ห้องเพลง*คนรากหญ้า* พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 28/04/2017 กำเนิดมงคลสูตรกับบรรยายข้อ1

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับ เพื่อนสมาชิกห้องเพลงคนรากหญ้าทั้งหลาย อมยิ้ม17

     วันนี้ ผม MC WANG JIE (หวางเจ๋) หรือ MC แอ๊ด ขอทำหน้าที่ตรงนี้ เป็นวันที่สอง หลังจากเปิดตัววันแรกไปแล้วเมื่อสามวันที่ผ่านมา และสิ่งที่จะขอนำเสนอในวันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ข้อธรรม ซึ่ง MC จะเขียนออกมาจากความทรงจำล้วนๆ ที่เคยเล่าเรียนมาจากวัดเมื่อครั้งเคยบวชเรียน (เคยบวชเรียนบาลีจนเป็นมหาเปรียญ 7 ประโยคแล้วจึงลาสิกขา)

     เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ ว่าด้วย "มงคลชีวิต" ซึ่งมี 38 ข้อ โดยจะขอกล่าวบรรยายข้อที่ 1 คือ อเสวนา จ พาลานํ = การไม่คบคนพาล เป็นมงคลสูงสุด แต่ก่อนจะบรรยายมงคลข้อแรกนี้ จะขอเล่าเรื่อง กำเนิด ที่มาของ มงคลสูตร เสียก่อนนะครับ...

     เรื่องกำเนิดมงคล 38 ข้อนี้ เกิดขึ้นเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล....

     มีเรื่องเล่าว่า สมัยนั้น ในกรุงสาวัตถี ชนทั้งหลาย มักจะชุมนุมกันในธรรมสภา และพูดคุยกันด้วยเรื่องราวต่างๆ เช่นนิทาน หรือเรื่องเล่าต่างๆ เช่น มหาภารตะ เรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น อันเป็นปกติของพวกเขาที่จะมาพูดคุยกันในธรรมสภาที่ว่านี้ (คงจะคล้ายๆสภากาแฟในบ้านเรากระมัง แต่สถานที่จะใหญ่โตกว่าเพราะใช้คำว่า "สภา")

     วันหนึ่ง เกิดหัวข้อถกเถียงกันว่า ในโลกนี้ อะไร ชื่อว่าเป็นมงคล ?

      ชายคนหนึ่งชื่อ ทิฏฐะมังคะลิกะ (แปลว่า ผู้ถือว่าสิ่งที่ได้เห็นเป็นมงคล) กล่าวก่อนว่า สิ่งที่เราได้เห็น เป็นมงคล เช่นรูปช้างบ้างม้าบ้าง หรืออื่นใดที่ได้เห็น นั่นแหละ เป็นมงคล, เขาถูกคัดค้าน โดยชายอีกคนหนึ่งคือ สุตะมังคลิกะ (แปลว่า ผู้ถือว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นมงคล) ซึ่งกล่าวว่า ถ้าทุกสิ่งที่เราได้เห็นเป็นมงคล อะไรที่ไม่น่าดูน่าชม ก็นับว่าเป็นมงคลไปหมดละสิ! ไม่ใช่หรอก เสียงที่เราได้ยินต่างหากที่เป็นมงคล เช่นเสียงช้างบ้างม้าบ้าง หรือเสียงอื่นใดที่เราได้ยิน นั่นแหละเป็นมงคล จากนั้นก็มีชายอีกคนหนึ่งชื่อ มุตตะมังคลิกะ (แปลว่า ผู้ถือว่าสิ่งที่ได้ทราบแล้วเป็นมงคล) มาคัดค้านอีกว่า ไม่จริงมั้ง ถ้าเป็นอย่างนั้น เสียงทุกอย่างที่เราได้ยิน ที่ไม่น่าฟัง เช่นเสียงด่าทอกันเป็นต้น ก็เป็นมงคลไปหมดเลยสิ ไม่ใช่หรอก อารมณ์ที่ทราบแล้วต่างหาก เป็นมงคล สิ่งใด ที่สัมผัสได้ด้วยโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ นั่นแหละเป็นมงคล ดังนี้

     ทั้งสามคนนั้น และคนอื่นๆ พากันถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง เป็นเวลานานนับเดือนๆ ก็หาข้อสรุปไม่ได้ แล้วเรื่องมงคลนี้ เหล่าเทวดาทั้งหลายก็ได้ยิน และนำไปถกเถียงกันอีก ปรากฏว่า แม้เหล่าเทวดา ก็สรุปไม่ได้ เทวดาชั้นต้นๆ ตั้งแต่ชั้น ภุมมะ (พวกนี้อยู่ตามภาคพื้นดิน เช่นรุกขเทวดา) ขึ้นไป พากันไปเฝ้าท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 เหล่าท้าวจาตุมหาราชก็ตอบไม่ได้ ทั้งหมดจึงพากันไปเฝ้าท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์), ท้าวสักกะ ก็ทรงมึนตึ้บ ตอบไม่ได้เหมือนกัน สุดท้าย ท้าวสักกะ  จึงพาเทวดาทั้งหลายเหาะไปเฝ้าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ พระเชตวันมหาวิหารในยามราตรี เพื่อจะทูลถามปัญหา

(ภาพแสดงเหตุการณ์ที่เหล่าเทวดาเข้าเฝ้าทูลถามปัญหามงคลกับพระพุทธเจ้าและพระพุทธองค์ทรงแสดงมงคลสูตร)

(ขอบคุณข้อมูลภาพประกอบจาก กูเกิ้ลภาพ ครับ)


     ด้วยรัศมีแห่งเหล่าเทวดา ทำให้พระเชตวันสว่างไสวไปทั่ว ราวกับเวลากลางวัน และครั้นพระพุทธองค์ทรงทราบปัญหาแล้ว จึงทรงประทานวิสัชนาแก้ว่า มงคลนั้นมี 38 ประการ มีการไม่คบคนพาล เป็นประการแรก และทรงแสดงไปจนถึงมงคลข้อสุดท้าย หลังจากนั้น เหล่าเทวดา ก็พากันกราบถวายบังคมทูลลา แล้วกลับสู่สวรรค์ที่เป็นชั้นของแต่ละองค์ตามเดิม.......นี่คือ ที่มา หรือการกำเนิด มงคลสูตร

     ต่อไปนี้ จะได้บรรยายถึงมงคลข้อที่ 1 อเสวนา จ พาลานํ การไม่คบคนพาล เป็นมงคลสูงสุด (แก่ชีวิต)

     คำว่า "พาล" ในภาษาไทย อาจหมายถึง คนไม่ดี,คนเกเร หรือแม้กระทั่ง คนชั่ว...

     แต่ในภาษาบาลี คำว่า "พาล" แปลว่า "โง่,โง่เขลา"

     คนโง่ ตรงกันข้ามกับ "ปณฺฑิต" ซึ่งแปลว่า "คนฉลาด" ดังนั้น คนโง่ จึงทำสิ่งที่ไม่สมควร สิ่งที่ผิด และพาให้คนที่คบค้าสมาคมกับตน ทำสิ่งที่ไม่ควรหรือสิ่งที่ผิดไปด้วย จึงมีคำที่โบราณท่านสอนไว้ว่า "คบคนพาล พาลพาไปหาผิด" ในคัมภีร์ มังคลัตถะทีปนี ท่านให้อุทาหรณ์ (ตัวอย่าง) ของการคบคนพาลไว้หลายเรื่อง ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง.....

     พระราชาองค์หนึ่ง รับสั่งให้คนเฝ้าพระราชอุทยานซึ่งปลูกต้นมะม่วงไว้เป็นอันมาก ดูแลรักษาให้ดี เขาก็ทำตามพระบัญชาทุกประการ รดน้ำที่ผสมปุ๋ยอย่างดีให้ต้นมะม่วงเหล่านั้นเสมอๆ เมื่อถึงฤดูเผล็ดผล ผลมะม่วงก็มีรสหอมหวานอร่อย พระราชาก็ทรงพอพระทัยเป็นอันมาก

     อยู่มาวันหนึ่ง มีพระราชาอีกองค์หนึ่งจากต่างเมืองเสด็จมาเยือน พระราชาผู้เป็นเจ้าถิ่นก็ทรงโปรดให้ถวายการต้อนรับอย่างดี และได้ถวายผลมะม่วงแด่พระราชาผู้เป็นอาคันตุกะทรงเสวย พระองค์พอพระทัยมาก จึงตรัสขอพันธ์มะม่วงไปปลูกที่เมิองของพระองค์บ้าง แต่พระราชาเจ้าถิ่นทรงหวง จึงทรงปฏิเสธไม่ถวายให้

     พระราชาอาคันตุกะทรงผิดหวัง และไม่ทรงพอพระทัย ก็เสด็จกลับไปยังพระนครของพระองค์ด้วยความขุ่นเคือง ทรงมีพระประสงค์จะล้างแค้นด้วยการกลั่นแกล้งพระราชาที่พระองค์ได้เสด็จไปเยือนนั้น จึงรับสั่งผู้รับใช้คนหนึ่งว่า "เจ้าจงไปยังเมืองนั้น ตีสนิทเป็นสหายกับคนเฝ้าสวนมะม่วงในพระราชอุทยาน หลังจากนั้นจงลอบผสมสมุนไพรซึ่งทำเป็นยาขมและฝาด ใส่ลงไปในปุ๋ยของคนเฝ้าสวนนั้น มันจะได้เอาไปรดต้นมะม่วง ต้นมะม่วงทั้งหลายก็จักมีรสขมขื่นและฝาด ไม่หอมหวานอีกต่อไป"

     ผู้รับใช้คนนั้นรับพระบัญชาแล้วก็เดินทางไปยังเมืองนั้นทันที และทำตามพระบัญชาทุกประการ จากนั้นก็หลบหนีออกจากพระนครไป

     ดังนั้น ปุ๋ยของคนเฝ้าพระอุทยานที่จะเอาไปรดต้นมะม่วงก็ถูกผสมด้วยยาขมและยาฝาด คนเฝ้าพระอุทยานก็ไม่รู้ นำปุ๋ยไปรดต้นมะม่วงในพระอุทยานทุกวันๆ จนกระทั่งถึงคราวเผล็ดผล คนเฝ้าอุทยานได้นำผลมะม่วงที่สุกได้ที่แล้วไปถวายแด่พระราชา

     พระองค์ทรงหยิบมาชิ้นหนึ่งเสวย พอทรงใส่เข้าพระโอษฐ์และทรงเคี้ยวเพียงสองสามครั้งเท่านั้นก็ทรงได้ลิ้มรสความขมขื่นอย่างร้ายกาจแถมยังเฝื่อนฝาดอีกต่างหาก ก็เลยทรงขากถ่มลงพระกระโถนเสีย (ถ้าใช้ราชาศัพท์ผิดขออภัยนะครับ) แล้วทรงดื่มน้ำ ตรัสสอบถามว่า "ทำไมมะม่วงที่เคยหอมหวานอร่อยมาตลอด จึงกลายเป็นขมฝาดอย่างนี้ ? "

     จึงมีการสอบสวนเรื่องราว จนในที่สุด ปุโรหิตผู้มีความรู้เรื่องพืชพันธ์ก็กราบทูลว่า "ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้าฯ เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะต้นมะม่วงทั้งหลาย รับเอาปุ๋ยซึ่งถูกผสมน้ำยาสมุนไพรรสขมและรสฝาด รสชาดจึงเปลี่ยนไปพระเจ้าข้า ขอพระองค์ให้คนเฝ้าพระอุทยานนำปุ๋ยอย่างดีไปรดให้ต้นมะม่วงทั้งหลาย ไม่นานมันก็จะได้อาหารดีๆไปหล่อเลี้ยง เมื่อเผล็ดผลก็จะมีรสอร่อยหอมหวานตามเดิม"

     พระราชาทรงรับสั่งให้ทำตามนั้น และเมื่อถึงฤดูกาลในปีถัดไป ต้นมะม่วงเหล่านั้น ก็เผล็ดผลให้ผลมะม่วงรสอร่อยหอมหวานตามเดิมจริงๆ

     เรื่องนี้ โบราณจารย์ ท่านเปรียบคนที่คบคนพาลว่า เป็นดุจต้นมะม่วงที่ได้ปุ๋ยซึ่งผสมด้วยของขมของฝาดนั้น กลายเป็นต้นไม้มีพิษ เมื่อเผล็ดผล ผลของมันจึงมีพิษตามไปด้วย ฉันใด ชนในโลก คบคนพาลแล้ว ย่อมเป็นคนพาลตามไปด้วยได้เหมือนกัน ฉันนั้นแล, (เรื่อง "ผลไม้ที่เป็นพิษ" นี้ ใครคนหนึ่งซึ่งได้ไปอยู่แดนไกล เคยกล่าวถึงมาแล้ว แสดงว่าเคยทราบเรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน)

     ดังนั้น การคบคนพาล จึงนำมาซึ่งความเสียหาย ดังที่ได้เล่ามานี้ ฉะนี้แล

     อนึ่ง ในภาษาไทยเรา นอกจากมีคำว่า "พาล" แล้ว ยังมีคำคล้ายๆกันอีก คือ คำว่า "อันธพาล" คงไม่ต้องแปลความหมายภาษาไทย ทุกคนรู้และเข้าใจกันทั้งนั้น แต่จะบอกความหมายในภาษาบาลีว่า คำว่า "อันธพาล" นั้น โดยหลักไวยากรณ์ เป๋็นคำสมาส จากคำสองคำ คือ "อนฺธ" กับ "พาล"

     "อนฺธ" แปลว่า "มืด,บอด" เมื่อเข้าสมาสรวมกับ "พาล" เป็น "อนฺธพาล" จะแปลได้ 2 อย่าง คือ (1) คนโง่ดุจดังคนบอด (2) คนที่ ทั้งบอด ทั้งโง่

    แค่ "พาล" คำเดียว ก็ว่าแย่แล้วครับ ถ้าเป็น "อันธพาล" ละก็ ย่ำแย่หนักกว่าอีกหลายเท่าทีเดียว

     เพราะฉะนั้น เจอคน "พาล" หรือ "อันธพาล" อย่าพึงคบหาเลย หลีกเสียให้ไกล...

     เพราะว่า อเสวนา จ พาลานํ .... การไม่คบคนพาล เป็นมงคลสูงสุด ครับ

ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ หากผิดพลาดตรงไหนประการใด ขออภัยด้วยนะครับ

ณ บัดนี้ ขอเชิญทุกท่าน เข้าสู่บรรยากาศแลกเปลี่ยนเสียงเพลง และสาระอื่น หรือพูดคุยกันตามอัธยาศัย ครับผม สวัสดีครับ


ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น..
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 20
เพลง กำแพงบุญ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
https://www.youtube.com/watch?v=p1Prh-8scTw&list=PLOIoOq_h3A2ta8weSqulkP5MRm_CSaF7M
เพลงประกอบละคร "กำแพงบุญ" ทางช่อง 7 เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ชฏาพร รัตนากร เป็นนางเอก

เปิดหัวกระทู้ด้วยมงคลสูตร  พี่สาวขอต่อด้วย "กำแพงบุญ"  นะคะอมยิ้ม04

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่