นั่งดูซีรีย์เรื่องนี้เพราะโดนใจในเนื้อหาที่ตรงสุดๆ กับชีวิตในวัยเรียนแบบผม
ต้องบอกก่อนว่าปัจจุบันผม 30 กว่าปีละครับ แต่ติดซีรีย์เรื่องนี้งอมแง่ม เพราะยิ่งดูไป ก็เหมือนย้อนตัวเองไปสู่ยุคที่ใส่กางเกงขาสั้น
สมัยนั้น ผมเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งชุดนัดเรียนจะคล้ายๆ กับในซีรีย์นี้เลยครับ
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในละคร มันก็เคยเกิดขึ้นแล้วในโรงเรียนผม จนแอบคิดว่าผู้เขียนบทละครเรื่องนี้เป็นเพื่อนสมัยเรียนกันจริงๆ
เรื่องราวต่างๆ และตัวละครทุกตัว ยิ่งดูยิ่งเห็นหน้าของเพื่อนๆ ลอยออกมา
แต่ที่สะกิดใจผมที่สุด คงจะเป็นคู่ของภู-ธีร์ เพราะตรงกับชีวิตผมเหลือเกินครับ
ขออนุญาติเรียกแทนตัวเองว่าธีร์ละกันครับ ผมก็เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาคนนึง ไม่ได้เรียบร้อยมาก ไม่ชอบเล่นกีฬา เล่นดนตรีไม่เป็น เหมือนจะตั้งใจเรียนแต่ก็เรียนหนังสือไม่เก่ง ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ ส่วนภูเป็นนักดนตรีวง band ของโรงเรียน และได้ไปประกวดแข่งขันที่ต่างประเทศจนชนะมาแล้ว เรียนไม่ได้เรียนห้องเดียวกันครับ แต่อยู่สานศิลป์ภาษาเหมือนกัน
ช่วงเวลา ม. 4-5 เราก็แทบจะไม่ค่อยได้คุยกันด้วยซ้ำ จนมา ม.6 เรามาโรงเรียนเช้าเหมือนกัน ได้เจอกันตอนเช้าทุกวัน เลยมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความเห็นหลายๆ เรื่อง
ซึ่งความเห็นก็คล้ายๆ กัน วันเวลาทำให้เราสนิทกันมากขึ้น จากเจอกันตอนเช้า พัฒนามาเจอกับตอนช่วง break เช้า เที่ยง บ่าย และก่อนกลับบ้าน
หากใครเรียนเลิกก่อนก็จะไปรอหน้าห้องของอีกคน
สมัยนั้นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่เหมือนสมัยนี้ ที่เป็นระบบโอเน็ตเอเน็ตให้งงกัน แต่เป็นการสอบแบบครั้งเดียว ผ่านคือผ่าน ไม่ผ่านคือเรียนเอกชน และการสอบสมัยนั้นสำหรับโรงเรียนผมแล้วจะมี สอบโควต้า เข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสอบ entrance เท่านั้น
ด้วยความที่เราตั้งใจเรียน แต่เรียนไม่เก่ง จึงพยายามเข้าห้องสมุดและอ่านหนังสือ อาศัยความอึดในช่วงสุดท้าย เพื่อจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลับดีๆ ให้พ่อแม่ภูมิใจได้
ห้องสมุดจึงกลายเป็นแหล่งนัดพบของเรา 2 คน
โรงเรียนผม ห้องสมุดมี 3 ชั้นครับ ทุกชั้นจะเสียงดังหมด ยกเว้นชั้น 3 เงียบมากและไม่มีคนไปใข้บริการเท่าไหร่ เพราะต้องเดินไกลและเป็นห้องปิดทึบครับ ชั้น 3 จึงเป็นแหล่งที่เรา 2 คนจะมาอยู่ด้วยกัน ในช่วงเวลาเช้า และบ่ายครับ
หลังจากที่พยายามอย่างหนักเรา 2 คนสอบไม่ผ่านโควต้าเข้ามหาวิทยาลัย และต้องเตรียมตัวสอบ entrance อีกครั้งหนึ่ง ผมจำได้ดีเลยครับว่าครั้งนั้นผมเสียใจและร้องไห้มาก จนภูต้องมาปลอบ สิ่งที่ภูทำคือกอดผม ผมไม่แน่ใจว่าที่ภูกอดผมนั้น กอดในฐานะเพื่อนหรือ กอดเพราะให้กำลังใจ แต่ทึ่ผมรู้สึกได้คือผมรู้สึกดีขึ้น
จากจุดนี้เองทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกันมากขึ้นครับ ตอนนั้นผมมั่นใจเลยว่าเรา 2 คนยังไม่ได้คิดอะไรไปไกลครับ ด้วยความที่เป็นเด็กไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก จึงคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมากกว่า
จนวันหนึ่งภูต้องไปอเมริกาเพื่อแข่งขันวงโยธวาทิต ผมต้องใช้เวลา 2 อาทิตย์คนเดียวในการไปเรียนและใช้ชีวิตอย่างเหงาๆ เพราะขาดเพื่อนสนิทไป กรอปกับภูได้เสียคุณพ่อไปในช่วงเวลาใกล้เคียงกันด้วย ยิ่งทำให้เราไม่ค่อยได้เจอกัน
เมื่องานทุกอย่างสิ้นสุดเราก็กลับมาใข้ชีวิตตามเดิม ในวันที่เราเจอกัน ผมไม่รู้ว่าภูคิดยังไง แต่ผมโคตรดีใจที่เห็นหน้ามันเลย มีอะไรอยากเล่าให้ฟังเยอะแยะเต็มไปหมด เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานมากกว่าเดิม โดยเฉพาะช่วงบ่ายของทุกวันเราจะไม่เข้าเรียน แต่จะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแทน (สมัยนั้น ม.6 เทอม 2 ครูจะปล่อยให้เราเลือกอ่านหนังสืออิสระ กลับบ้าน หรือเข้า class เพื่อติวในห้อง) ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น ฮอร์โมนพุ่งปรี๊ด มองตารู้ใจ ภูจูบปากผม ณ ตอนนั่น ผมตื่นเต้นมาก และเริ่มสับสนในตัวเองมากขึ้น
วันเวลาผ่านไป โรงเรียนปิดเพื่อให้เราได้อ่านหนังสือที่บ้าน ผมและภูเลือกที่จะไปอ่านกันที่บ้านภู ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน 2 คนผมคิดว่าผมมีความสุขมาในช่วงเวลานั้น เราไม่อายที่จะแสดงความรักต่อกันในบ้าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใครรู้ และไม่เปิดเผยให้เพื่อนๆ รู้ แต่คิดว่าเพื่อนๆ คงดูกันออก
ผลสอบ entrance ออกมา เรา 2 คนสอบคิดกันทั้งคู่ แต่คนละมหาวิทยาลัย ใน กทม. เหมือนกัน ถึงแม้จะได้ไปอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่ 2 มหาวิทยาลัยนี้อยู่ไกลกันมาก ภูไปพักบ้านญาติ ส่วนผมพักหอพักในมหาวิทยาลัย ช่วงแรกเราก็ยังคุยกันอยู่ แต่ด้วยเวลาเรียน ระยะทาง ก็ทำให้เราห่างกันไปเรื่อยๆ จนไม่ได้คุยกัน
ความสนิมเราเริ่มลดลงครับ จนกลายเป็นเพื่อนโรงเรียนคนนึง ช่วงมหาลัยผมมีแฟนผู้หญิงคนนึง คบได้สักพักและก็เลิกไป ส่วนภูผมไม่ทราบ จนกระทั้งช่วงปี 4 เทอม 2 ผมต้องไปสัมภาษณ์งาน เพื่อนจบมาจะได้มีงานทำเลย ผมได้ติดต่อภูอีกครั้ง เพราะบ้านภูจะอยู่ไม่ห่างจากบริษัทที่จะไปสัมภาษณ์งาน เรานัดเจอกันที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า และผมก็ไปพักบ้านภูในคืนนั้น สิ่งที่ผมรู้สึกคือ ช่วงเวลาเก่าๆ มันกลับมาหาผม ภูยังเหมือนเดิม ภูจูบผม กอดผม ด้วยความคิดถึงและดูแลผมอย่างดี เช้ามาภูก็จัดการทุกอย่างให้เพื่อให้ผมได้ไปสัมภาษณ์งานตรงเวลา
อ่านมาถึงตรงนี้ เหมือนเรื่องจะจบใช่ไหมครับ ยังครับ ยังไม่จบ อิอิอิ
พอเราเรียนจบ เรามีโอกาสเจอกันบ้างครั้งสองครั้ง เพราะต่างคนต่างเตรียมตัวไปเรียนต่อ ตปท. ซึ่งก็ไปคนละประเทศอีก ผมไปปีเดียวแล้วกลับมา ส่วนภูไปอเมริกานานมาก ผมกลับมาเชียงใหม่ ทำงานที่เชียงใหม่ อยู่ที่นี่ ทุกครั้งที่ภูกลับมาเมืองไทย ภูจะนัดเจอผม ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันผมไปทานข้าวกับภูโดยพาแฟนผู้หญิงไปด้วยครับ ซึ่งต่อมาผมก็เลิกกับคนนี้แล้ว ส่วนภูกลับไปอยู่อเมริกาและไม่ติดต่อผมมาอีกเลย
ผมอยากบอกว่า ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมเป็นเกย์ และไม่จำเป็นต้องรักผู้หญิงเพื่อความถูกต้องตามแบบแผนที่ถูกกำหนดมา ผมเลือกที่จะทำในสิ่งที่ผมรัก รักในสิ่งที่ผมจะทำ
วันเวลาผ่านไป ผมยังไม่เคยลืมภูเลยเลย ยังคิดถึงภูเสมอ พยายามหาเบอร์ติดต่อภูก็ไม่ได้ อีเมลล์ภูก็เปลี่ยน
จนกระทั่งวันนี้ ด้วยความพยายามมานานผม search หาชื่อภูเจอใน facebook โดยภูใช้ชื่อของผู้หญิงคนหนึ่งและนามสกุลของภู
ผมพยายามเข้าไปดูข้อมูล ซึ่งเค้า private ข้อมูลทำให้ผมไม่สามารถดูรายละเอียดได้มากกว่านี้ แต่มีรูปนึง รูปเดียวที่ผมเห็นได้ชัดเจนคือภูเดินจูงมือผู้หญิงคนนี้
บอกตรงๆ ใจสั่น พยายามคิดว่าเป็นเพื่อน และพยายามหาข้อมูลของผู้หญิงคนนี้ จนรู้ว่าเค้าเป็นภรรยาของภู
ณ จุดนี้ แอบเสียใจ ที่เราไม่เคยได้คุยกันก่อนหน้านี้ เสียใจที่ภูแต่งงานแล้วไม่บอกเรา เสียใจที่เราทำอะไรโง่ๆ ไปโดยที่ไม่แคร์ความรู้สึกภูในวันนั้น เสียใจที่ไม่ได้บอกความจริงกับภูว่าผมรักภู......
ถ้าวันนี้ภูได้มีโอกาสอ่านข้อความนี้ ภูจะรู้ว่าหมายถึงนาย ผมอยากบอกว่าผมรักนายนะ และถึงแม้ว่าผมจะไม่ไม่อยู่กับนายในฐานะคู่รัก แต่ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของนาย เมื่อไหร่ที่นายต้องการผม ผมพร้อมจะเคียงข้างและสนับสนุนนายทุกเรื่อง ผมขออวยพรให้นายกับภรรยายของนายมีความสุขให้มากๆ อยู่ดูแลกันไปจนแก่เฒ่าเลยนะ ขิบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ และความทรงจำดีๆ ที่มีให้กันมาครับ
ดูซีรีย์ hormones วัยว้าวุ่นละฟินสุดกับภู-ธีร์ เพราะเหมือนชีวิตตัวเองมาก
ต้องบอกก่อนว่าปัจจุบันผม 30 กว่าปีละครับ แต่ติดซีรีย์เรื่องนี้งอมแง่ม เพราะยิ่งดูไป ก็เหมือนย้อนตัวเองไปสู่ยุคที่ใส่กางเกงขาสั้น
สมัยนั้น ผมเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งชุดนัดเรียนจะคล้ายๆ กับในซีรีย์นี้เลยครับ
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในละคร มันก็เคยเกิดขึ้นแล้วในโรงเรียนผม จนแอบคิดว่าผู้เขียนบทละครเรื่องนี้เป็นเพื่อนสมัยเรียนกันจริงๆ
เรื่องราวต่างๆ และตัวละครทุกตัว ยิ่งดูยิ่งเห็นหน้าของเพื่อนๆ ลอยออกมา
แต่ที่สะกิดใจผมที่สุด คงจะเป็นคู่ของภู-ธีร์ เพราะตรงกับชีวิตผมเหลือเกินครับ
ขออนุญาติเรียกแทนตัวเองว่าธีร์ละกันครับ ผมก็เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาคนนึง ไม่ได้เรียบร้อยมาก ไม่ชอบเล่นกีฬา เล่นดนตรีไม่เป็น เหมือนจะตั้งใจเรียนแต่ก็เรียนหนังสือไม่เก่ง ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ ส่วนภูเป็นนักดนตรีวง band ของโรงเรียน และได้ไปประกวดแข่งขันที่ต่างประเทศจนชนะมาแล้ว เรียนไม่ได้เรียนห้องเดียวกันครับ แต่อยู่สานศิลป์ภาษาเหมือนกัน
ช่วงเวลา ม. 4-5 เราก็แทบจะไม่ค่อยได้คุยกันด้วยซ้ำ จนมา ม.6 เรามาโรงเรียนเช้าเหมือนกัน ได้เจอกันตอนเช้าทุกวัน เลยมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความเห็นหลายๆ เรื่อง
ซึ่งความเห็นก็คล้ายๆ กัน วันเวลาทำให้เราสนิทกันมากขึ้น จากเจอกันตอนเช้า พัฒนามาเจอกับตอนช่วง break เช้า เที่ยง บ่าย และก่อนกลับบ้าน
หากใครเรียนเลิกก่อนก็จะไปรอหน้าห้องของอีกคน
สมัยนั้นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่เหมือนสมัยนี้ ที่เป็นระบบโอเน็ตเอเน็ตให้งงกัน แต่เป็นการสอบแบบครั้งเดียว ผ่านคือผ่าน ไม่ผ่านคือเรียนเอกชน และการสอบสมัยนั้นสำหรับโรงเรียนผมแล้วจะมี สอบโควต้า เข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสอบ entrance เท่านั้น
ด้วยความที่เราตั้งใจเรียน แต่เรียนไม่เก่ง จึงพยายามเข้าห้องสมุดและอ่านหนังสือ อาศัยความอึดในช่วงสุดท้าย เพื่อจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลับดีๆ ให้พ่อแม่ภูมิใจได้
ห้องสมุดจึงกลายเป็นแหล่งนัดพบของเรา 2 คน
โรงเรียนผม ห้องสมุดมี 3 ชั้นครับ ทุกชั้นจะเสียงดังหมด ยกเว้นชั้น 3 เงียบมากและไม่มีคนไปใข้บริการเท่าไหร่ เพราะต้องเดินไกลและเป็นห้องปิดทึบครับ ชั้น 3 จึงเป็นแหล่งที่เรา 2 คนจะมาอยู่ด้วยกัน ในช่วงเวลาเช้า และบ่ายครับ
หลังจากที่พยายามอย่างหนักเรา 2 คนสอบไม่ผ่านโควต้าเข้ามหาวิทยาลัย และต้องเตรียมตัวสอบ entrance อีกครั้งหนึ่ง ผมจำได้ดีเลยครับว่าครั้งนั้นผมเสียใจและร้องไห้มาก จนภูต้องมาปลอบ สิ่งที่ภูทำคือกอดผม ผมไม่แน่ใจว่าที่ภูกอดผมนั้น กอดในฐานะเพื่อนหรือ กอดเพราะให้กำลังใจ แต่ทึ่ผมรู้สึกได้คือผมรู้สึกดีขึ้น
จากจุดนี้เองทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกันมากขึ้นครับ ตอนนั้นผมมั่นใจเลยว่าเรา 2 คนยังไม่ได้คิดอะไรไปไกลครับ ด้วยความที่เป็นเด็กไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก จึงคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมากกว่า
จนวันหนึ่งภูต้องไปอเมริกาเพื่อแข่งขันวงโยธวาทิต ผมต้องใช้เวลา 2 อาทิตย์คนเดียวในการไปเรียนและใช้ชีวิตอย่างเหงาๆ เพราะขาดเพื่อนสนิทไป กรอปกับภูได้เสียคุณพ่อไปในช่วงเวลาใกล้เคียงกันด้วย ยิ่งทำให้เราไม่ค่อยได้เจอกัน
เมื่องานทุกอย่างสิ้นสุดเราก็กลับมาใข้ชีวิตตามเดิม ในวันที่เราเจอกัน ผมไม่รู้ว่าภูคิดยังไง แต่ผมโคตรดีใจที่เห็นหน้ามันเลย มีอะไรอยากเล่าให้ฟังเยอะแยะเต็มไปหมด เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานมากกว่าเดิม โดยเฉพาะช่วงบ่ายของทุกวันเราจะไม่เข้าเรียน แต่จะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแทน (สมัยนั้น ม.6 เทอม 2 ครูจะปล่อยให้เราเลือกอ่านหนังสืออิสระ กลับบ้าน หรือเข้า class เพื่อติวในห้อง) ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น ฮอร์โมนพุ่งปรี๊ด มองตารู้ใจ ภูจูบปากผม ณ ตอนนั่น ผมตื่นเต้นมาก และเริ่มสับสนในตัวเองมากขึ้น
วันเวลาผ่านไป โรงเรียนปิดเพื่อให้เราได้อ่านหนังสือที่บ้าน ผมและภูเลือกที่จะไปอ่านกันที่บ้านภู ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน 2 คนผมคิดว่าผมมีความสุขมาในช่วงเวลานั้น เราไม่อายที่จะแสดงความรักต่อกันในบ้าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใครรู้ และไม่เปิดเผยให้เพื่อนๆ รู้ แต่คิดว่าเพื่อนๆ คงดูกันออก
ผลสอบ entrance ออกมา เรา 2 คนสอบคิดกันทั้งคู่ แต่คนละมหาวิทยาลัย ใน กทม. เหมือนกัน ถึงแม้จะได้ไปอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่ 2 มหาวิทยาลัยนี้อยู่ไกลกันมาก ภูไปพักบ้านญาติ ส่วนผมพักหอพักในมหาวิทยาลัย ช่วงแรกเราก็ยังคุยกันอยู่ แต่ด้วยเวลาเรียน ระยะทาง ก็ทำให้เราห่างกันไปเรื่อยๆ จนไม่ได้คุยกัน
ความสนิมเราเริ่มลดลงครับ จนกลายเป็นเพื่อนโรงเรียนคนนึง ช่วงมหาลัยผมมีแฟนผู้หญิงคนนึง คบได้สักพักและก็เลิกไป ส่วนภูผมไม่ทราบ จนกระทั้งช่วงปี 4 เทอม 2 ผมต้องไปสัมภาษณ์งาน เพื่อนจบมาจะได้มีงานทำเลย ผมได้ติดต่อภูอีกครั้ง เพราะบ้านภูจะอยู่ไม่ห่างจากบริษัทที่จะไปสัมภาษณ์งาน เรานัดเจอกันที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า และผมก็ไปพักบ้านภูในคืนนั้น สิ่งที่ผมรู้สึกคือ ช่วงเวลาเก่าๆ มันกลับมาหาผม ภูยังเหมือนเดิม ภูจูบผม กอดผม ด้วยความคิดถึงและดูแลผมอย่างดี เช้ามาภูก็จัดการทุกอย่างให้เพื่อให้ผมได้ไปสัมภาษณ์งานตรงเวลา
อ่านมาถึงตรงนี้ เหมือนเรื่องจะจบใช่ไหมครับ ยังครับ ยังไม่จบ อิอิอิ
พอเราเรียนจบ เรามีโอกาสเจอกันบ้างครั้งสองครั้ง เพราะต่างคนต่างเตรียมตัวไปเรียนต่อ ตปท. ซึ่งก็ไปคนละประเทศอีก ผมไปปีเดียวแล้วกลับมา ส่วนภูไปอเมริกานานมาก ผมกลับมาเชียงใหม่ ทำงานที่เชียงใหม่ อยู่ที่นี่ ทุกครั้งที่ภูกลับมาเมืองไทย ภูจะนัดเจอผม ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันผมไปทานข้าวกับภูโดยพาแฟนผู้หญิงไปด้วยครับ ซึ่งต่อมาผมก็เลิกกับคนนี้แล้ว ส่วนภูกลับไปอยู่อเมริกาและไม่ติดต่อผมมาอีกเลย
ผมอยากบอกว่า ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมเป็นเกย์ และไม่จำเป็นต้องรักผู้หญิงเพื่อความถูกต้องตามแบบแผนที่ถูกกำหนดมา ผมเลือกที่จะทำในสิ่งที่ผมรัก รักในสิ่งที่ผมจะทำ
วันเวลาผ่านไป ผมยังไม่เคยลืมภูเลยเลย ยังคิดถึงภูเสมอ พยายามหาเบอร์ติดต่อภูก็ไม่ได้ อีเมลล์ภูก็เปลี่ยน
จนกระทั่งวันนี้ ด้วยความพยายามมานานผม search หาชื่อภูเจอใน facebook โดยภูใช้ชื่อของผู้หญิงคนหนึ่งและนามสกุลของภู
ผมพยายามเข้าไปดูข้อมูล ซึ่งเค้า private ข้อมูลทำให้ผมไม่สามารถดูรายละเอียดได้มากกว่านี้ แต่มีรูปนึง รูปเดียวที่ผมเห็นได้ชัดเจนคือภูเดินจูงมือผู้หญิงคนนี้
บอกตรงๆ ใจสั่น พยายามคิดว่าเป็นเพื่อน และพยายามหาข้อมูลของผู้หญิงคนนี้ จนรู้ว่าเค้าเป็นภรรยาของภู
ณ จุดนี้ แอบเสียใจ ที่เราไม่เคยได้คุยกันก่อนหน้านี้ เสียใจที่ภูแต่งงานแล้วไม่บอกเรา เสียใจที่เราทำอะไรโง่ๆ ไปโดยที่ไม่แคร์ความรู้สึกภูในวันนั้น เสียใจที่ไม่ได้บอกความจริงกับภูว่าผมรักภู......
ถ้าวันนี้ภูได้มีโอกาสอ่านข้อความนี้ ภูจะรู้ว่าหมายถึงนาย ผมอยากบอกว่าผมรักนายนะ และถึงแม้ว่าผมจะไม่ไม่อยู่กับนายในฐานะคู่รัก แต่ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของนาย เมื่อไหร่ที่นายต้องการผม ผมพร้อมจะเคียงข้างและสนับสนุนนายทุกเรื่อง ผมขออวยพรให้นายกับภรรยายของนายมีความสุขให้มากๆ อยู่ดูแลกันไปจนแก่เฒ่าเลยนะ ขิบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ และความทรงจำดีๆ ที่มีให้กันมาครับ