สวัสดีครับ เนื่องจากช่วงสงกรานต์ (ซึ่งตรงกับวันหยุดอีสเตอร์ของทางนี้พอดี) ที่ผ่านมาผมก็ได้ไปเที่ยวลอนดอน ซึ่งธีมหลักของการไปเที่ยวในครั้งนี้ก็แน่นอนครับ ตามหาสถานที่จริงจาก K-ON! the Movie เมื่อสาว ๆ วงน้ำชาหลังเลิกเรียนมาเที่ยวลอนดอน แล้วก็เจอกับโชคชะตาเล่นตลกบางอย่าง... ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นผลงานกำกับภาพยนตร์อนิเมชันเรื่องแรกของผู้กำกับ Yamada Naoko ด้วย (คนเดียวกับที่กำกับเรื่องรักไร้เสียงนั่นแหละครับ)
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า
1. นี่เป็นครั้งแรกนะครับที่ผมเขียนอะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าสำนวนคำแปร่ง ๆ ไปบ้างก็ต้องขออภัยด้วย เพราะว่าผมนึกคำไม่ถูก ผมอ่านเองบางทีผมก็รู้สึกแปร่ง ๆ เองเลยครับ
2. ผมมาเรียนอยู่ในอังกฤษตั้งแต่ปีที่แล้วครับ เพราะฉะนั้นรายละเอียดการเดินทางก็อาจจะแตกต่างไปจากการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวปกติอยู่บ้าง
3. รูปที่ถ่ายอาจจะไม่ค่อยชัด+เหมือนฉากจริงเท่าไรนะครับ ผมใช้กล้องคอมแพ็กเก่า ๆ ถ่ายเอา ที่จริงถ้าใช้มือถือถ่ายน่าจะดีกว่านี้ แต่มานึกได้ช้าไปหน่อยครับ
4. อาจจะไม่ได้เรียงตามลำดับเนื้อหาในเรื่องนะครับ เน้นตามตำแหน่งของสถานที่เป็นหลัก
5. เวลาผ่านมา 5 ปีกว่าแล้ว หรืออาจจะ 6 ปีถ้านับตั้งแต่ทีมผู้กำกับและอนิเมเตอร์มาสำรวจสถานที่ ฉะนั้นสถานที่อาจจะเปลี่ยนไปบ้างนะครับ
ก่อนอื่นเรามาเริ่มกันที่ภาพรวมเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ ในเรื่องและการเดินทางกันก่อน สำหรับเรื่องการเดินทางนั้น ผมว่าหลาย ๆ คนที่เคยมาเที่ยวอังกฤษก็คงรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ก็จะขอบอกอีกสักครั้งนึงว่า บัตร Oyster Card ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ว่าได้ครับ ใช้ได้กับระบบขนส่งมวลชนเกือบทั้งหมดในลอนดอน แล้วก็ยังมีขีดจำกัดค่าใช้จ่ายสำหรับภายในแต่ละโซนอีกด้วย ซึ่งแปลว่าหลังจากนั้นก็เหมือนกับขึ้นฟรี แค่แตะบัตรเข้า-ออก (หรือแตะเข้าอย่างเดียวสำหรับรถเมล์) ให้ถูกต้องตามปกติเท่านั้นเอง ถือว่าสะดวกมาก ๆ ครับ
หลังจากผมสำรวจแล้วก็จัดกลุ่มสถานที่ต่าง ๆ ตามความใกล้-ไกลแล้วก็จะเป็นหน้าตาแบบนี้

แล้วก็มีอีกที่นึงที่ไม่ได้อยู่ในแผนที่ข้างบนแต่ห่างออกไปทางตะวันตก ก็คือท่าอากาศยานฮีทโธรว์นั่นเองครับ สถานที่ต่าง ๆ ในเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตโซน 1-2 ในแผนที่รถไฟใต้ดินของลอนดอน ซึ่งถือว่าเป็นโซนใจกลางเมือง ยกเว้นท่าอากาศยานที่อยู่โซน 6 ออกไปทางชานเมืองหน่อย
(ลิงก์แผนที่
https://www.google.co.uk/maps/@51.5072574,-0.3558744,11z/data=!3m1!4b1!4m2!6m1!1s1uH0zSS3buE6TMSQzvP6tGwkumU8 )
โซนแรกที่ผมจะพูดถึงก็คือกระจุกสีเหลืองมุมล่างซ้ายของแผนที่ครับ ซึ่งก็คือเขต Kensington & Chelsea ใกล้กับโรงแรมที่พวกยุยไปพักในเรื่อง และอาจจะมีบางจุดที่อยู่ในเขต Hammersmith & Fulham ที่อยู่ใกล้เคียงด้วย ซึ่งผมก็เอามารวมด้วยครับ
ผับ Famous 3 Kings (เปลี่ยนชื่อในเรื่องนิดหน่อย) ที่พวกยุยนั่งแท็กซี่ผ่านระหว่างไปโรงแรม ตั้งอยู่บนสี่แยกระหว่างถนน North End กับถนน West Cromwell



แล้วก็เดินตามถนน North End มา ก็จะเจอกับร้านขายพรมระหว่างทางจากสนามบินไปโรงแรมเช่นกัน ร้านซ่อมโทรศัพท์ข้าง ๆ เปลี่ยนเป็น community centre ไปแล้ว


ถ้าจะมาที่นี่แนะนำว่าลงที่สถานี West Kensington จะใกล้ที่สุดนะครับ ผมดูแผนที่ผิดไปลง Barons Court เลยต้องเดินเอา แต่ข้อดีปลอบใจของผมก็คือภาพนี้ครับ ตึกโค้งไปตามแนวถนน Talgarth เลย

(หมายเหตุ - ถนน Talgarth กับถนน West Cromwell เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงสาย A4 นะครับ ถ้างงก็นึกว่าคล้าย ๆ กับถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรามอินทรา ถนนสุวินทวงศ์ สามสายนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงหมายเลข 304 แต่คนละส่วนกันครับ)
จากตรงนี้ก็เลี้ยวไปตามถนน Lillie
ชื่อเหมาะกับเรื่องนี้ดีแฮะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม ibis Earl's Court ที่พักของสาว ๆ ในเรื่อง (มีธงชาติสิงคโปร์ด้วยแฮะ มีงานอะไรรึเปล่าเนี่ย)


สี่แยกใกล้โรงแรม (แยกเดียวกันกับร้านขายพรมเมื่อกี้แต่คนละมุมครับ)


ป้ายโฆษณานี่อายุกี่ปีแล้วเนี่ย

สถานี West Brompton ซึ่งสาว ๆ เดินผ่านระหว่างออกเที่ยวในวันที่สอง น่าเสียดายนิดหน่อยตรงที่ซุ้มประตูโค้งนี้โดนนั่งร้านบังครับ (ถ้าเดินในอังกฤษแล้วไม่เจอนั่งร้านเลยนี่ถือว่าแปลกนะครับ)


อันนี้ตัวสถานีแบบเต็ม ๆ

สถานี West Brompton และทางรถไฟจะแบ่งระหว่างถนน Lillie และถนน Old Brompton ครับ สองสายนี้ก็ต่อกันเป็นสายเดียวเหมือนกัน
จุดที่ยุยออกมาเดินเล่นตอนเช้าก็คือ Brompton Cemetary (ใช่ครับ สุสานเนี่ยแหละ) สุสานแห่งนี้ก็เปิดให้สาธารณชนเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจได้ด้วย (มีคนเข้ามาเดินเล่นจริง ๆ นะครับ)


ถนนเล็ก ๆ ที่เลี้ยวไปทางขวานั้นปิดเพื่อการก่อสร้างครับ



ถังขยะเขาย้ายเอาออกไปแล้วครับ ตอนนั้นหลงอยู่แถวนั้นเพราะหาถังขยะเนี่ยแหละ


จุดที่อาสึสะมาตามตัวยุย


มาดูข้างในสุสานกันบ้าง

ตอนอ่านป้ายนี้ครั้งแรกผมบอกไม่ถูกจริง ๆ ครับว่ารู้สึกยังไง

ออกจากสุสานแล้วก็เดินต่อไปตามถนน Old Brompton ครับ แล้วก็เจอกับ...


ร้าน The Troubadour ซึ่งที่จริงก็อยู่ใต้นาฬิกานั่นแหละครับ (แม้ว่าในภาพยนตร์จะอยู่คนละฉากก็ตาม)


หัวมุมถนน Old Brompton ตัดกับถนน Earls Court และถนน Redcliffe Gardens ครับ




จากนั้นก็เดินไปเรื่อย ๆ ครับ สถานที่ต่อไปก็คือย่าน World's End บนถนน King's ซึ่งเป็นที่ที่พวกยุยไปเที่ยวด้วยเช่นกัน
ร้าน Vivienne Westwood World's End ซึ่งมีจุดเด่นก็คือนาฬิกาเรือนยักษ์ที่เดินถอยหลัง ไม่สิ ใช้คำว่าวิ่งดีกว่า


หัวโค้งถนน King's ตรงข้ามกับร้านโทรศัพท์


ร้านแถว ๆ นี้ก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันครับ ไม่รู้ถูกร้านหรือเปล่า


พอมาถึงแถว ๆ นี้แล้วแดดก็สว่างขึ้นมา แต่ก็แค่สั้น ๆ เท่านั้นแหละครับ แล้วก็กลับมาครึ้มอีก (พูดตามตรง ผมชอบแบบครึ้ม ๆ มากกว่านะ)
ต่อไปก็เป็นสถานที่ปลีกย่อยที่ปรากฏระหว่างทางที่ยุยกับเพื่อน ๆ ไปเที่ยว แล้วก็ของแถมเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทางครับ
บ้านแถว ถนน Oakley


ตรงข้ามกับบ้านแถวที่เห็นนี้คือบ้านเดิมของนักเขียนชาวไอร์แลนด์นามว่า Jane Francesca Agnes, Lady Wilde เจ้าของนามปากกา Speranza ซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงบั้นปลายชีวิตครับ

ส่วนนี่คือที่ที่ Robert Falcon Scott นักสำรวจที่เดินทางไปสำรวจขั้วโลกใต้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เคยอาศัยอยู่ครับ ทั่วลอนดอนก็จะมีป้ายวงกลมสีน้ำเงินลักษณะนี้ที่ระบุไว้ว่าบุคคลสำคัญคนไหนเคยอาศัยอยู่

ปลายด้านใต้ของถนน Oakley นั้นจะเชื่อมต่อกับสะพาน Albert ซึ่งทอดข้ามแม่น้ำเทมส์ครับ

มองย้อนขึ้นไปทางต้นน้ำ จะเห็นสะพาน Battersea ใกล้ ๆ กัน (พยายามถ่ายให้ติดเครื่องบินด้วย ก็เลยเป็นแบบที่เห็นนั่นแหละครับ)

อีกจุดนึงที่สาว ๆ เดินผ่านในเรื่อง ก็คือบ้านหลังนี้ในซอย Upper Cheyne ซึ่งตอนนี้เป็นโรงเรียนสอนบัลเล่ต์ครับ


สารภาพนิดนึง บ้านหลังนี้ผมไปถ่ายมาวันสุดท้ายของทริปซึ่งเป็นวันเก็บตกครับ เพราะผมหาบ้านหลังนี้ไม่เจอในวันแรกที่ผมไป
ยังมีสถานที่อีกมากเลยนะครับ แต่ตอนนี้คงต้องขอพักก่อน
[รูปเยอะ+สปอยล์] ตามหาสถานที่จริงจาก K-ON! the Movie ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า
1. นี่เป็นครั้งแรกนะครับที่ผมเขียนอะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าสำนวนคำแปร่ง ๆ ไปบ้างก็ต้องขออภัยด้วย เพราะว่าผมนึกคำไม่ถูก ผมอ่านเองบางทีผมก็รู้สึกแปร่ง ๆ เองเลยครับ
2. ผมมาเรียนอยู่ในอังกฤษตั้งแต่ปีที่แล้วครับ เพราะฉะนั้นรายละเอียดการเดินทางก็อาจจะแตกต่างไปจากการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวปกติอยู่บ้าง
3. รูปที่ถ่ายอาจจะไม่ค่อยชัด+เหมือนฉากจริงเท่าไรนะครับ ผมใช้กล้องคอมแพ็กเก่า ๆ ถ่ายเอา ที่จริงถ้าใช้มือถือถ่ายน่าจะดีกว่านี้ แต่มานึกได้ช้าไปหน่อยครับ
4. อาจจะไม่ได้เรียงตามลำดับเนื้อหาในเรื่องนะครับ เน้นตามตำแหน่งของสถานที่เป็นหลัก
5. เวลาผ่านมา 5 ปีกว่าแล้ว หรืออาจจะ 6 ปีถ้านับตั้งแต่ทีมผู้กำกับและอนิเมเตอร์มาสำรวจสถานที่ ฉะนั้นสถานที่อาจจะเปลี่ยนไปบ้างนะครับ
ก่อนอื่นเรามาเริ่มกันที่ภาพรวมเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ ในเรื่องและการเดินทางกันก่อน สำหรับเรื่องการเดินทางนั้น ผมว่าหลาย ๆ คนที่เคยมาเที่ยวอังกฤษก็คงรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ก็จะขอบอกอีกสักครั้งนึงว่า บัตร Oyster Card ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ว่าได้ครับ ใช้ได้กับระบบขนส่งมวลชนเกือบทั้งหมดในลอนดอน แล้วก็ยังมีขีดจำกัดค่าใช้จ่ายสำหรับภายในแต่ละโซนอีกด้วย ซึ่งแปลว่าหลังจากนั้นก็เหมือนกับขึ้นฟรี แค่แตะบัตรเข้า-ออก (หรือแตะเข้าอย่างเดียวสำหรับรถเมล์) ให้ถูกต้องตามปกติเท่านั้นเอง ถือว่าสะดวกมาก ๆ ครับ
หลังจากผมสำรวจแล้วก็จัดกลุ่มสถานที่ต่าง ๆ ตามความใกล้-ไกลแล้วก็จะเป็นหน้าตาแบบนี้
(ลิงก์แผนที่ https://www.google.co.uk/maps/@51.5072574,-0.3558744,11z/data=!3m1!4b1!4m2!6m1!1s1uH0zSS3buE6TMSQzvP6tGwkumU8 )
โซนแรกที่ผมจะพูดถึงก็คือกระจุกสีเหลืองมุมล่างซ้ายของแผนที่ครับ ซึ่งก็คือเขต Kensington & Chelsea ใกล้กับโรงแรมที่พวกยุยไปพักในเรื่อง และอาจจะมีบางจุดที่อยู่ในเขต Hammersmith & Fulham ที่อยู่ใกล้เคียงด้วย ซึ่งผมก็เอามารวมด้วยครับ
ผับ Famous 3 Kings (เปลี่ยนชื่อในเรื่องนิดหน่อย) ที่พวกยุยนั่งแท็กซี่ผ่านระหว่างไปโรงแรม ตั้งอยู่บนสี่แยกระหว่างถนน North End กับถนน West Cromwell
แล้วก็เดินตามถนน North End มา ก็จะเจอกับร้านขายพรมระหว่างทางจากสนามบินไปโรงแรมเช่นกัน ร้านซ่อมโทรศัพท์ข้าง ๆ เปลี่ยนเป็น community centre ไปแล้ว
ถ้าจะมาที่นี่แนะนำว่าลงที่สถานี West Kensington จะใกล้ที่สุดนะครับ ผมดูแผนที่ผิดไปลง Barons Court เลยต้องเดินเอา แต่ข้อดีปลอบใจของผมก็คือภาพนี้ครับ ตึกโค้งไปตามแนวถนน Talgarth เลย
จากตรงนี้ก็เลี้ยวไปตามถนน Lillie
ชื่อเหมาะกับเรื่องนี้ดีแฮะซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม ibis Earl's Court ที่พักของสาว ๆ ในเรื่อง (มีธงชาติสิงคโปร์ด้วยแฮะ มีงานอะไรรึเปล่าเนี่ย)สี่แยกใกล้โรงแรม (แยกเดียวกันกับร้านขายพรมเมื่อกี้แต่คนละมุมครับ)
ป้ายโฆษณานี่อายุกี่ปีแล้วเนี่ย
สถานี West Brompton ซึ่งสาว ๆ เดินผ่านระหว่างออกเที่ยวในวันที่สอง น่าเสียดายนิดหน่อยตรงที่ซุ้มประตูโค้งนี้โดนนั่งร้านบังครับ (ถ้าเดินในอังกฤษแล้วไม่เจอนั่งร้านเลยนี่ถือว่าแปลกนะครับ)
สถานี West Brompton และทางรถไฟจะแบ่งระหว่างถนน Lillie และถนน Old Brompton ครับ สองสายนี้ก็ต่อกันเป็นสายเดียวเหมือนกัน
จุดที่ยุยออกมาเดินเล่นตอนเช้าก็คือ Brompton Cemetary (ใช่ครับ สุสานเนี่ยแหละ) สุสานแห่งนี้ก็เปิดให้สาธารณชนเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจได้ด้วย (มีคนเข้ามาเดินเล่นจริง ๆ นะครับ)
จุดที่อาสึสะมาตามตัวยุย
มาดูข้างในสุสานกันบ้าง
ออกจากสุสานแล้วก็เดินต่อไปตามถนน Old Brompton ครับ แล้วก็เจอกับ...
ร้าน The Troubadour ซึ่งที่จริงก็อยู่ใต้นาฬิกานั่นแหละครับ (แม้ว่าในภาพยนตร์จะอยู่คนละฉากก็ตาม)
หัวมุมถนน Old Brompton ตัดกับถนน Earls Court และถนน Redcliffe Gardens ครับ
จากนั้นก็เดินไปเรื่อย ๆ ครับ สถานที่ต่อไปก็คือย่าน World's End บนถนน King's ซึ่งเป็นที่ที่พวกยุยไปเที่ยวด้วยเช่นกัน
ร้าน Vivienne Westwood World's End ซึ่งมีจุดเด่นก็คือนาฬิกาเรือนยักษ์ที่เดินถอยหลัง ไม่สิ ใช้คำว่าวิ่งดีกว่า
หัวโค้งถนน King's ตรงข้ามกับร้านโทรศัพท์
พอมาถึงแถว ๆ นี้แล้วแดดก็สว่างขึ้นมา แต่ก็แค่สั้น ๆ เท่านั้นแหละครับ แล้วก็กลับมาครึ้มอีก (พูดตามตรง ผมชอบแบบครึ้ม ๆ มากกว่านะ)
ต่อไปก็เป็นสถานที่ปลีกย่อยที่ปรากฏระหว่างทางที่ยุยกับเพื่อน ๆ ไปเที่ยว แล้วก็ของแถมเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทางครับ
บ้านแถว ถนน Oakley
ตรงข้ามกับบ้านแถวที่เห็นนี้คือบ้านเดิมของนักเขียนชาวไอร์แลนด์นามว่า Jane Francesca Agnes, Lady Wilde เจ้าของนามปากกา Speranza ซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงบั้นปลายชีวิตครับ
ส่วนนี่คือที่ที่ Robert Falcon Scott นักสำรวจที่เดินทางไปสำรวจขั้วโลกใต้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เคยอาศัยอยู่ครับ ทั่วลอนดอนก็จะมีป้ายวงกลมสีน้ำเงินลักษณะนี้ที่ระบุไว้ว่าบุคคลสำคัญคนไหนเคยอาศัยอยู่
ปลายด้านใต้ของถนน Oakley นั้นจะเชื่อมต่อกับสะพาน Albert ซึ่งทอดข้ามแม่น้ำเทมส์ครับ
มองย้อนขึ้นไปทางต้นน้ำ จะเห็นสะพาน Battersea ใกล้ ๆ กัน (พยายามถ่ายให้ติดเครื่องบินด้วย ก็เลยเป็นแบบที่เห็นนั่นแหละครับ)
อีกจุดนึงที่สาว ๆ เดินผ่านในเรื่อง ก็คือบ้านหลังนี้ในซอย Upper Cheyne ซึ่งตอนนี้เป็นโรงเรียนสอนบัลเล่ต์ครับ
ยังมีสถานที่อีกมากเลยนะครับ แต่ตอนนี้คงต้องขอพักก่อน