***************************************************
สวัสดีครับ
ขอบคุณทุกไลค์ทุกโหวตเช่นเคย จากคุณ ลายลิขิต หลงรัก, GTW ถูกใจ, พวงดารา ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, turtle_cheesecake ถูกใจ, ป้าทุยบ้านทุ่ง ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นจาก คุณป้าทุยบ้านทุ่ง คุณGTW และคุณลายลิขิต
ขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่าน
ขอบคุณจากใจครับผม
ผมเอง-เพลงเกือบพัน
******************************************
ริมฝั่งฝัน บทที่ 7
22.30 น.
สิงขรปล่อยเนื้อตัวให้แห้งอยู่ปลายสะพาน คืนนี้เขาว่ายน้ำนานกว่าปกติ เพราะจำเป็นต้องรีดเค้นเอาความอัดแน่นของพลังหนุ่ม ให้เจือจางลงให้มากที่สุด
มันไม่ใช่แค่อารมณ์ถวิลหารักใครเพียงเท่านั้น แต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่า ความอึดอัดในอกนั้น เกิดจากความรู้สึกเช่นไรบ้าง
เขาเชื่อว่า ถ้ายังทนนั่งอยู่ใกล้ๆ เธอเหมือนเมื่อครูใหญ่ๆ นั่น เขาก็คงรวบเธอไว้ในอ้อมแขน โอบปลอบด้วยความอ่อนโยน และถ้อยคำอ่อนหวานเท่าที่จะทำได้
กระทั่งขณะนี้ก็เถอะ ถ้าได้อยู่ใกล้ เขาก็ยังจะกอดเธอไว้อยู่ดี อย่างน้อยก็จะได้ถ่ายทอดความห่วงใย และรับเอาความทุกข์ทั้งโลกที่หญิงสาวแบกเอาไว้ มาวางบนบ่าของตนเอง
ชายหนุ่มเริ่มสวมเสื้อผ้า เมื่อสวมเสื้อยืดแล้วคลุมทับด้วยเสื้อเชิ้ตตัวเก่ง เขาก็ได้ยินเสียงเรือชนเข้ากับปลายสะพาน
“เอ้า! เป็นไรหรือเปล่า”
สิงขรตะโกนออกไป เพื่อให้เขารู้ว่า มีคนอยู่บนนี้ มากกว่าจะเป็นการผูกมิตร
“ครับ... สวัสดียามดึกครับพี่”
ชายหนุ่มร่างผอมโดดขึ้นจากเรือ ทักทาย
“...ฝากผูกเรือไว้สักคืนนะครับ”
“ไม่ใช่ท่าน้ำบ้านพี่หรอก”
สิงขรเดินเข้าใกล้ พยายามพิจารณาคนตรงหน้าให้ถนัด
“แต่ก็ผูกไว้เถอะ เจ้าของท่าเขาคงไม่ว่าอะไร”
“ขอบคุณมากครับพี่...” ชายหนุ่มพนมมือไหว้ “...ผมชื่อพีรพลครับ อยู่บ้านรีสอร์ต ตรงหัวโค้ง ก่อนถึงทางเลาะเข้าไปฝั่งฝาย บ้านพักตากอากาศของพนักงานบริษัทพ่อผมเองครับ แต่ท่าเรือมันพัง คงเพราะลมกระโชกเมื่อหลายวันก่อน หมอกหนาอย่างนี้ ผมไม่กล้าลากเรือขึ้นไป กลัวท้องเรือจะทะลุ”
สิงขรเดาว่าคนตรงหน้า น่าจะอายุยี่สิบต้นๆ ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น ดวงตาใสซื่อ แต่ใต้ดวงตากลับคล้ำช้ำ คล้ายคนเพิ่งสร่างไข้หนัก หรือไม่ก็ผ่านการร้องไห้มาหลายเพลา หรือไม่... ก็เป็นพวกติดยาเสพติด
“ผม สิงขร”
จากแสงเพียงน้อยนิด เด็กหนุ่มก็จ้องมองใบหน้าของหนุ่มรุ่นพี่อย่างพิจารณา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มข้นนั่น ทำให้พีรพลพูดต่อไป
“ปู่ศักรินทร์ เคยเล่าเรื่องเพื่อนสนิทของปู่ให้ฟัง บอกว่าชื่อคชา เป็นพวกกะเหรี่ยงรามัญ”
“ปู่ผมเอง ทำงานกับปู่ศักดิ์ตั้งแต่สมัยมหาสงครามเอเชียบูรพา แถวนี้เหมาะเป็นฐานทำงานลับของพวกแนวที่ห้า...”
สิงขรรู้ดีว่าตน ปล่อยข้อมูลมากเกินไปแล้ว แต่เพื่อแลกกับเบาะแสจากหนุ่มรุ่นน้อง เขาก็จำเป็นต้องพูด ไม่ใช่เรื่องปกตินักหรอก สำหรับคนที่โผล่จากกลางน้ำมาตอนใกล้ดึก ไม่มีปลาหรือกระทั่งคันเบ็ด ซึ่งหมายความว่า เขาอาจมีกิจธุระอย่างอื่นกับบึงน้ำทอง
เมื่อผูกเรือเรียบร้อยดีแล้ว พีรพลก็เดินตามสิงขรมาที่ริมตลิ่ง ไฟกะพริบภายในร้าน ส่องแสงลอดออกมาให้พอได้เห็นกันอย่างสลัวราง
“ผมตามสะสมเรื่องเสรีไทยอยู่นะครับ ถึงแถวเมืองกาญจ์นี้จะต้องทำงานกับพวกอังกฤษเป็นหลัก และไม่ได้น้ำได้เนื้ออะไรเท่าไหร่ แต่มันก็น่าสนใจอยู่ดี กับการที่พวกเขาช่วยกัน ทำให้ไทยรอดพ้นจากภาวะผู้แพ้สงคราม”
“แน่ใจเรอะว่าไม่ได้แพ้”
“ก็ยังเป็นเอกราชนะครับ ถึงค่าปรับอะไรๆ นั่นจะไม่ค่อยยุติธรรม แต่เราก็ไม่ได้เสียหายถึงขนาดล่มจม”
ดูเหมือนหนุ่มรุ่นน้องพยายามชวนคุย อาจเป็นเพราะสภาพอากาศอันอึมครึม เริ่มมีกระไอหมอกอวลอยู่รอบตัว ทำให้ใครๆ คงอยากพูดจากัน
“ผม... เรียกว่าคลั่งก็ได้นะครับ ผมอ่านทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเสรีไทย บึงน้ำทองนี้ ก็เหมาะมากในการโดดร่ม ผมยังไม่เจอบันทึกทั้งของพวกญี่ปุ่นหรือพวกสัมพันธมิตรนะครับ ว่าบึงน้ำทองเป็นจุดสำคัญหรือต้องเฝ้าระวัง ว่าแต่... พี่สิงขร มีของที่ระลึกอะไรจากปู่ของพี่มั่งไหมครับ เกี่ยวกับเสรีไทยน่ะ”
“ไม่มีเลย ปู่ผมเป็นผู้ช่วยปู่ศัก เวลาต้องข้ามภูเขาไปประสานกับทางอังกฤษ”
สิงขรกำลังเดินนำหนุ่มรุ่นน้องมาทางถนนใหญ่
“น่าเสียดาย...”
พีรพลพึมพำ ก่อนจะคุยเรื่องหมอกควันที่ดูจะหนาหนักกว่าทุกปี รวมถึงหน้าหนาวที่มาเร็ว และทำท่าจะหนาวเป็นพิเศษ เขาหยุดอ่านป้าย เปิดบริการ ตรงประตูรั้วใหญ่อีกครั้ง
“เปิดได้เสียที ดีจังนะครับ ขอบคุณมากครับพี่สิงขร ราตรีสวัสดิ์ครับผม”
ชายหนุ่มรุ่นพี่ โบกมือลา และยืนส่งพีรพลจนเขาเดินลับหายไปกับม่านหมอก พิจารณาไปด้วยว่า หนุ่มคนนี้ไม่น่าจะมีพิษภัย นอกจากคลั่งเรื่องสงครามโลกครั้งที่สอง หรือคลั่งประวัติศาสตร์เสรีไทยมากแล้ว ก็ไม่มีท่าจะสนใจทำอย่างอื่น
ทว่าสิงขรยังอดสงสัยไม่ได้ ระดับอายุของพีรพลควรจะเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เวลานี้ก็น่าจะเปิดภาคเรียน หรือหากเรียนสถาบันเอกชน เขาแค่มาซุ่มอ่านหนังสือแน่หรือ หรือว่าหนีอะไรมา หรือว่ามากบดานจากเรื่องร้ายๆ บางอย่าง
สิงขรบรรจุรีสอร์ตที่อยู่ของพีรพลเข้าไป ในบัญชีรายชื่อสถานที่ ที่ต้องสำรวจในคืนนี้ พลางเดินกลับมาทางสะพานท่าราชสงวน เมื่อมีทั้งหมอกและน้ำค้างพร่างพรมขนาดนี้ แสงไฟริบหรี่จากภายในร้านของปู่ศัก ดูจะเป็นสถานที่เดียว ที่ควรเข้าใกล้
เพราะเมืองใหญ่กระมัง ทำให้สิงขรต้องใช้เวลาอยู่สองสามวัน กว่าจะชินกับความมืดมิดของบึงน้ำทอง ที่มืดขนาดมองมือของตัวเองไม่เห็นในบางค่ำคืน
เกือบจะเดินพ้นระเบียงหน้าร้านไปแล้ว ตอนที่ชายหนุ่มเห็นว่าชื่นใจหลับอยู่บนระเบียง นั่งเหยียดกับพื้นกระดาน พิงผนังและคอพับไปเล็กน้อย แสงไฟกะพริบจากภายในร้าน ทำให้เรือนผมของเธอวาวแสงขึ้นเป็นระยะ
มือข้างหนึ่งตกอยู่ที่หน้าตัก อีกข้างเกาะสมุดวาดเขียนเล่มหนึ่งเอาไว้ ท่าทางของเธอเหมือนไม่สะเทือนกับความหนาว สีหน้านั้นดูโดดเดี่ยวไร้พิษภัย
สิงขรขยับเข้าใกล้ สมุดวาดเขียนเป็นแบบปกแข็ง ภาพวาดเป็นสีถ่านแรเงา ดินสอดำยังคาอยู่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง และห่างจากปลายเท้าเล็กน้อย แมวอ้วนหน้าตาพิลึกที่เขาคุ้นเคย นอนขดตัวอยู่ใกล้ๆ
ชายหนุ่มต้องตัดสินใจ ถ้าปล่อยเธอไว้ตรงนี้คงถูกหวัดเล่นงาน หากดึกกว่านี้ อากาศจะยิ่งเย็นจัด แต่ถ้าปลุก เธออาจเริ่มพูดไม่หยุดอีกก็เป็นได้ หรือไม่ ถ้าหญิงสาวร้องไห้ขึ้นมาอีก เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
สิงขรค่อยดึงดินสอดำออกจากมือ... เธอไม่รู้สึกตัว...
เขาเลื่อนสมุดวาดเขียนออกให้ห่างตัว เห็นภาพร่างนั่นชัดเจนมากยิ่งขึ้น เป็นภาพของมือเหี่ยวย่นกำลังเหยาะเครื่องปรุงในหม้อใบเขื่อง คุณยายแน่ๆ เขาบอกได้ทันที รวมทั้งบอกได้ด้วยว่า ชื่นใจเป็นคนที่มีฝีมือทางจิตรกรรมจริงๆ
ตอนสมุดจะหลุดจากปลายมือ หญิงสาวขยับนิดหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ตื่น
คอพับลงไปอีก แสดงว่าหลับลึกจริงจัง คิดว่าถ้าปลุกตอนนี้ คงเป็นบาปกรรมสาหัส เมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของเธอ
สิงขรตัดสินใจค่อยสอดท่อนแขนรองใต้ขา ระมัดระวังที่สุดตอนใช้อีกมือประคองกระชับที่ช่วงหลัง พอเขายกตัวเธอได้สำเร็จ หญิงสาวก็ซบกับอก ราวเด็กหญิงตัวน้อยๆ กำลังแสวงหาไออุ่นในความฝัน
เขาไม่เคยนึกพิสมัยผู้หญิงตัวเล็กขนาดนี้มาก่อน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าคู่ชีวิตจะรูปร่างแค่นี้ เวลาจะอุ้มพาไปไหนต่อไหน คงสะดวกดีไม่น้อย
สิงขรอุ้มเธอขึ้นมาบนชั้นสองได้อย่างเงียบเชียบ นึกชมตัวเองว่าซ่อมบันไดยอบแยบให้หมดเสียงเสียได้อย่างเหมาะเจาะ แสงไฟน้อยๆ ที่ลอดออกมาจากห้องน้ำ ช่วยให้เขามองเห็นเตียงนอนของหญิงสาว
เขาค่อยวางเธอลงอย่างระมัดระวัง ถอดรองเท้าให้และเลื่อนผ้าห่มขึ้นคลุมเพียงอก
ชื่นใจพลิกตัวควานหาหมอนข้าง ขดตัวขึ้นเมื่อสัมผัสได้กับความอบอุ่นอันอ่อนนุ่ม
สิงขรค่อยถอยหลังจากมา เพราะไม่อยากละสายตาไปจากเธอ
สรุปกับตัวเองได้อีกข้อหนึ่งแล้วว่า...
การได้นั่งฟังเธอพูดเรื่อยๆ นั้น ง่ายกว่าการเห็นเธอนอนหลับสนิทอยู่ตรงหน้า...
(มีต่อในคคห.ที่1)
นิยาย : ริมฝั่งฝัน (รีไรต์) : บทที่ 7
ริมฝั่งฝัน บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
***************************************************
สวัสดีครับ
ขอบคุณทุกไลค์ทุกโหวตเช่นเคย จากคุณ ลายลิขิต หลงรัก, GTW ถูกใจ, พวงดารา ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, turtle_cheesecake ถูกใจ, ป้าทุยบ้านทุ่ง ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นจาก คุณป้าทุยบ้านทุ่ง คุณGTW และคุณลายลิขิต
ขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่าน
ขอบคุณจากใจครับผม
******************************************
22.30 น.
สิงขรปล่อยเนื้อตัวให้แห้งอยู่ปลายสะพาน คืนนี้เขาว่ายน้ำนานกว่าปกติ เพราะจำเป็นต้องรีดเค้นเอาความอัดแน่นของพลังหนุ่ม ให้เจือจางลงให้มากที่สุด
มันไม่ใช่แค่อารมณ์ถวิลหารักใครเพียงเท่านั้น แต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่า ความอึดอัดในอกนั้น เกิดจากความรู้สึกเช่นไรบ้าง
เขาเชื่อว่า ถ้ายังทนนั่งอยู่ใกล้ๆ เธอเหมือนเมื่อครูใหญ่ๆ นั่น เขาก็คงรวบเธอไว้ในอ้อมแขน โอบปลอบด้วยความอ่อนโยน และถ้อยคำอ่อนหวานเท่าที่จะทำได้
กระทั่งขณะนี้ก็เถอะ ถ้าได้อยู่ใกล้ เขาก็ยังจะกอดเธอไว้อยู่ดี อย่างน้อยก็จะได้ถ่ายทอดความห่วงใย และรับเอาความทุกข์ทั้งโลกที่หญิงสาวแบกเอาไว้ มาวางบนบ่าของตนเอง
ชายหนุ่มเริ่มสวมเสื้อผ้า เมื่อสวมเสื้อยืดแล้วคลุมทับด้วยเสื้อเชิ้ตตัวเก่ง เขาก็ได้ยินเสียงเรือชนเข้ากับปลายสะพาน
“เอ้า! เป็นไรหรือเปล่า”
สิงขรตะโกนออกไป เพื่อให้เขารู้ว่า มีคนอยู่บนนี้ มากกว่าจะเป็นการผูกมิตร
“ครับ... สวัสดียามดึกครับพี่”
ชายหนุ่มร่างผอมโดดขึ้นจากเรือ ทักทาย
“...ฝากผูกเรือไว้สักคืนนะครับ”
“ไม่ใช่ท่าน้ำบ้านพี่หรอก”
สิงขรเดินเข้าใกล้ พยายามพิจารณาคนตรงหน้าให้ถนัด
“แต่ก็ผูกไว้เถอะ เจ้าของท่าเขาคงไม่ว่าอะไร”
“ขอบคุณมากครับพี่...” ชายหนุ่มพนมมือไหว้ “...ผมชื่อพีรพลครับ อยู่บ้านรีสอร์ต ตรงหัวโค้ง ก่อนถึงทางเลาะเข้าไปฝั่งฝาย บ้านพักตากอากาศของพนักงานบริษัทพ่อผมเองครับ แต่ท่าเรือมันพัง คงเพราะลมกระโชกเมื่อหลายวันก่อน หมอกหนาอย่างนี้ ผมไม่กล้าลากเรือขึ้นไป กลัวท้องเรือจะทะลุ”
สิงขรเดาว่าคนตรงหน้า น่าจะอายุยี่สิบต้นๆ ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น ดวงตาใสซื่อ แต่ใต้ดวงตากลับคล้ำช้ำ คล้ายคนเพิ่งสร่างไข้หนัก หรือไม่ก็ผ่านการร้องไห้มาหลายเพลา หรือไม่... ก็เป็นพวกติดยาเสพติด
“ผม สิงขร”
จากแสงเพียงน้อยนิด เด็กหนุ่มก็จ้องมองใบหน้าของหนุ่มรุ่นพี่อย่างพิจารณา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มข้นนั่น ทำให้พีรพลพูดต่อไป
“ปู่ศักรินทร์ เคยเล่าเรื่องเพื่อนสนิทของปู่ให้ฟัง บอกว่าชื่อคชา เป็นพวกกะเหรี่ยงรามัญ”
“ปู่ผมเอง ทำงานกับปู่ศักดิ์ตั้งแต่สมัยมหาสงครามเอเชียบูรพา แถวนี้เหมาะเป็นฐานทำงานลับของพวกแนวที่ห้า...”
สิงขรรู้ดีว่าตน ปล่อยข้อมูลมากเกินไปแล้ว แต่เพื่อแลกกับเบาะแสจากหนุ่มรุ่นน้อง เขาก็จำเป็นต้องพูด ไม่ใช่เรื่องปกตินักหรอก สำหรับคนที่โผล่จากกลางน้ำมาตอนใกล้ดึก ไม่มีปลาหรือกระทั่งคันเบ็ด ซึ่งหมายความว่า เขาอาจมีกิจธุระอย่างอื่นกับบึงน้ำทอง
เมื่อผูกเรือเรียบร้อยดีแล้ว พีรพลก็เดินตามสิงขรมาที่ริมตลิ่ง ไฟกะพริบภายในร้าน ส่องแสงลอดออกมาให้พอได้เห็นกันอย่างสลัวราง
“ผมตามสะสมเรื่องเสรีไทยอยู่นะครับ ถึงแถวเมืองกาญจ์นี้จะต้องทำงานกับพวกอังกฤษเป็นหลัก และไม่ได้น้ำได้เนื้ออะไรเท่าไหร่ แต่มันก็น่าสนใจอยู่ดี กับการที่พวกเขาช่วยกัน ทำให้ไทยรอดพ้นจากภาวะผู้แพ้สงคราม”
“แน่ใจเรอะว่าไม่ได้แพ้”
“ก็ยังเป็นเอกราชนะครับ ถึงค่าปรับอะไรๆ นั่นจะไม่ค่อยยุติธรรม แต่เราก็ไม่ได้เสียหายถึงขนาดล่มจม”
ดูเหมือนหนุ่มรุ่นน้องพยายามชวนคุย อาจเป็นเพราะสภาพอากาศอันอึมครึม เริ่มมีกระไอหมอกอวลอยู่รอบตัว ทำให้ใครๆ คงอยากพูดจากัน
“ผม... เรียกว่าคลั่งก็ได้นะครับ ผมอ่านทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเสรีไทย บึงน้ำทองนี้ ก็เหมาะมากในการโดดร่ม ผมยังไม่เจอบันทึกทั้งของพวกญี่ปุ่นหรือพวกสัมพันธมิตรนะครับ ว่าบึงน้ำทองเป็นจุดสำคัญหรือต้องเฝ้าระวัง ว่าแต่... พี่สิงขร มีของที่ระลึกอะไรจากปู่ของพี่มั่งไหมครับ เกี่ยวกับเสรีไทยน่ะ”
“ไม่มีเลย ปู่ผมเป็นผู้ช่วยปู่ศัก เวลาต้องข้ามภูเขาไปประสานกับทางอังกฤษ”
สิงขรกำลังเดินนำหนุ่มรุ่นน้องมาทางถนนใหญ่
“น่าเสียดาย...”
พีรพลพึมพำ ก่อนจะคุยเรื่องหมอกควันที่ดูจะหนาหนักกว่าทุกปี รวมถึงหน้าหนาวที่มาเร็ว และทำท่าจะหนาวเป็นพิเศษ เขาหยุดอ่านป้าย เปิดบริการ ตรงประตูรั้วใหญ่อีกครั้ง
“เปิดได้เสียที ดีจังนะครับ ขอบคุณมากครับพี่สิงขร ราตรีสวัสดิ์ครับผม”
ชายหนุ่มรุ่นพี่ โบกมือลา และยืนส่งพีรพลจนเขาเดินลับหายไปกับม่านหมอก พิจารณาไปด้วยว่า หนุ่มคนนี้ไม่น่าจะมีพิษภัย นอกจากคลั่งเรื่องสงครามโลกครั้งที่สอง หรือคลั่งประวัติศาสตร์เสรีไทยมากแล้ว ก็ไม่มีท่าจะสนใจทำอย่างอื่น
ทว่าสิงขรยังอดสงสัยไม่ได้ ระดับอายุของพีรพลควรจะเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เวลานี้ก็น่าจะเปิดภาคเรียน หรือหากเรียนสถาบันเอกชน เขาแค่มาซุ่มอ่านหนังสือแน่หรือ หรือว่าหนีอะไรมา หรือว่ามากบดานจากเรื่องร้ายๆ บางอย่าง
สิงขรบรรจุรีสอร์ตที่อยู่ของพีรพลเข้าไป ในบัญชีรายชื่อสถานที่ ที่ต้องสำรวจในคืนนี้ พลางเดินกลับมาทางสะพานท่าราชสงวน เมื่อมีทั้งหมอกและน้ำค้างพร่างพรมขนาดนี้ แสงไฟริบหรี่จากภายในร้านของปู่ศัก ดูจะเป็นสถานที่เดียว ที่ควรเข้าใกล้
เพราะเมืองใหญ่กระมัง ทำให้สิงขรต้องใช้เวลาอยู่สองสามวัน กว่าจะชินกับความมืดมิดของบึงน้ำทอง ที่มืดขนาดมองมือของตัวเองไม่เห็นในบางค่ำคืน
เกือบจะเดินพ้นระเบียงหน้าร้านไปแล้ว ตอนที่ชายหนุ่มเห็นว่าชื่นใจหลับอยู่บนระเบียง นั่งเหยียดกับพื้นกระดาน พิงผนังและคอพับไปเล็กน้อย แสงไฟกะพริบจากภายในร้าน ทำให้เรือนผมของเธอวาวแสงขึ้นเป็นระยะ
มือข้างหนึ่งตกอยู่ที่หน้าตัก อีกข้างเกาะสมุดวาดเขียนเล่มหนึ่งเอาไว้ ท่าทางของเธอเหมือนไม่สะเทือนกับความหนาว สีหน้านั้นดูโดดเดี่ยวไร้พิษภัย
สิงขรขยับเข้าใกล้ สมุดวาดเขียนเป็นแบบปกแข็ง ภาพวาดเป็นสีถ่านแรเงา ดินสอดำยังคาอยู่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง และห่างจากปลายเท้าเล็กน้อย แมวอ้วนหน้าตาพิลึกที่เขาคุ้นเคย นอนขดตัวอยู่ใกล้ๆ
ชายหนุ่มต้องตัดสินใจ ถ้าปล่อยเธอไว้ตรงนี้คงถูกหวัดเล่นงาน หากดึกกว่านี้ อากาศจะยิ่งเย็นจัด แต่ถ้าปลุก เธออาจเริ่มพูดไม่หยุดอีกก็เป็นได้ หรือไม่ ถ้าหญิงสาวร้องไห้ขึ้นมาอีก เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
สิงขรค่อยดึงดินสอดำออกจากมือ... เธอไม่รู้สึกตัว...
เขาเลื่อนสมุดวาดเขียนออกให้ห่างตัว เห็นภาพร่างนั่นชัดเจนมากยิ่งขึ้น เป็นภาพของมือเหี่ยวย่นกำลังเหยาะเครื่องปรุงในหม้อใบเขื่อง คุณยายแน่ๆ เขาบอกได้ทันที รวมทั้งบอกได้ด้วยว่า ชื่นใจเป็นคนที่มีฝีมือทางจิตรกรรมจริงๆ
ตอนสมุดจะหลุดจากปลายมือ หญิงสาวขยับนิดหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ตื่น
คอพับลงไปอีก แสดงว่าหลับลึกจริงจัง คิดว่าถ้าปลุกตอนนี้ คงเป็นบาปกรรมสาหัส เมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของเธอ
สิงขรตัดสินใจค่อยสอดท่อนแขนรองใต้ขา ระมัดระวังที่สุดตอนใช้อีกมือประคองกระชับที่ช่วงหลัง พอเขายกตัวเธอได้สำเร็จ หญิงสาวก็ซบกับอก ราวเด็กหญิงตัวน้อยๆ กำลังแสวงหาไออุ่นในความฝัน
เขาไม่เคยนึกพิสมัยผู้หญิงตัวเล็กขนาดนี้มาก่อน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าคู่ชีวิตจะรูปร่างแค่นี้ เวลาจะอุ้มพาไปไหนต่อไหน คงสะดวกดีไม่น้อย
สิงขรอุ้มเธอขึ้นมาบนชั้นสองได้อย่างเงียบเชียบ นึกชมตัวเองว่าซ่อมบันไดยอบแยบให้หมดเสียงเสียได้อย่างเหมาะเจาะ แสงไฟน้อยๆ ที่ลอดออกมาจากห้องน้ำ ช่วยให้เขามองเห็นเตียงนอนของหญิงสาว
เขาค่อยวางเธอลงอย่างระมัดระวัง ถอดรองเท้าให้และเลื่อนผ้าห่มขึ้นคลุมเพียงอก
ชื่นใจพลิกตัวควานหาหมอนข้าง ขดตัวขึ้นเมื่อสัมผัสได้กับความอบอุ่นอันอ่อนนุ่ม
สิงขรค่อยถอยหลังจากมา เพราะไม่อยากละสายตาไปจากเธอ
สรุปกับตัวเองได้อีกข้อหนึ่งแล้วว่า...
การได้นั่งฟังเธอพูดเรื่อยๆ นั้น ง่ายกว่าการเห็นเธอนอนหลับสนิทอยู่ตรงหน้า...
(มีต่อในคคห.ที่1)