียใจที่แต่งงานและมีวันเวลาดีๆ ไม่บอกให้รู้ซักนิด และเสียใจที่สุดที่วันนั้นพาแฟน (เก่า) ไปเจอเอเอโดยไม่บอกอะไรล่วงหน้าเลย ทำไปโดยไม่แคร์ความรู้สึกเอเอเลย เสียใจที่ยังไม่ได้บอกเอเอว่าเรารักนายเลย
ถ้าวันนี้ ข้อความเหล่านี้ได้ส่งต่อกันไปถึงเอเอ และเอเอได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้ ผมมั่นใจว่าเอเอต้องรู้ว่าคือตัวเค้าและผม ผมแค่อยากจะบอกว่าผมรักเอเอนะ ถึงแม้ว่าวันนี้เอเอจะมีภรรยาแล้ว ผมก็ยังรักและหวังดีกับเอเอเสมอ หากวันไหนมีอะไรเกิดขึ้นมาหรือต้องการกำลังใจนอกจากที่เอเอจะได้รับจากภรรยาแล้ว อยากให้รู้ว่าผมก็กำลังใจให้และพร้อมสนับสนุนเอเอในทุกๆ ด้าน สุดท้ายอยากให้เอเอกับภรรยารักกันให้มากๆ ถึงไม่มีลูกก็อยากให้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า รักกันไปนาน ผมเป็นกำลังใจให้นะ ขอบคุณเอเอสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาในอดีต ขอบคุณที่เป็นความทรงจำดีๆ ให้กับผมนะ
อยากตามหาเพื่อนสนิท ไม่เจอกัน 10 กว่าปีค้าบบบบ
ผมอายุ 30 กว่าแล้วครับ มักจะนั่งคิดถึงใครบางคนสมัยยังเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสวัยละอ่อนเอ๊าะๆ ที่ยังไม่ได้มีโอกาสบอกความจริงกับเพื่อนสนิทไป จนตอนนี้....ก็ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะเค้าคนนั้นหายไปแล้ว
ผมขออนุญาตใช้ชื่อว่าเจเจละกันนะครับ แล้วก็ขอเล่าเรื่องย้อนหลังกลับไปประมาณ 20 กว่าปี เผื่อว่าเค้าคนนั้นจะมีโอกาสได้ผ่านมาอ่าน หรือมีเพื่อนๆแชร์เรื่องนี้ไปถึงเค้าบ้างครับ และหวังว่าเค้าจะติดต่อผมกลับมานะครับ
เรื่องราวของผมเริ่มจากสมัยเรียนช่วง ม.ปลาย ณ โรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงดังที่สุดแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ สมัยนั้นถือว่าดังที่สุดได้เลยครับ และเนื่องจากว่าเป็นโรงเรียนเอกชนที่ดังที่สุด เพื่อนๆ ที่มาเรียนส่วนใหญ่ก็จะมีฐานะดี ลักษณะการใช้ชีวิตประจำวันต่างๆ อาจจะทำให้ผมตามไม่ทัน ผมจึงมีเพื่อนน้อย ไม่ค่อยจะคบใครหรือไปเที่ยวกับใคร พยายามใช้จ่ายอย่างไม่ฟุ่มเฟืยมากนัก ช่วง ม.4-5 เป็นช่วงที่ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นและน่าจดจำอะไรมาก จนมา ม.6 ได้มีโอกาสมาสนิทกับเพื่อนต่างห้องคนนึง (จริงๆ รู้จักกันตั้งแต่ ม.4 แล้วแต่ไม่สนิท ไม่ค่อยชอบหน้า) ขอใช้ชื่อเค้าว่าเอเอนะครับ สนิทกันเพราะผมและเค้าไปโรงเรียนเช้ามาก สาเหตุที่ผมไปเช้าเพราะรู้ตัวว่าเรียนหนังสือไม่เก่ง สมัยนั้นต้องสอบ QUOTA เข้า ม.เชียงใหม่ หากสอบไม่ติดก็ต้องสอบ ENTRANCE เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาล ถ้าไม่ติดจริงๆก็ต้องไปเรียน ม.เอกชน ไม่เหมือนกับสมัยนี้ที่เป็นระบบ O-NET, A-NET ที่ดูจะปวดหัวแล้วก็งงในการสอบเข้าจริงๆ
สมัย ม.4-5 ผมเรียนหนังสือไม่เก่ง สอบตกเยอะ ดังนั้นอยากสอบเข้า ม.รัฐบาลให้ได้เพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ ผมจึงต้องมาโรงเรียนแต่เช้า ทุกๆเช้าผมจะเจอกับเอเอที่ห้องสมุด เราเลยสนิทกันครับ จากความสนิทกันที่เจอกันในตอนเช้าก็พัฒนามาเจอกันช่วงอื่นบ้าง ตอนที่เรียน หากใครเลิกเรียนเร็วกว่ากันก็จะไปรอหน้าห้องอีกคน เพื่อไปไหนมาไหนด้วยกันในโรงเรียน ซึ่งหลังจากที่พยายามอย่างหนักในการอ่านหนังสือมา ทั้งผมและเอเอก็ไม่สามารถไปต่อได้กับ ม.เชียงใหม่ เพราะสอบ QUOTA ไม่ติด ผมเสียใจมาก ร้องไห้หนักมาก โชคดีที่ได้เอเอมาปลอบใจและกอดผมไว้ การกอดครั้งนั้นอาจจะกอดในฐานะเพื่อนเพื่อให้กำลังใจ และผมรับรู้ถึงกำลังใจในครั้งนั้นได้และดีขึ้น ฮึดสู้ต่อไป
จุดนี้เองทำให้เกิดความรู้สึกดีต่อกันมากขึ้นครับแต่ ณ ตอนนั้นยังเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกจึงยังไม่คิดอะไรกันมากกว่าเพื่อนสนิทครับ จนวันนึงเอเอต้องไปอเมริกาเพื่อไปแข่งวงโยธวาทิตของทางโรงเรียน (เอเออยู่ในวง band ที่ได้รับคัดเลือกของประเทศไปแข่ง) 2 อาทิตย์ ผมต้องไปเรียนใช้ชีวิตอยู่แบบเหงาๆ ขาดเพื่อนสนิทไปมันยากนะ มันรู้สึกยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก พอเอเอกลับมาก็เสียคุณพ่อไปอีกยิ่งทำให้เราไม่ได้เจอกัน กว่าที่ทุกอย่างจะเสร็จสิ้นก็ราวเดือนนึงพอดี วันที่เอเอกลับมาเรียนแล้วมาเจอกัน เชื่อไหมว่าผมดีใจมาก ตื่นเต้นมากที่ได้เจอกันอีกครั้ง มีอะไรเยอะแยะเต็มไปหมดเล่าให้ฟัง เราใช้ชีวิตอยู่กันมากขึ้น เจอกันมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงบ่ายของทุกวันเราเลือกที่จะไปอ่านหนังสือในห้องสมุดแทน (สมัยนั้น ม.6 เทอม 2 ช่วงบ่ายทางโรงเรียนจะให้เราเลือกอิสระว่าจะกลับบ้าน หรือเข้า Class ติวข้อสอบ) ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น ฮอร์โมนพุ่งปรี๊ดและเป็นวัยอยากลอง เอเอจูบปากผม ซึ่งทำให้ผมตื่นเต้นมากและเริ่มสับสนในตัวเองมากขึ้น
วันเวลาผ่านไป โรงเรียนปิดเพื่อให้เราอ่านหนังสือเตรียมสอบ ENTRANCE ผมและเอเอเลือกที่จะไปอ่านหนังสือด้วยกัน ติวกันที่บ้านเอเอทุกวัน ใช้เวลาอยู่ด้วยกันจนความสัมพันธ์พัฒนามาเป็นความรักที่มีต่อกัน และมั่นใจว่าไม่ใช่ความรักแบบเพื่อนแล้ว แต่สมัยนั้นก็ไม่เหมือนปัจจุบัน เราไม่สามารถแสดงความรักต่อหน้าสาธารณชนได้ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค์ต่อการคบกันของเรา 2 คน
หลังจากที่ทุ่มเทกับการอ่านหนังสืออย่างหนัก เราทั้ง 2 สอบเข้า ม.รัฐบาลได้ตามที่หวังไว้แต่น่าเสียดายที่เป็นคนละที่กัน แม้จะอยู่ใน กทม. เหมือนกันแต่การเดินทางสมัยนั้นไปหากันยากมาก (ยังไม่มี BTS) ทำให้เราไม่ค่อยได้เจอกัน ผมขึ้นรถเมล์ไม่เป็น เดินทางไปหากันลำบาก เอเออยู่บ้านญาติใน กทม.ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เค้าเรียน ส่วนผมอยู่หอพักในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียน ในช่วงแรกของการเป็น Freshy เรายังคุยกันทุกวัน แต่เมื่อกิจกรรมมากขึ้น การเรียนในช่วงเวลาที่ไม่ตรงกัน ทำให้เราห่างกันไปเรื่อยๆ จนไม่ได้คุยกัน ความสนิทที่เคยมีก็ห่างหายไป ผมเริ่มคบผู้หญิงคนนึงที่เรียนคณะเดียวกัน เอเอทราบเรื่องนี้ครับ แต่สักพักผมกับผู้หญิงคนนี้ก็เลิกกันไป โดยไม่มีแฟนอีกเลยจนเรียนจบมหาวิทยาลัย ระหว่างนั้นไม่ได้ติดต่อกับเอเอเลย แต่ช่วงใกล้ๆ ก่อนที่เรียนจบผมได้สมัครงานบริษัทนึงไว้และเค้าเรียกสัมภาษณ์งาน ซึ่งสถานที่สัมภาษณ์งานอยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยของเอเอ ผมจึงโทรศัพท์บอกเอเอ แล้วเอเอก็ชวนไปค้างที่บ้านเค้าเพื่อเช้ามาจะได้เดินทางไปสัมภาษณ์งานทัน
ในคืนที่พักที่บ้านเอเอนั้น ความรู้สึกเก่าๆ สมัยนั้นกลับเข้ามาหมดเลย เอเอเจอหน้าก็กอดผมและบอกว่าคิดถึง ทั้งยังจัดการทุกอย่างให้ผมเป็นอย่างดีอาหารการกิน เสื้อผ้า และเช้ามาก็จัดแจงเรื่องการไปสัมภาษณ์งานให้ไปตรงเวลานัดได้เป็นอย่างดี (ต่อมาผมไม่ได้งานนี้นะครับ)
พอเรียนจบ เราทั้งคู่ก็กลับไปอยู่เชียงใหม่ด้วย แต่มีโอกาสได้เจอกันน้อยมาก เพราะเราทั้งคู่ต้องเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ เอเอไปสหรัฐอเมริกา ส่วนผมไปออสเตรเลีย จึงทำให้เราต้องห่างกันอีกรอบ เมื่อผมเรียนจบก็กลับมาทำงานที่เชียงใหม่ แต่เอเอเรียนจบแล้วไม่กลับมายังคงหางานทำที่อเมริกา ซึ่งจะกลับมาปีละครั้งโดยจะบอกผมล่วงหน้าแล้วเราก็นัดเจอกันทุกครั้ง ทุกครั้งที่ได้เจอกันมันรู้สึกดีมากนะ
ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันประมาณ 10 ปีได้แล้วมั๊ง ผมไปทานข้าวกับเอเอตามนัด ซึ่งผมได้พาแฟนผู้หญิงไปแนะนำให้เอเอรู้จักด้วย (ตลอดเวลาก่อนหน้านี้ไม่เคยบอกเอเอว่ามีแฟน และคบได้ประมาณ 2 ปี) จากนั้นวันนั้นผมก็ไม่ได้รับการติดต่อกับเอเออีกเลย และเอเอไม่กลับมาไทยอีกเลย จากนั้นไม่ถึงปีผมก็เลิกกับแฟนผู้หญิงคนนี้ครับ
เอเอเข้าใจว่าผมและเค้าคือผู้ชาย ผมต้องทำตามกรอปที่สังคมวางไว้ และเอเอก็เช่นกัน เอเอจึงตัดสินใจไม่ติดต่อกลับมาอีก คือทั้งหมดนี้ผมเล่าเรื่องมาผมแค่อยากบอกว่าผมรู้ตัวแล้วว่าผมเป็นเกย์ ผมไม่จำเป็นต้องรักผู้หญิงและคบผู้หญิงเพื่อความถูกต้องตามแบบแผนที่กำหนดมา ผมจะเลือกรักเอเอได้แล้ว ไม่แคร์ใครแล้ว อยากบอกว่าไม่เคยรักใครเท่าเอเอเลย
ระยะเวลาผ่านไปแล้วผ่านไปอีก เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ การตามหาเพื่อนผ่านเฟซบุ๊คน่าจะช่วยได้ แม้ผมจะตามหาข้อมูลเอเอไม่เจอ แต่เจอชื่อผู้หญิงคนหนึ่งใช้นามสกุลของเอเอ ผมพยายามเข้าไปดูข้อมูลแต่กลายเป็นการตั้ง Private ไว้ สิ่งที่เห็นมีเพียงรูปเดียวคือ เอเอเดินจูงมือกับผู้หญิงคนหนึ่ง ในใจก็คิดว่าคงเป็นน้องสาวเอเอรึเปล่า พยายามส่งข้อความทาง inbox ไปก็ส่งไม่ได้ ผมก็ใช้เวลาว่างจากการทำงานเล่นเฟซบุ๊คจนในที่สุดก็สามารถติดต่อกับ facebook อีก account หนึ่งได้ ซึ่ง account นี้คือน้องสาวของเอเอจริงๆ และกว่าจะตอบข้อความผมกลับมาประมาณ 2 ปี โดยน้องเค้าบอกว่าไม่ค่อยได้ใช้เฟซบุ๊คเลย คุณแม่และตัวน้องย้ายมาอยู่ กทม. กัน ส่วนเอเอก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลย เค้าแต่งงานมีภรรยาอยู่ที่อเมริกาแล้ว และไม่เล่นเฟซบุ๊ค ไม่เล่น Social ใดๆ เลย
ตอนที่ได้รู้ว่าเอเอมีภรรยาแล้ว ก็บอกตรงๆว่าตกใจเพราะผมรอเค้าอยู่ เสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่เคลียร์ความรู้สึกที่มีต่อกันเพื่อไม่ให้รู้สึกค้างคากันแบบนี้ เสียใจที่เอเอไม่ติดต่อกลับมาหาแม้จะติดต่อมาในฐานะเพื่อน เสียใจที่แต่งงานและมีวันเวลาดีๆ ไม่บอกให้รู้ซักนิด และเสียใจที่สุดที่วันนั้นพาแฟน (เก่า) ไปเจอเอเอโดยไม่บอกอะไรล่วงหน้าเลย ทำไปโดยไม่แคร์ความรู้สึกเอเอเลย เสียใจที่ยังไม่ได้บอกเอเอว่าเรารักนายเลย
ถ้าวันนี้ ข้อความเหล่านี้ได้ส่งต่อกันไปถึงเอเอ และเอเอได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้ ผมมั่นใจว่าเอเอต้องรู้ว่าคือตัวเค้าและผม ผมแค่อยากจะบอกว่าผมรักเอเอนะ ถึงแม้ว่าวันนี้เอเอจะมีภรรยาแล้ว ผมก็ยังรักและหวังดีกับเอเอเสมอ หากวันไหนมีอะไรเกิดขึ้นมาหรือต้องการกำลังใจนอกจากที่เอเอจะได้รับจากภรรยาแล้ว อยากให้รู้ว่าผมก็กำลังใจให้และพร้อมสนับสนุนเอเอในทุกๆ ด้าน สุดท้ายอยากให้เอเอกับภรรยารักกันให้มากๆ ถึงไม่มีลูกก็อยากให้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า รักกันไปนาน ผมเป็นกำลังใจให้นะ ขอบคุณเอเอสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาในอดีต ขอบคุณที่เป็นความทรงจำดีๆ ให้กับผมนะ