[CR] Paiglublaosmai - " ไปกลับลาวไหม ไปกับเราเจ็ดคน"



13.30 ของวันศุกร์ในสัปดาห์หนึ่ง
“low price high experience”
และนี่คือหัวข้อที่เราทั้ง 7 คนได้รับในครั้งนี้


ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวพวกเราทั้ง 7 คน
เป็นนักศึกษาที่เริ่มเป็นไม้ใกล้ฝั่ง(เพราะใกล้เรียนจบ)
6 คนเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี
และอีก 1 นักศึกษาชั้นปีที่สี่คณะวิศวกรรมศาสตร์
ของมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านประชาอุทิศที่รถโคตรติดตั้งแต่หกโมงเช้า
สาเหตุที่เกิดการรวมตัวของเราทั้ง 7 คนได้
ก็เพราะการลงทะเบียนรายวิชา Gen441 Culture And Excursion
ชื่อในวงการของนักศึกษาก็เจนท่องเที่ยวนี่ล่ะ
ถ้าใครเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยนี้ขอแนะนำว่า
ถ้าไม่อยากแค่มีประสบการณ์ผ่านชีทอยากให้ลงจริงๆ
มันได้อะไรมากกว่าที่คิด เยอะ!
.
.
.

“อยากไปต่างประเทศ”
เป็นสิ่งที่ทุกคนคิดตรงกัน
“ไปลาวกันเถอะ”

_____________________________________________________________


1 Day : เริ่มเดินทาง

เรามาถึงชาญทัวร์เวลาประมาณ 19.30น. แต่รถออกตอน สี่ทุ่ม!
ด้วยความที่เรากลัวรถติดเลยนั่งรถมาถึงเร็ว เร็วมาก และเร็วที่สุด
พวกเราจึงตัดสินใจไปหาอะไรกินกันข้างชาญทัวร์ เป็นเพิงเล็กๆ ราคาทั่วไป
สั่งกระเพราหมูได้กระเพราไก่ (สั่งอาหารทีไรลุ้นทุกที)  




จากนั้นก็รอจนถึงเวลาเกือบสี่ทุ่ม
มีพี่สาวพนักงานชาญทัวร์เรียกลูกค้าเพื่อขึ้นรถ

“กรุงเทพ – อุดรธานี รอบสี่ทุ่มขึ้นรถได้แล้วค่า!!!!! ตกรถไม่วนมารับนะคะ!!!!!!!”

ด้วยน้ำเสียงสุดปรี๊ดของเจ๊พนักงาน (เปลี่ยนสรรพนามให้พี่เขาเฉย)
ทำให้เรารู้ตัวว่าต้องเตรียมพร้อมขึ้นรถแล้วล่ะ




สำหรับภายในรถทัวร์ พวกเราตื่นเต้นกับหน้าจอมอนิเตอร์
ไม่นึกเลยว่ารถทัวร์ราคา 454 บาท
จะมีอะไรแบบนี้ด้วยเคยเห็นแต่บนเครื่องบิน  
ภายในหน้าจอก็จะมีสิ่งเพลิดเพลินไม่น่าเบื่อ
ตลอดระยะเวลาการเดินทาง 9  ชั่วโมง
มีทั้งหนังเสียงพากย์อังกฤษไม่มีซับไทย
(แน่นอนว่าการฟังไม่ได้ศัพท์ ทำให้เราอยากหลับตลอดเรื่อง)
มีเกมจำพวกแนว Angry Bird ซึ่งสามารถฆ่าเวลาได้เป็นอย่างดี
และยังมีเพลงแนว ASEAN ให้ฟังอีกด้วย


ว่าแล้วด้วยความอยากรู้อยากลอง เลยเลือกกดฟังเพลงไป
เรียกได้ว่ามีแต่เพลงที่ไม่รู้จักทั้งนั้น ปกติเราก็ฟังแต่แนว
อัสนี-วสันต์ แมวจิรศักดิ์ซะด้วย
อุ้ยๆๆ เพลงนี้รู้จัก Gee – Girl generetion ฟังดีกว่าไม่ได้ฟังนานแล้ว
เท่านั้นล่ะ…เพลง Gee เหมือนตัวเพิ่ม Volume ชั้นดี
ดังประมาณนั่งถัดไปอีกห้าเบาะก็ยังได้ยิน
โอ้โห เขินเลยจ้า รีบปิดเพลงด่วน เอาขนมที่ทางชาญทัวร์แจกมากินแก้เขิน
ถึงอุดรเร็วๆเถอะ กราบบบบบบบ



2 DAY : เวียงจันทน์ฉันมาแล้ว

8 โมงแล้วก็มีเรื่องให้ตกใจตั้งแต่ลืมตา
เมื่อรู้ว่ารถที่เรานั่ง”เลย”จากจุดนัดพบ เอาละจุ้ย
เรารีบบอกให้พี่คนขับจอดตรงมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี
จากตอนที่นัดแถวหน้ากองบินอุดรเลยเปลี่ยนจุดมาหน้ามหาลัย


และแล้วพี่อนันตชัย กับรถตู้คู่ใจก็มารับพวกเราถึงที่
พี่อนันตชัยบอกว่าก่อนไปเวียงจันทน์จะพาเราไปทานอาหารเช้า
ที่เป็น Signature ของจังหวัดอุดร
ที่ ร้านข้าวเปียกอุดร ซึ่งตั้งอยู่ถนนศรีสุข ซอย 1





หลังจากอิ่มท้องแล้ว เป้าหมายแรกของเราเลยคือ

เวียงจันทน์ !!!!!

ก่อนเราจะไปถึงเวียงจันทน์ได้ ก็ต้องผ่านตม.ของประเทศลาวก่อน
ซึ่งครั้งนี้เราก็ไปด่านตรงจ.หนองคาย การเตรียมตัวแค่ Passport 1 เล่ม
และใบตรวจคนเข้าเมืองทั้งขาเข้าและขาออก จากนั้นก็มุ่งสู่
เวียงจันทน์กันเล้ยยยยยยยยยย


ถึงแล้วเวียงจันทน์ พอมาถึงที่นี่เราก็เกิดความสงสัยว่า

เอ๋? สีของทะเบียนรถบางคันก็พื้นขาว-ตัวดำบางคันก็พื้นเหลืองตัวดำ

เราก็เลยถามพี่นัทคนขับรถตู้ฝั่งลาว พี่นัทบอกว่า
สำหรับเลขทะเบียนรถที่พื้นเหลืองคือรถที่ไม่ติดไฟแนนซ์เป็นเจ้าของเอง
ส่วนพื้นขาวติดไฟแนนซ์ยังผ่อนไม่หมด
แค่ก้าวแรกที่มาเราก็รู้สึกถึงวัฒนธรรมที่แปลกใหม่แล้ว
แม้จะเป็นเรื่องแค่เพียงเล็กน้อยก็ตาม
.............................................................................................................................

และสถานที่ที่แรกที่เรามาก็คือ วัดศรีสะเกษ
ก้าวแรกที่ลงจากรถตู้คือโคตรร้อนเหมือนไก่ย่างถูกเผา
แต่ความเป็นไก่ย่างถูกเผาก็กลายเป็น
ไก่แช่แข็งเพราะขนลุกกับความงดงามของวัด


แม้จะเป็นวัดแรกที่สร้างขึ้นในนครเวียงจันทน์
แต่การทำนุบำรุงนั้นดีเยี่ยมเพราะกฎของวัดทุกที่ในลาวนั้นเข้มงวดมาก
เช่น ห้ามถ่ายรูปในโบสถ์ เนื่องจากในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก
อาจทำให้แสงแฟลชไปกระทบกับพระพุทธรูป
และเกิดความเสียหายได้(อันนี้คือความคาดการณ์เอง)
และจากที่อ่านแผ่นป้ายของทางวัดแล้วทำให้รู้ว่า
แต่ก่อนวัดศรีสะเกษเคยชื่อว่าวัดแสน
เพราะเคยมีพระพุทธรูปประดิษฐานถึงหนึ่งแสนองค์
แต่ปัจจุบันเหลือประมาณหนึ่งหมื่นกว่าองค์
แต่ก็ยังเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปเยอะที่สุดในนครเวียงจันทร์


เสร็จจากการรับชมและสักการะที่วัดศรีสะเกษแล้ว
ตรงข้ามวัดศรีสะเกษเราก็จะพบกับ วัดพระแก้ว
เคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาวเพื่อใช้ประดิษฐานพระแก้วมรกต
ที่ได้อัญเชิญมาจากนครเชียงใหม่
แต่ปัจจุบันพระแก้วมรกตก็ได้มาประดิษฐานในวัดพระศรีรัตนศาสดารามแทน




แต่จากการสังเกตหลายๆวัดในประเทศลาว
จะพบว่ามีหัวพญานาคเป็นองค์ประกอบภายในวัด
ตามความคาดเดาแล้วอาจเป็นเพราะตามตำนาน
ที่เขาเล่ากันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของลาว
ทำให้ลาวมีความเชื่อในเรื่องของพญานาคและมีความเคารพนับถือ
เพราะถือว่าพญานาคนั้นเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์
และประเทศไทยเองก็ได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน
ตามแถบจังหวัดที่ติดกับชายแดนประเทศลาว



จากวัดพระแก้วเมื่อเดินมาอีกหน่อยเราก็จะพบกับ หอคำ
ซึ่งไม่สามารถเข้าชมได้แต่จากการสังเกตสถาปัตยกรรมจะเป็นรูปแบบฝรั่งเศสมาก
และปัจจุบันใช้เป็นที่รับรองอาคันตุกะต่างประเทศ
ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชม
แม้แต่รูปก็ยังถ่ายไม่ได้แต่นับว่าหอคำเป็นอีกที่ที่หนึ่งที่สวยงามมากจริงๆ


ภายในทริปของเราครึ่งวันนับว่าเต็มไปด้วยบุญโดยทั้งสิ้น
เหมือนรู้ว่าตอนเย็นและเกือบตลอดทริปจะมีการทำบาปเกิดขึ้น
ตอนนี้ก็เกือบบ่ายแล้วตามกำหนดการพวกเราจะไปฝากท้อง
ที่ร้านฝรั่งเศสชื่อ Le Banneton ซึ่งเป็นร้านที่แนะนำมากๆของนครเวียงจันทน์
และนี่ก็คือหน้าตาของร้านและอาหารที่พวกเราสั่งไป



ถัดมาอีกกลุ่มมาลองชิมอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ข้างๆกัน ชื่อว่าร้าน Osaka
เหตุที่เราต้องแยกกันกินทั้งสองกลุ่มก็เพราะว่า
มีเพื่อนร่วมทริปไม่สามารถทานอาหารที่มีไขมันได้
เลยเกิดมื้อประหลาดคือ “กินอาหารญี่ปุ่นในประเทศลาว”
ซึ่งได้รับการการันตีมาแล้วว่าแค่หนึ่งชุด
ราคาสองร้อยบาทก็คุ้มโคตรคุ้มเลยทีเดียว




กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เมื่อกองทัพพร้อมแล้วก็ต้องลุยกันต่อ !
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่