******************************
สวัสดีครับ
ขออภัยสำหรับบรรยากาศแปลกๆ ในกระทู้ที่แล้วนะครับ เหอๆ และ... ท่านล็อกเขื่องอักโขนั่น ทำอะไรอยู่ต้องรู้ตัวเองดีนะครับ กับการกะเกณฑ์ระดมโหวตเพื่อผลักกระทู้อื่นให้ตกไป และระดมดันกระทู้ตัวเองให้กลับขึ้นมา... เป็นเรื่องแบบสุดจะนึกคิดได้ด้วยสามัญสำนึก และเชิญหลอกตัวเองต่อไปนะครับ
กลับมา... ริมฝั่งฝัน ที่นักอ่านรุ่นเดิมบอกว่า เรื่องนี้แท้จริง ยาย เป็นนางเอกนะจ๊ะๆ เราไปติดตาม ยายดีๆ จากในนิยายกันดีกว่าเนอะ
อย่างที่เกริ่นไว้นะครับว่า ปรับวิธีการเล่าเรื่อง จากคราวก่อนนั้น สลับวิธีการเล่าเรื่องแบบค่อนข้างผาดโผนและเอาเปรียบพระเอกพอสมควร ด้วยการให้พื้นที่ "ฉัน" ของชื่นใจมากมายกว่า "เขา" ของ สิงขร ในรอบนี้ น่าจะยุติธรรมกับทั้งคู่มากขึ้นครับ และน่าจะอ่านได้เรียบลื่นขึ้นกว่าที่เคย
คนเขียนเคยเขียนไปยิ้มไป และเมื่อนำกลับมาปรับปรุง ก็ยังปรู๊ฟไปยิ้มไปนะครับ กับบรรยากาศอวลๆ อ้อยอิ่งของ หมอกหรือควัน ก็ยังไม่แน่ใจ
ฝากติดตาม "ริมฝั่งฝัน" นะครับ
ผมเอง เพลงเกือบพัน
------------------------------------
ขอบคุณทุกโหวตทุกไลค์ทุกความคิดเห็น เป็นโหวตแท้ๆ ไลค์จริงๆ ความคิดเห็นด้วยไมตรี ที่คนเขียนเต็มใจยิ่งที่จะยิ้มรับได้อย่างภาคภูมิใจ
ขอบคุณทั้งสิบโหวต ขอบคุณทุกไลค์จากคุณ เป่าชาง ถูกใจ, ลายลิขิต หลงรัก, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, ป้าทุยบ้านทุ่ง ถูกใจ, GTW ถูกใจ, อุรุเวลา ถูกใจ, turtle_cheesecake หลงรัก, ออมอำพัน หลงรัก
ขอบคุณการทักทายจาก อ.จี (งานดีครับจารย์ ขอเวลาอ่านแป๊บๆ ช่วงปิดเทอม ผมยิ่งกว่าเปิดเทอมเจ็ดร้อยเท่าเบย) ขอบคุณคุณลายลิขิต(ยังรอที่รีไรต์นะครับ) ขอบคุณคุณมานีโอลา (ลองติดตามเวอรชั่นนี้อีกสักครั้งนะครับ)
ขอบคุณจากใจครับผม
------------------------------------------------
ริมฝั่งฝัน บทที่ 2
จนเช้าของอีกวัน หลังจากยายให้แวะกราบนมัสการหลวงพ่อโสธร และให้อ้อมลงไปกราบพระร่วงโรจนฤทธิ์ที่พระปฐมเจดีย์อีกองค์ ทั้งสองคนจึงต้องแวะค้างคืนที่นั้น แล้วค่อยขับรถตู้คันเก่งของคุณตา มุ่งหน้าสู่กาญจนบุรีผ่านทางอำเภอกำแพงแสน
สำนักงานทนายความอยู่ในเขตอำเภอเมืองกาญจนบุรี และชื่นใจรู้สึกพร้อมเต็มที่ ที่จะเผชิญหน้ากับทนาย รวมทั้งการรับมอบมรดก
ยายช่วยถือแก้วกาแฟร้อนจากร้านสะดวกซื้อ คอยยื่นให้ขณะหลานสาวขับรถมุ่งสู่สำนักงานทนายความอดุลย์ผดุงยุติธรรม
“ยายอาจเคยรู้จักคุณศักรินทร์ก็ได้นะคะ อาจเป็นญาติห่างๆ หรือเป็นเพื่อนเก่าสมัยที่ยายอยู่ที่นี้”
กว่าห้าร้อยกิโลเมตรแล้วกระมัง ที่ทั้งสองคนวนเวียนตั้งคำถามนี้กันไปมา
แต่ยายยังยืนยันว่าไม่รู้จัก แม้กาญจนบุรีจะเป็นสถานที่ที่ท่านมีความสุขที่สุด แต่หลังจากแต่งงานอยู่กินกับคุณตา ทั้งคู่ก็ย้ายไปเช่าที่ดินทำไร่อยู่ที่อำเภอบ้านเพลง จังหวัดราชบุรี จนตลอดมากระทั่งคุณตาเสียชีวิต แล้วสองคนยายหลานก็เริ่มใช้ชีวิตกันแบบระหกระเหเร่ร่อน
ยายนับเพื่อนและคนรู้จักของตนเองได้ถี่ถ้วน เพราะมีไม่มากเกินจำนวนนิ้วในมือเพียงข้างเดียว หรือจะว่ายายเคยมีท่านอภิมหาเศรษฐีคนรักเก่าคอยมอบสมบัติให้ นั่นก็คงเป็นไปไม่ได้พอๆ กับการขับรถโดยไม่ต้องจับพวงมาลัย
“ที่จริง ถ้าชื่อศักดิ์ยายก็รู้จักอยู่คนหนึ่ง แต่เขาให้เรียกว่าโด่ง เพราะจมูกเขาตรงสวยเป็นสัน ออกจะรั้นๆ ด้วยซ้ำไปนะ”
ยายจิบชาร้อนของตนบ้าง กัดบราวนี่เนื้อกระด้างและหวานเอียนคำหนึ่ง ทำสีหน้าสยดสยองกับรสชาติ ก่อนจะพูดต่อ
“ก็เขานั้นละที่พายายไปเที่ยวงานวันลอยกระทง ตอนที่ยายมาอยู่เมืองกาญจน์ จำได้ว่าพี่สะใภ้ของยายท้องแก่ใกล้คลอด แม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อน แต่บ้านของพี่สะใภ้ก็คับแคบ แม่เลยได้พักอยู่แถวถัดขึ้นไป ตอนนั้นมีแต่ป่านะ เมืองกาญจน์นี้มีถนนน้อยสาย ไปเกวียนกันหรือไม่ก็ล่องมาจากทางแม่กลอง”
ยายยิ้มให้กับสายลมที่ปลิวมาปะทะปลายผม ที่ลุ่ยออกมาจากมวยผมสีเงินเงางาม
“พอญี่ปุ่นขึ้น พวกผู้ชายบ้านเราก็อาสาไปรบ แม่เลยอยากให้ยายอยู่กับสำอางไปก่อน จนกว่าอะไรๆ มันจะลงตัว สำอางที่เป็นพี่สะใภ้ ยายอ่อนกว่าเขาปีเดียวเท่านั้น”
พอยายเริ่มเล่ามาทางนี้ ผู้เป็นหลานสาวเดาได้เลยว่า ประโยคต่อๆ ไปจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เธอไม่อยากฟังซ้ำ เรื่องที่สำอางตกเลือดจนแท้ง หรือตาสุทธิพี่ชายต้องไปตายในสนามรบ
“เล่าเรื่องของคุณโด่งของยายดีกว่าค่ะ นะคะ หนูอยากฟัง”
ยายตัดใจทิ้งบราวนี่ก้อนนั้นลงถังขยะใบเล็กๆ อย่างเสียดายๆ แต่พอเลียคราบช็อกโกแลตที่ติดอยู่ปลายนิ้ว สีหน้าท่านก็เหมือนตัดใจได้เด็ดขาด
“เราไปถึงที่นั่นก่อนลอยกระทงไม่ถึงสิบวัน คุณโด่งก็มาคุยเป็นเพื่อนยายทุกวัน เขาว่าเสียดายที่เกิดต้นปี กว่าจะครบสมัครเป็นทหารก็อีกหลายเดือน ตอนนั้นหลังลอยกระทงไม่กี่อาทิตย์ญี่ปุ่นก็ขึ้น ราวๆ เดือนอ้ายละมั้ง”
“ยายน่าจะได้แต่งงานกับคุณโด่ง”
ชื่นใจหันไปยิ้มให้อย่างล้อๆ ท่านถึงกับหัวเราะ
“ได้ยังไงล่ะ ยายก็มีตาเป็นคู่หมายอยู่แล้วทั้งคน พ่อแม่ยายเป็นคนจัดการไว้ตั้งแต่ยายยังไม่เต็มเจ็ดขวบ บอกว่าจบประถมสี่เมื่อไหร่ จะให้แต่งกับตาทันที พ่อของยายบอกว่า แต่งกับตาน่ะดีแล้ว อายุมากกว่า ทำไร่ไถนาได้แล้ว เป็นที่พึ่งให้ยายได้แน่”
ยายล้วงกล่องแยมโรลออกมาเปิด ดมๆ แล้วมองหน้าหญิงสาว
“มีแต่กลิ่นปลอมๆ น้ำตาลกับผงวุ้น”
“แยมส้มมังคะ”
ชื่นใจแกล้งถาม รู้อยู่แล้วว่าเบเกอรี่ในร้านสะดวกซื้อ มีคุณภาพเช่นไร
“หนูไม่ได้กินนานแล้ว ไว้เราทำกินกันบ้างดีไหมคะ”
หลายปีในร้านเบเกอรี่ที่คัดสรรเฉพาะวัตถุดิบที่ดีที่สุด และบรรจงสร้างสรรค์รสชาติที่ยอดเยี่ยม ที่ยายเคยไปทำงานอยู่ด้วย ทำให้ท่านมือถึงในเรื่องนี้ เพียงแต่ระยะหลัง ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือสักเท่าไร
“ตาไม่ได้ไปรบนะ แรกๆ เราปลูกข้าว ก็ส่งกองทัพนั่นละ คุยกันว่าเราก็อยู่ในกองทัพเหมือนกันนะ เป็นทัพหลังไงล่ะ ตอนที่อังกฤษจะปรับเราตอนแพ้สงคราม ตายังเอาข้าวไปช่วยรัฐบาลตั้งสองเกวียน”
ยายเริ่มกลับไปสู่อดีตอีกแล้ว และไม่มีวี่แววเรื่องราวของเจ้าของมรดกนั่นเลย
ถ้าไม่ใช่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตยาย อย่างนั้นก็ต้องเป็นทางเธอน่ะสิ
เป็นตัวเธอเนี่ยนะ...
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ชื่นใจก็เคยมีแฟนเหมือนกัน แต่ก็เป็นพวกนักจิตรกรรมที่หวังจะใช้สีหรือยืมเงินเธอไปซื้อสีน้ำมัน มากกว่าจะคิดยกมรดกให้หลังจากหายหน้าไปแล้วหลายปีแน่ๆ
ส่วนหลังจากเริ่มเปลี่ยนที่อยู่ แต่ละครั้งก็พอจะมีใครโผล่ๆ มาจีบๆ อยู่บ้าง แต่พอรู้ว่าหญิงสาวต้องมีภาระดูแลยายอีกคน พวกนั้นก็แวะเวียนมาได้ไม่นาน
ชื่นใจเหลือบไปยิ้มให้กับยายอีกครั้ง รู้สึกขอบคุณท่าน ที่ช่วยให้ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่เคยผ่านมาเหล่านั้น ก็คนที่ไม่คิดรักยายของเธอ จะมีค่าพอให้ใช้ชีวิตคู่กับเธอได้ยังไงล่ะ
ยายเปลี่ยนความสนใจจากมื้อเช้าที่ไม่ถูกใจ หยิบจดหมายจากสำนักทนายความมาอ่านอีกเป็นครั้งที่นับไม่ไหว ท่านคงแทบจะท่องจำมันได้แล้ว
เรากำลังเลี้ยวเข้าสู่เขตเมือง ขณะที่ยายเริ่มเอื้อนทำนองเพลงรักของวงสุนทราภรณ์ในลำคอ
“ริมฝั่งน้ำ... พร่ำเพ้อละเมอครวญ... เคยชื่นชวนเมื่อหวนคะนึงไป จิตใจยังชื่นชู... น้ำเต็มฝั่งดุจดังรักที่หวัง ยังคงคอย... เคยชื่นใจ ฝากไว้หัวใจลอย เฝ้าแต่คอยโอ้รักนั้นเลื่อนลอย ยิ่งคอยยิ่งใจหมอง...”
(เพลงริมฝั่งน้ำ คำร้องโดย แก้ว อัจฉริยะกุล)
(มีต่อคคห.ที่1)
นิยาย : ริมฝั่งฝัน (รีไรต์) : บทที่ 2
บทก่อนหน้า
https://pantip.com/topic/36293411
******************************
สวัสดีครับ
ขออภัยสำหรับบรรยากาศแปลกๆ ในกระทู้ที่แล้วนะครับ เหอๆ และ... ท่านล็อกเขื่องอักโขนั่น ทำอะไรอยู่ต้องรู้ตัวเองดีนะครับ กับการกะเกณฑ์ระดมโหวตเพื่อผลักกระทู้อื่นให้ตกไป และระดมดันกระทู้ตัวเองให้กลับขึ้นมา... เป็นเรื่องแบบสุดจะนึกคิดได้ด้วยสามัญสำนึก และเชิญหลอกตัวเองต่อไปนะครับ
กลับมา... ริมฝั่งฝัน ที่นักอ่านรุ่นเดิมบอกว่า เรื่องนี้แท้จริง ยาย เป็นนางเอกนะจ๊ะๆ เราไปติดตาม ยายดีๆ จากในนิยายกันดีกว่าเนอะ
อย่างที่เกริ่นไว้นะครับว่า ปรับวิธีการเล่าเรื่อง จากคราวก่อนนั้น สลับวิธีการเล่าเรื่องแบบค่อนข้างผาดโผนและเอาเปรียบพระเอกพอสมควร ด้วยการให้พื้นที่ "ฉัน" ของชื่นใจมากมายกว่า "เขา" ของ สิงขร ในรอบนี้ น่าจะยุติธรรมกับทั้งคู่มากขึ้นครับ และน่าจะอ่านได้เรียบลื่นขึ้นกว่าที่เคย
คนเขียนเคยเขียนไปยิ้มไป และเมื่อนำกลับมาปรับปรุง ก็ยังปรู๊ฟไปยิ้มไปนะครับ กับบรรยากาศอวลๆ อ้อยอิ่งของ หมอกหรือควัน ก็ยังไม่แน่ใจ
ฝากติดตาม "ริมฝั่งฝัน" นะครับ
ผมเอง เพลงเกือบพัน
------------------------------------
ขอบคุณทุกโหวตทุกไลค์ทุกความคิดเห็น เป็นโหวตแท้ๆ ไลค์จริงๆ ความคิดเห็นด้วยไมตรี ที่คนเขียนเต็มใจยิ่งที่จะยิ้มรับได้อย่างภาคภูมิใจ
ขอบคุณทั้งสิบโหวต ขอบคุณทุกไลค์จากคุณ เป่าชาง ถูกใจ, ลายลิขิต หลงรัก, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, ป้าทุยบ้านทุ่ง ถูกใจ, GTW ถูกใจ, อุรุเวลา ถูกใจ, turtle_cheesecake หลงรัก, ออมอำพัน หลงรัก
ขอบคุณการทักทายจาก อ.จี (งานดีครับจารย์ ขอเวลาอ่านแป๊บๆ ช่วงปิดเทอม ผมยิ่งกว่าเปิดเทอมเจ็ดร้อยเท่าเบย) ขอบคุณคุณลายลิขิต(ยังรอที่รีไรต์นะครับ) ขอบคุณคุณมานีโอลา (ลองติดตามเวอรชั่นนี้อีกสักครั้งนะครับ)
ขอบคุณจากใจครับผม
------------------------------------------------
ริมฝั่งฝัน บทที่ 2
จนเช้าของอีกวัน หลังจากยายให้แวะกราบนมัสการหลวงพ่อโสธร และให้อ้อมลงไปกราบพระร่วงโรจนฤทธิ์ที่พระปฐมเจดีย์อีกองค์ ทั้งสองคนจึงต้องแวะค้างคืนที่นั้น แล้วค่อยขับรถตู้คันเก่งของคุณตา มุ่งหน้าสู่กาญจนบุรีผ่านทางอำเภอกำแพงแสน
สำนักงานทนายความอยู่ในเขตอำเภอเมืองกาญจนบุรี และชื่นใจรู้สึกพร้อมเต็มที่ ที่จะเผชิญหน้ากับทนาย รวมทั้งการรับมอบมรดก
ยายช่วยถือแก้วกาแฟร้อนจากร้านสะดวกซื้อ คอยยื่นให้ขณะหลานสาวขับรถมุ่งสู่สำนักงานทนายความอดุลย์ผดุงยุติธรรม
“ยายอาจเคยรู้จักคุณศักรินทร์ก็ได้นะคะ อาจเป็นญาติห่างๆ หรือเป็นเพื่อนเก่าสมัยที่ยายอยู่ที่นี้”
กว่าห้าร้อยกิโลเมตรแล้วกระมัง ที่ทั้งสองคนวนเวียนตั้งคำถามนี้กันไปมา
แต่ยายยังยืนยันว่าไม่รู้จัก แม้กาญจนบุรีจะเป็นสถานที่ที่ท่านมีความสุขที่สุด แต่หลังจากแต่งงานอยู่กินกับคุณตา ทั้งคู่ก็ย้ายไปเช่าที่ดินทำไร่อยู่ที่อำเภอบ้านเพลง จังหวัดราชบุรี จนตลอดมากระทั่งคุณตาเสียชีวิต แล้วสองคนยายหลานก็เริ่มใช้ชีวิตกันแบบระหกระเหเร่ร่อน
ยายนับเพื่อนและคนรู้จักของตนเองได้ถี่ถ้วน เพราะมีไม่มากเกินจำนวนนิ้วในมือเพียงข้างเดียว หรือจะว่ายายเคยมีท่านอภิมหาเศรษฐีคนรักเก่าคอยมอบสมบัติให้ นั่นก็คงเป็นไปไม่ได้พอๆ กับการขับรถโดยไม่ต้องจับพวงมาลัย
“ที่จริง ถ้าชื่อศักดิ์ยายก็รู้จักอยู่คนหนึ่ง แต่เขาให้เรียกว่าโด่ง เพราะจมูกเขาตรงสวยเป็นสัน ออกจะรั้นๆ ด้วยซ้ำไปนะ”
ยายจิบชาร้อนของตนบ้าง กัดบราวนี่เนื้อกระด้างและหวานเอียนคำหนึ่ง ทำสีหน้าสยดสยองกับรสชาติ ก่อนจะพูดต่อ
“ก็เขานั้นละที่พายายไปเที่ยวงานวันลอยกระทง ตอนที่ยายมาอยู่เมืองกาญจน์ จำได้ว่าพี่สะใภ้ของยายท้องแก่ใกล้คลอด แม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อน แต่บ้านของพี่สะใภ้ก็คับแคบ แม่เลยได้พักอยู่แถวถัดขึ้นไป ตอนนั้นมีแต่ป่านะ เมืองกาญจน์นี้มีถนนน้อยสาย ไปเกวียนกันหรือไม่ก็ล่องมาจากทางแม่กลอง”
ยายยิ้มให้กับสายลมที่ปลิวมาปะทะปลายผม ที่ลุ่ยออกมาจากมวยผมสีเงินเงางาม
“พอญี่ปุ่นขึ้น พวกผู้ชายบ้านเราก็อาสาไปรบ แม่เลยอยากให้ยายอยู่กับสำอางไปก่อน จนกว่าอะไรๆ มันจะลงตัว สำอางที่เป็นพี่สะใภ้ ยายอ่อนกว่าเขาปีเดียวเท่านั้น”
พอยายเริ่มเล่ามาทางนี้ ผู้เป็นหลานสาวเดาได้เลยว่า ประโยคต่อๆ ไปจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เธอไม่อยากฟังซ้ำ เรื่องที่สำอางตกเลือดจนแท้ง หรือตาสุทธิพี่ชายต้องไปตายในสนามรบ
“เล่าเรื่องของคุณโด่งของยายดีกว่าค่ะ นะคะ หนูอยากฟัง”
ยายตัดใจทิ้งบราวนี่ก้อนนั้นลงถังขยะใบเล็กๆ อย่างเสียดายๆ แต่พอเลียคราบช็อกโกแลตที่ติดอยู่ปลายนิ้ว สีหน้าท่านก็เหมือนตัดใจได้เด็ดขาด
“เราไปถึงที่นั่นก่อนลอยกระทงไม่ถึงสิบวัน คุณโด่งก็มาคุยเป็นเพื่อนยายทุกวัน เขาว่าเสียดายที่เกิดต้นปี กว่าจะครบสมัครเป็นทหารก็อีกหลายเดือน ตอนนั้นหลังลอยกระทงไม่กี่อาทิตย์ญี่ปุ่นก็ขึ้น ราวๆ เดือนอ้ายละมั้ง”
“ยายน่าจะได้แต่งงานกับคุณโด่ง”
ชื่นใจหันไปยิ้มให้อย่างล้อๆ ท่านถึงกับหัวเราะ
“ได้ยังไงล่ะ ยายก็มีตาเป็นคู่หมายอยู่แล้วทั้งคน พ่อแม่ยายเป็นคนจัดการไว้ตั้งแต่ยายยังไม่เต็มเจ็ดขวบ บอกว่าจบประถมสี่เมื่อไหร่ จะให้แต่งกับตาทันที พ่อของยายบอกว่า แต่งกับตาน่ะดีแล้ว อายุมากกว่า ทำไร่ไถนาได้แล้ว เป็นที่พึ่งให้ยายได้แน่”
ยายล้วงกล่องแยมโรลออกมาเปิด ดมๆ แล้วมองหน้าหญิงสาว
“มีแต่กลิ่นปลอมๆ น้ำตาลกับผงวุ้น”
“แยมส้มมังคะ”
ชื่นใจแกล้งถาม รู้อยู่แล้วว่าเบเกอรี่ในร้านสะดวกซื้อ มีคุณภาพเช่นไร
“หนูไม่ได้กินนานแล้ว ไว้เราทำกินกันบ้างดีไหมคะ”
หลายปีในร้านเบเกอรี่ที่คัดสรรเฉพาะวัตถุดิบที่ดีที่สุด และบรรจงสร้างสรรค์รสชาติที่ยอดเยี่ยม ที่ยายเคยไปทำงานอยู่ด้วย ทำให้ท่านมือถึงในเรื่องนี้ เพียงแต่ระยะหลัง ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือสักเท่าไร
“ตาไม่ได้ไปรบนะ แรกๆ เราปลูกข้าว ก็ส่งกองทัพนั่นละ คุยกันว่าเราก็อยู่ในกองทัพเหมือนกันนะ เป็นทัพหลังไงล่ะ ตอนที่อังกฤษจะปรับเราตอนแพ้สงคราม ตายังเอาข้าวไปช่วยรัฐบาลตั้งสองเกวียน”
ยายเริ่มกลับไปสู่อดีตอีกแล้ว และไม่มีวี่แววเรื่องราวของเจ้าของมรดกนั่นเลย
ถ้าไม่ใช่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตยาย อย่างนั้นก็ต้องเป็นทางเธอน่ะสิ
เป็นตัวเธอเนี่ยนะ...
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ชื่นใจก็เคยมีแฟนเหมือนกัน แต่ก็เป็นพวกนักจิตรกรรมที่หวังจะใช้สีหรือยืมเงินเธอไปซื้อสีน้ำมัน มากกว่าจะคิดยกมรดกให้หลังจากหายหน้าไปแล้วหลายปีแน่ๆ
ส่วนหลังจากเริ่มเปลี่ยนที่อยู่ แต่ละครั้งก็พอจะมีใครโผล่ๆ มาจีบๆ อยู่บ้าง แต่พอรู้ว่าหญิงสาวต้องมีภาระดูแลยายอีกคน พวกนั้นก็แวะเวียนมาได้ไม่นาน
ชื่นใจเหลือบไปยิ้มให้กับยายอีกครั้ง รู้สึกขอบคุณท่าน ที่ช่วยให้ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่เคยผ่านมาเหล่านั้น ก็คนที่ไม่คิดรักยายของเธอ จะมีค่าพอให้ใช้ชีวิตคู่กับเธอได้ยังไงล่ะ
ยายเปลี่ยนความสนใจจากมื้อเช้าที่ไม่ถูกใจ หยิบจดหมายจากสำนักทนายความมาอ่านอีกเป็นครั้งที่นับไม่ไหว ท่านคงแทบจะท่องจำมันได้แล้ว
เรากำลังเลี้ยวเข้าสู่เขตเมือง ขณะที่ยายเริ่มเอื้อนทำนองเพลงรักของวงสุนทราภรณ์ในลำคอ
“ริมฝั่งน้ำ... พร่ำเพ้อละเมอครวญ... เคยชื่นชวนเมื่อหวนคะนึงไป จิตใจยังชื่นชู... น้ำเต็มฝั่งดุจดังรักที่หวัง ยังคงคอย... เคยชื่นใจ ฝากไว้หัวใจลอย เฝ้าแต่คอยโอ้รักนั้นเลื่อนลอย ยิ่งคอยยิ่งใจหมอง...”
(เพลงริมฝั่งน้ำ คำร้องโดย แก้ว อัจฉริยะกุล)
(มีต่อคคห.ที่1)