กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก สมัครเป็นสมาชิกเพื่อที่จะได้ตั้งกระทู้นี้ เนื่องจากไม่อาจถามลงบนเฟสบุ๊คส่วนตัวได้ เป็นเรื่องครอบครัวที่ไม่ดีเท่าไหร่
เริ่มเลยนะคะ...
ชีวิตเราเกิดมาพ่อแม่หย่ากันตั้งแต่เราเด็ก ส่งเราไปอยู่กับย่าในความดูแลของพ่อ แต่พ่อกับแม่อยู่กทม.ทั้งคู่นะคะ ตอนนั้นแม่มาเยี่ยมปีละครั้ง ส่งเงินให้ตอนเรียนมัธยมแค่เดือนละ 1,000 บาท จนเราโตเข้ามหาลัยก็ทะเลาะกับพ่อเพราะพ่อเปิดบริษัทรับเหมา ต้องการให้เราเรียนวิศวะ หรือบัญชี ซึ่งเราไม่ชอบ ขู่ว่าถ้าไม่เรียนอย่างที่อยากให้เรียน พ่อไม่มีเงินส่ง
แม่จึงบอกให้ออกมาอยู่กับแม่ แม่จะดูแลเอง เราเลยย้ายมาอยู่ในความดูแลของแม่ แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ เพราะเราเลือกเข้ามาลัยแห่งนึงในภาคเหนือ แม่ก็ส่งเสีย ให้กู้กยศ.และกดดันให้เราไปขอเงินพ่อเรื่อยๆ ตอนนั้นเครียดมาก ความรู้สึกเหมือนเราเป็นภาระพ่อแม่ ไม่มีใครอยากส่งเสีย โยนกันไปมาอาศัยเราเป็นตัวกลางที่ต้องคอยบากหน้าไปขอเงิน
พอเรียนจบป.ตรี ก็อยากเรียนป.โท ตอนแรกขอแม่ก็ไม่ยอม อยากให้ทำงานหาเงินได้แล้ว ก็เกลี้ยกล่อมอยู่นาน เพราะอาจารย์จะให้ค่าใช้จ่ายต่อเดือนแลกกับการทำงานวิจัยช่วยอาจารย์ ส่วนค่าวิจัยก็ไม่ต้องออก พวกค่าสารเคมีเครื่องแก้วต่างๆ เอาเงินวิจัยอาจารย์มาทำ และเราก็ได้ทุนค่าเทอมจากมหาลัยด้วย จึงลดภาระแม่ไปเยอะ บางเทอมแม่ก็ให้ไปขอกับพ่อ พ่อก็จ่ายประมาณ 2 เทอมนะ ส่วนเราก็ทำงานพิเศษอีก ไปจัดเรียงเสื้อผ้าในห้างก็แบ่งเบาแม่ไปได้อีก แม่กดดันอยู่ทุกวันว่าเมื่อไหร่จะจบ ซึ่งถ้าใครอยู่ในแวดวงนี้จะรู้ว่า งานวิจัยมันไม่ได้ราบรื่น มีผลเฟลล์บ้างอะไรบ้าง (สายวิทย์) แม่ก็บ่นเหนื่อยๆ ลูกคนอื่นเค้าจบมาทำงานส่งให้พ่อแม่ได้เท่าไหร่แล้ว กดดันเราตลอด จนเราทะเลาะกับอาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม จนจบมาได้ ใช้เวลา 2 ปีครึ่ง
จบมาก็ย้ายมาอยู่กับแม่ เราไม่เคยอยุ่ด้วยกันมาก่อนตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เราสมัครทำงานเป็นเซลล์บริษัทแห่งหนึ่ง เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่ ขึ้นกับค่าคอม เดือนไหนขายได้เยอะก็ได้เยอะตาม ก็ช่วยแม่ผ่อนบ้านและค่าประกันสังคมแม่ทุกเดือน ที่จริงให้ตั้งแต่ที่เรียนจบแล้วทำงานวิจัยให้อาจารย์แล้ว เดือนนึงก็ตกเดือนละ 6,000 บาท ไม่รวมซื้อของเข้าบ้านทุกเดือน ค่าอาหาร ค่าซ่อมนู่นนี่คือแม่เราซ่อมบ้านบ่อยมาก และยังอยากไปเที่ยวตลอดๆ เดือนนึงก็ 2 ที่ เราก้ไม่ว่าอะไร เพราะรักแม่อยากให้แม่พักผ่อน จนตังค์เราไม่พอใช้ ต้องยืมเงินเพื่อนมาใช้ ก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เลยคิดว่าจะเลิกเปย์แม่ เอาเท่าที่จำเป็น แม่ก้ไม่เคยถามเลยว่ามีเงินใช้รึเปล่า เงินพอรึเปล่า รับอย่างเดียว แม่ก้เริ่มไม่อยากทำงาน แม่เราเปิดร้านเสริมสวย ก็เปิดร้าน 10-11 โมง บางทีบ่ายสามก็ปิดแล้ว จนลูกค้าเริ่มบ่นว่าตั้งแต่ลูกเรียนจบสบายเลยนะ เราก็ไม่ได้ว่าไง โกหกเราว่าเพื่อนยกคอร์สทำหน้า ร้อยไหม ให้ 30,000 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ทำไปแล้ว 2 ครั้งทั้งร้อยไหมทั้งฉีดโบท็อก ซึ่งเราถามเพื่อนที่สนิทกับแม่ เขาบอกว่าเป็นเงินแม่เอง เอาเบอร์เพื่อนแม่คนที่ถูกกล่าวอ้างให้ด้วยว่าไม่เชื่อให้ไปถามเอง
สถานการณ์มันเริ่มแย่ตรงที่แม่เริ่มหาสามีฝรั่งโดยไปสมัครเว็บหาคู่ แบบที่มีแต่ชาวต่างชาติ ซึ่งเราไม่ชอบเรื่องแบบนี้เลย เรามีแฟนก็ไม่ได้เป็นคนรวย พ่อเสียแล้ว แม่ไม่ดูแล แต่เค้าเป็นคนดี ไม่มีเรื่องเจ้าชู้ ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ ดูแลเราดีมาก ซักแม้กระทั่งกางเกงในเปื้อนประจำเดือน เราเตือนแม่หลายครั้งจนทะเลาะกันเพราะกลัวแม่ถูกหลอก แม่บอกตัวเองอาบน้ำร้อนมาก่อนรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ทุกครั้งที่แม่ vdo call มันน่าเกลียดทนดูไม่ได้เลย คือพูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ เอาแต่ยิ้มให้กันแล้วโบกไม้โบกมือ คุยกันก็แปลเอาใน google translate แม่บอกฝรั่งให้เอาเงินมาขอ 5 ล้าน เพชรอีก 4 กะรัต แล้วแม่ก็ไม่ได้คุยคนเดียวด้วย คุยกับแค่คนที่อวดรวย เอารูปเงินเป็นบึกส่งมาให้ดูแล้วก็บอกเราว่าคนนี้รวยมากเลยนะ แต่เราดูเราก็รู้แล้วว่ามันก้อปรูปมาจากในเน็ต มีลายน้ำติดอยู่ แต่แม่ก็ไม่เชื่อ จนเราปลง ไม่อยากยุ่งอีกต่อไป คิดซะว่าจะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด
บ้านแม่เป็นลักษณะบ้านทาวน์โฮม มีพวกตู้ลม เครื่องซักผ้า ตู้กดน้ำอยู่หน้าบ้าน จึงไม่สามารถเอารถจอดหน้าบ้านได้ (รถแฟนเรา ให้ใช้พราะเขามีรถรับส่งไปทำงาน) เราต้องเอารถไปจอดในซอยที่อยู่ห่างจากบ้านออกไป จึงอยากซื้อบ้านเดี่ยวกับแฟน จะได้สร้างครอบครัวด้วยกัน เพราะได้เงินโบนัสมาก้อนหนึ่งทั้งสองคน ประกอบกับเราได้ค่าคอมมิชชั่นด้วย เลยตัดสินใจซื้อบ้านในราคา 3.8 ล้าน ชวนแม่ให้ไปอยู่ด้วยกัน แล้วปล่อยบ้านให้คนเช่า เอาเงินส่วนที่คนเช่า ไปจ่ายค่าบ้าน แล้วเงินที่เราเคยให้แม่ จ่ายค่าบ้าน ก็เอามาให้แม่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งแม่ก็ไม่ไป บอกว่าไม่มีอะไรทำ เพราะเป็นหมู่บ้านจัดสรร ไม่ได้เป็นชุมชนแบบบ้านที่อยู่ปัจจุบัน เราก็เลยบอกแม่ว่า ถ้าอยากไปเมื่อไหร่ ก็ให้โทรบอกจะมารับ ช่วงที่จัดซื้อบ้านเป็นอะไรที่ลำบากใจมาก เพราะแม่เราเป็นคนขี้โม้ขี้อวด เคยบอกให้เรา หนีงานเพื่อที่จะไปเที่ยวบ้านใหม่ ทั้งที่บ้านยังไม่เสร็จดี พอไปก็เอาแต่ถ่ายรูป โพสต์ facebook แชทไปบอกคนนั้นคนนี้ว่าลูกซื้อบ้าน เข้าใจว่า ภูมิใจ แต่บางทีมันก็เกินไป เราบอกแม่ว่าอย่าเพิ่งบอกใคร แต่ผ่านไปอีกวัน เพื่อนบ้านก็มาถามว่าจะขึ้นบ้านใหม่เมื่อไหร่ เราเอือมมากกับนิสัยของแม่ และการที่แม่ติดโทรศัพท์ ทำให้ลูกค้าเริ่มบ่น ไม่สนใจลูกค้าเลยวันๆเอาแต่กดมือถือ มีฟีดแบคที่ไม่ดีทั้งนั้น
จนเราย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่กับแฟน ประกอบกับยายเราเข้าโรงพยาบาลที่เชียงราย อยู่ห้อง icu แต่แม่ไม่เคยไปดูแลเลย จนยายแย่แม่ถึงบอกให้เราซื้อตั๋วเครื่องบินให้ ทั้งยังบอกให้ซื้อให้ป้าอีกคนหนึ่งที่เป็นญาติกัน เราก็งงว่าทำไมเขาไม่จ่ายเองทำไมแม่ก็ให้เรามาจ่ายให้ เพราะค่าใช้จ่ายเราก็เยอะมากพอแล้ว ไหนจะต้องผ่อนบ้านเดือนตัวเองไหนจะต้องผ่อนบ้านแม่ให้อีก แล้วแม่ยังให้โอนเงินไปให้ยายอีก แม่ก็จะมาบิ้วเราว่าแม่ไม่มีเงิน เราเป็นลูกเราก็ต้องให้ จนเดือนนี้ให้ไปแล้ว 7000 ตั๋วเครื่องบินที่ซื้อให้ก็ทิ้งไม่ยอมไป บอกว่าไม่มีเงิน ค่าตั๋วขากลับ ซึ่งเป็นช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ค่าตั๋วเครื่องบินก็แพงมาก เราก็บอกแม่ไปตรงๆว่าไม่มีเงินแล้ว แม่ก็ตอบกลับมาว่าหรือจะให้แม่นั่งรถทัวร์หรอ ซึ่งถ้ามันถึงจุดนั้นมันจำเป็นก็ต้องนั่ง ไหม พอบอกให้แม่นั่งรถทัวร์ แต่พอแม่รู้ว่ารถทัวร์เป็นรถปอ 1 แม่ก็แสดงอาการรังเกียจ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงสงกรานต์ จึงไม่มี ตั๋วเหลือสำหรับเดินทางกลับกรุงเทพเลย ค่าเครื่องบินก็แพงมาก แต่สุดท้ายก็ยอมไปเพราะว่าชาวบ้าน โทรมาบอกว่าทำไมแม่ไม่ไป ถ้ายายเสียชาวบ้านจะนินทา แม่เลยไป สุดท้ายก็ไปไม่ทันตั๋วที่เราซื้อให้ แล้วก็ซื้อใหม่ เรายิ่งเสียใจมาก เพราะแม่ไม่เห็นคุณค่าของเงินเลย แม่บอกว่าแม่ไม่มีเงินแต่ก็แอบซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่ ทั้งที่เราซื้อให้แล้วครึ่งนึง เอาให้อีกเครื่องหนึ่ง ให้แท็บเล็ตด้วย ก็ยังไปซื้อมือถือใหม่อีก แล้วโกหกคนอื่นว่า เราซื้อให้
พอคุยกันทะเลาะกันถึงเรื่องเงิน แม่บอกว่า แม่ต้องการสบาย ต้องการหยุดทำงาน เราเลี้ยงดูแม่ให้สบายไม่ได้ แม่จึงต้องไปหาที่ยึดเกาะในบั้นปลายชีวิต แม่เราอายุ 49 ย่างเข้า 50 เราย้อนกลับมามองถึงครอบครัวอื่น พ่อแม่คนอื่นอายุ 50 กว่า 60 ก็ยังทำงานเป็นเรื่องปกติ แต่แม่เราบอกว่าเหนื่อยมามากพอแล้ว ต้องการสบายแล้ว แม่ก็บอกว่าเราไม่ทำหน้าที่อะไรเลยไม่เลี้ยงดูแม่อย่างที่แม่ต้องการ แล้วที่เราให้แม่ทุกเดือนช่วยผ่อนค่าบ้านล่ะ แม่กลับบอกว่าอย่ามาคิดเป็นบุญเป็นคุณเพราะสุดท้ายบ้านนั้นก็เป็นของเราเพราะแม่มีลูกคนเดียว แต่เราไม่เคยคิดถึงตรงนั้นเลยเราแค่อยากแบ่งเบาภาระของแม่ ค่าน้ำค่าไฟแม่ก็เอาเงินเหรียญที่ได้จากตู้กดน้ำตู้ซักผ้ามาจ่าย ซึ่งก็เพียงพอทุกเดือน แม่ส่งเงินให้ยายแค่เดือนละพัน เราว่ามันไม่ได้ลำบากเกินไปที่แม่จะหาเงิน มาดำรงชีวิตอยู่ในแต่ละเดือน เพราะที่ผ่านมาแม่ทั้งส่งบ้านเองทั้งส่งเสียเราเลี้ยงดูตัวเองแม่ก็ทำได้มาแล้ว อย่างทุกวันนี้ แม่ก็แทบจะไม่ได้เสียเงินค่ากินข้าวอะไรเลย เพราะมีคนซื้อเข้ามาให้แม่ เป็นทอมคนหนึ่ง ที่ดูแลแม่มานานแล้ว และทุกวันนี้เขาก็รับไม่ได้ที่แม่เปลี่ยนไปมาก จ้องจะจับแต่ฝรั่งเพื่อเอาเงิน เราก็ถามแม่ว่าถ้าไม่ให้แม่ไปหาสามีฝรั่งแม่ต้องการเดือนละเท่าไหร่ แม่บอกต้องการเดือนละ 20,000 แล้วเราจะเอาที่ไหนมาให้ เราก็เลยบอกแม่ว่างั้นแม่ก็ไปหาสามีฝรั่งเถอะ เพราะว่าเราไม่มีให้จริงๆ แม่ก็บอกว่า ก็เพราะแม่รู้ไงว่าเราไม่มีปัญญาเลี้ยงแม่ให้สบายได้แม่ถึงต้องทำแบบนี้ แม่บอกว่า อย่ามาว่าเอาเงินให้แม่ตั้งเยอะตั้งแยะ ให้แค่นี้เอง ที่ผ่านมาตั้งแต่เล็กจนป่านนี้เคยเอาเงินให้แม่ถึงแสนหรือยัง เราตอบแม่ได้เพียงว่า เราไม่เคยนับว่าให้แม่ไปเท่าไหร่ เพราะว่าให้ก็ให้ด้วยใจ เวลาเดือดร้อนอะไรก็มาเอาเงินกับเราเรามีเราก็ให้ซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้โดยที่ไม่ปริปากบ่นอะไรเลย อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่คิดว่าเรามีเงินเพราะขอเมื่อไหร่ก็ได้เสมอ ซึ่งเราทำงานได้ปีเดียวอยู่เลย ตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ได้เลย
แม่ก็เอาเรื่องบุญคุณ บาปกรรมมาขู่เรา บอกว่าทำให้แม่เสียน้ำตาไม่ศรัทธาในตัวแม่ไม่เคารพแม่ เราจะต้องอัปปรีย์ อนาคตจะมืดมน ทำมาค้าขายอะไรก็ไม่ขึ้นจะเป็นเสนียดติดตัว แม่สาปแช่งเราต่างๆนานา จนถึงตอนนี้ เราคิดแล้วว่าที่แม่มาเลี้ยงดูเรา เอาตอนเราโต เพราะแม่ต้องการให้เราเลี้ยงดูแม่ ให้สุขสบาย ขนาดอาจารย์ จะให้ทุนเราเรียนต่อป. เอก แม่ยังไม่ให้เรียนเลย บอกว่ามัวแต่เรียนอยู่นั่นแหละคนอื่นเขาหาเงินได้ตังเท่าไหร่แล้ว มันเหมือนตัดอนาคตลูกเลย เราว่านี่มันไม่ใช่ความรัก นี่แม่บอกว่า ถึงเราจบดอกเตอร์มา เราก็เลี้ยงดูแม่ให้สุขสบายไม่ได้ เราเสียใจมากเลยเพราะเราคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่มันกลับไม่มีค่าอะไรเลย ในสายตาแม่เราในความคิดแม่มันมีแต่เรื่องเงินไม่มีเรื่องอื่นเลย
จนสุดท้ายนี้อยากขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบ หรืออาจข้ามๆก็ตาม เราแค่อยากรู้ว่า ชีวิตเราต่อจากนี้เราควรจะต้องทำยังไงดี มันท้อมันสับสน บอกเลยว่า ณจุดนี้ถ้าใครไม่ได้เจอกับตัวเองไม่มีทางเข้าใจ รู้อยู่ว่าบุญคุณต้องทดแทน ใครๆก็สอนว่าบุญคุณพ่อแม่ใช้เท่าไหร่ก็ใช้ไม่หมด แต่จากการกระทำของแม่ทำให้เราท้อมากจริงๆ เราไม่อยากจะติดต่อแม่ไม่อยากพูดคุยกันแล้วความคิดของเราตอนนี้คืออยากอยู่ห่างห่างกัน แล้วค่อยมาดูแลกัน ตอนไม่สบายตอนแม่แก่ เราคิดถูกหรอผิดอย่างไร เราควรทำไงอยากให้เสนอความคิดเห็นหน่อยค่ะ จะขอบพระคุณมากๆ
เครียดเรื่องแม่มากเลย แม่เห็นแก่เงิน ควรทำไงดีคะ?
เริ่มเลยนะคะ...
ชีวิตเราเกิดมาพ่อแม่หย่ากันตั้งแต่เราเด็ก ส่งเราไปอยู่กับย่าในความดูแลของพ่อ แต่พ่อกับแม่อยู่กทม.ทั้งคู่นะคะ ตอนนั้นแม่มาเยี่ยมปีละครั้ง ส่งเงินให้ตอนเรียนมัธยมแค่เดือนละ 1,000 บาท จนเราโตเข้ามหาลัยก็ทะเลาะกับพ่อเพราะพ่อเปิดบริษัทรับเหมา ต้องการให้เราเรียนวิศวะ หรือบัญชี ซึ่งเราไม่ชอบ ขู่ว่าถ้าไม่เรียนอย่างที่อยากให้เรียน พ่อไม่มีเงินส่ง
แม่จึงบอกให้ออกมาอยู่กับแม่ แม่จะดูแลเอง เราเลยย้ายมาอยู่ในความดูแลของแม่ แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ เพราะเราเลือกเข้ามาลัยแห่งนึงในภาคเหนือ แม่ก็ส่งเสีย ให้กู้กยศ.และกดดันให้เราไปขอเงินพ่อเรื่อยๆ ตอนนั้นเครียดมาก ความรู้สึกเหมือนเราเป็นภาระพ่อแม่ ไม่มีใครอยากส่งเสีย โยนกันไปมาอาศัยเราเป็นตัวกลางที่ต้องคอยบากหน้าไปขอเงิน
พอเรียนจบป.ตรี ก็อยากเรียนป.โท ตอนแรกขอแม่ก็ไม่ยอม อยากให้ทำงานหาเงินได้แล้ว ก็เกลี้ยกล่อมอยู่นาน เพราะอาจารย์จะให้ค่าใช้จ่ายต่อเดือนแลกกับการทำงานวิจัยช่วยอาจารย์ ส่วนค่าวิจัยก็ไม่ต้องออก พวกค่าสารเคมีเครื่องแก้วต่างๆ เอาเงินวิจัยอาจารย์มาทำ และเราก็ได้ทุนค่าเทอมจากมหาลัยด้วย จึงลดภาระแม่ไปเยอะ บางเทอมแม่ก็ให้ไปขอกับพ่อ พ่อก็จ่ายประมาณ 2 เทอมนะ ส่วนเราก็ทำงานพิเศษอีก ไปจัดเรียงเสื้อผ้าในห้างก็แบ่งเบาแม่ไปได้อีก แม่กดดันอยู่ทุกวันว่าเมื่อไหร่จะจบ ซึ่งถ้าใครอยู่ในแวดวงนี้จะรู้ว่า งานวิจัยมันไม่ได้ราบรื่น มีผลเฟลล์บ้างอะไรบ้าง (สายวิทย์) แม่ก็บ่นเหนื่อยๆ ลูกคนอื่นเค้าจบมาทำงานส่งให้พ่อแม่ได้เท่าไหร่แล้ว กดดันเราตลอด จนเราทะเลาะกับอาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม จนจบมาได้ ใช้เวลา 2 ปีครึ่ง
จบมาก็ย้ายมาอยู่กับแม่ เราไม่เคยอยุ่ด้วยกันมาก่อนตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เราสมัครทำงานเป็นเซลล์บริษัทแห่งหนึ่ง เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่ ขึ้นกับค่าคอม เดือนไหนขายได้เยอะก็ได้เยอะตาม ก็ช่วยแม่ผ่อนบ้านและค่าประกันสังคมแม่ทุกเดือน ที่จริงให้ตั้งแต่ที่เรียนจบแล้วทำงานวิจัยให้อาจารย์แล้ว เดือนนึงก็ตกเดือนละ 6,000 บาท ไม่รวมซื้อของเข้าบ้านทุกเดือน ค่าอาหาร ค่าซ่อมนู่นนี่คือแม่เราซ่อมบ้านบ่อยมาก และยังอยากไปเที่ยวตลอดๆ เดือนนึงก็ 2 ที่ เราก้ไม่ว่าอะไร เพราะรักแม่อยากให้แม่พักผ่อน จนตังค์เราไม่พอใช้ ต้องยืมเงินเพื่อนมาใช้ ก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เลยคิดว่าจะเลิกเปย์แม่ เอาเท่าที่จำเป็น แม่ก้ไม่เคยถามเลยว่ามีเงินใช้รึเปล่า เงินพอรึเปล่า รับอย่างเดียว แม่ก้เริ่มไม่อยากทำงาน แม่เราเปิดร้านเสริมสวย ก็เปิดร้าน 10-11 โมง บางทีบ่ายสามก็ปิดแล้ว จนลูกค้าเริ่มบ่นว่าตั้งแต่ลูกเรียนจบสบายเลยนะ เราก็ไม่ได้ว่าไง โกหกเราว่าเพื่อนยกคอร์สทำหน้า ร้อยไหม ให้ 30,000 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ทำไปแล้ว 2 ครั้งทั้งร้อยไหมทั้งฉีดโบท็อก ซึ่งเราถามเพื่อนที่สนิทกับแม่ เขาบอกว่าเป็นเงินแม่เอง เอาเบอร์เพื่อนแม่คนที่ถูกกล่าวอ้างให้ด้วยว่าไม่เชื่อให้ไปถามเอง
สถานการณ์มันเริ่มแย่ตรงที่แม่เริ่มหาสามีฝรั่งโดยไปสมัครเว็บหาคู่ แบบที่มีแต่ชาวต่างชาติ ซึ่งเราไม่ชอบเรื่องแบบนี้เลย เรามีแฟนก็ไม่ได้เป็นคนรวย พ่อเสียแล้ว แม่ไม่ดูแล แต่เค้าเป็นคนดี ไม่มีเรื่องเจ้าชู้ ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ ดูแลเราดีมาก ซักแม้กระทั่งกางเกงในเปื้อนประจำเดือน เราเตือนแม่หลายครั้งจนทะเลาะกันเพราะกลัวแม่ถูกหลอก แม่บอกตัวเองอาบน้ำร้อนมาก่อนรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ทุกครั้งที่แม่ vdo call มันน่าเกลียดทนดูไม่ได้เลย คือพูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ เอาแต่ยิ้มให้กันแล้วโบกไม้โบกมือ คุยกันก็แปลเอาใน google translate แม่บอกฝรั่งให้เอาเงินมาขอ 5 ล้าน เพชรอีก 4 กะรัต แล้วแม่ก็ไม่ได้คุยคนเดียวด้วย คุยกับแค่คนที่อวดรวย เอารูปเงินเป็นบึกส่งมาให้ดูแล้วก็บอกเราว่าคนนี้รวยมากเลยนะ แต่เราดูเราก็รู้แล้วว่ามันก้อปรูปมาจากในเน็ต มีลายน้ำติดอยู่ แต่แม่ก็ไม่เชื่อ จนเราปลง ไม่อยากยุ่งอีกต่อไป คิดซะว่าจะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด
บ้านแม่เป็นลักษณะบ้านทาวน์โฮม มีพวกตู้ลม เครื่องซักผ้า ตู้กดน้ำอยู่หน้าบ้าน จึงไม่สามารถเอารถจอดหน้าบ้านได้ (รถแฟนเรา ให้ใช้พราะเขามีรถรับส่งไปทำงาน) เราต้องเอารถไปจอดในซอยที่อยู่ห่างจากบ้านออกไป จึงอยากซื้อบ้านเดี่ยวกับแฟน จะได้สร้างครอบครัวด้วยกัน เพราะได้เงินโบนัสมาก้อนหนึ่งทั้งสองคน ประกอบกับเราได้ค่าคอมมิชชั่นด้วย เลยตัดสินใจซื้อบ้านในราคา 3.8 ล้าน ชวนแม่ให้ไปอยู่ด้วยกัน แล้วปล่อยบ้านให้คนเช่า เอาเงินส่วนที่คนเช่า ไปจ่ายค่าบ้าน แล้วเงินที่เราเคยให้แม่ จ่ายค่าบ้าน ก็เอามาให้แม่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งแม่ก็ไม่ไป บอกว่าไม่มีอะไรทำ เพราะเป็นหมู่บ้านจัดสรร ไม่ได้เป็นชุมชนแบบบ้านที่อยู่ปัจจุบัน เราก็เลยบอกแม่ว่า ถ้าอยากไปเมื่อไหร่ ก็ให้โทรบอกจะมารับ ช่วงที่จัดซื้อบ้านเป็นอะไรที่ลำบากใจมาก เพราะแม่เราเป็นคนขี้โม้ขี้อวด เคยบอกให้เรา หนีงานเพื่อที่จะไปเที่ยวบ้านใหม่ ทั้งที่บ้านยังไม่เสร็จดี พอไปก็เอาแต่ถ่ายรูป โพสต์ facebook แชทไปบอกคนนั้นคนนี้ว่าลูกซื้อบ้าน เข้าใจว่า ภูมิใจ แต่บางทีมันก็เกินไป เราบอกแม่ว่าอย่าเพิ่งบอกใคร แต่ผ่านไปอีกวัน เพื่อนบ้านก็มาถามว่าจะขึ้นบ้านใหม่เมื่อไหร่ เราเอือมมากกับนิสัยของแม่ และการที่แม่ติดโทรศัพท์ ทำให้ลูกค้าเริ่มบ่น ไม่สนใจลูกค้าเลยวันๆเอาแต่กดมือถือ มีฟีดแบคที่ไม่ดีทั้งนั้น
จนเราย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่กับแฟน ประกอบกับยายเราเข้าโรงพยาบาลที่เชียงราย อยู่ห้อง icu แต่แม่ไม่เคยไปดูแลเลย จนยายแย่แม่ถึงบอกให้เราซื้อตั๋วเครื่องบินให้ ทั้งยังบอกให้ซื้อให้ป้าอีกคนหนึ่งที่เป็นญาติกัน เราก็งงว่าทำไมเขาไม่จ่ายเองทำไมแม่ก็ให้เรามาจ่ายให้ เพราะค่าใช้จ่ายเราก็เยอะมากพอแล้ว ไหนจะต้องผ่อนบ้านเดือนตัวเองไหนจะต้องผ่อนบ้านแม่ให้อีก แล้วแม่ยังให้โอนเงินไปให้ยายอีก แม่ก็จะมาบิ้วเราว่าแม่ไม่มีเงิน เราเป็นลูกเราก็ต้องให้ จนเดือนนี้ให้ไปแล้ว 7000 ตั๋วเครื่องบินที่ซื้อให้ก็ทิ้งไม่ยอมไป บอกว่าไม่มีเงิน ค่าตั๋วขากลับ ซึ่งเป็นช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ค่าตั๋วเครื่องบินก็แพงมาก เราก็บอกแม่ไปตรงๆว่าไม่มีเงินแล้ว แม่ก็ตอบกลับมาว่าหรือจะให้แม่นั่งรถทัวร์หรอ ซึ่งถ้ามันถึงจุดนั้นมันจำเป็นก็ต้องนั่ง ไหม พอบอกให้แม่นั่งรถทัวร์ แต่พอแม่รู้ว่ารถทัวร์เป็นรถปอ 1 แม่ก็แสดงอาการรังเกียจ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงสงกรานต์ จึงไม่มี ตั๋วเหลือสำหรับเดินทางกลับกรุงเทพเลย ค่าเครื่องบินก็แพงมาก แต่สุดท้ายก็ยอมไปเพราะว่าชาวบ้าน โทรมาบอกว่าทำไมแม่ไม่ไป ถ้ายายเสียชาวบ้านจะนินทา แม่เลยไป สุดท้ายก็ไปไม่ทันตั๋วที่เราซื้อให้ แล้วก็ซื้อใหม่ เรายิ่งเสียใจมาก เพราะแม่ไม่เห็นคุณค่าของเงินเลย แม่บอกว่าแม่ไม่มีเงินแต่ก็แอบซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่ ทั้งที่เราซื้อให้แล้วครึ่งนึง เอาให้อีกเครื่องหนึ่ง ให้แท็บเล็ตด้วย ก็ยังไปซื้อมือถือใหม่อีก แล้วโกหกคนอื่นว่า เราซื้อให้
พอคุยกันทะเลาะกันถึงเรื่องเงิน แม่บอกว่า แม่ต้องการสบาย ต้องการหยุดทำงาน เราเลี้ยงดูแม่ให้สบายไม่ได้ แม่จึงต้องไปหาที่ยึดเกาะในบั้นปลายชีวิต แม่เราอายุ 49 ย่างเข้า 50 เราย้อนกลับมามองถึงครอบครัวอื่น พ่อแม่คนอื่นอายุ 50 กว่า 60 ก็ยังทำงานเป็นเรื่องปกติ แต่แม่เราบอกว่าเหนื่อยมามากพอแล้ว ต้องการสบายแล้ว แม่ก็บอกว่าเราไม่ทำหน้าที่อะไรเลยไม่เลี้ยงดูแม่อย่างที่แม่ต้องการ แล้วที่เราให้แม่ทุกเดือนช่วยผ่อนค่าบ้านล่ะ แม่กลับบอกว่าอย่ามาคิดเป็นบุญเป็นคุณเพราะสุดท้ายบ้านนั้นก็เป็นของเราเพราะแม่มีลูกคนเดียว แต่เราไม่เคยคิดถึงตรงนั้นเลยเราแค่อยากแบ่งเบาภาระของแม่ ค่าน้ำค่าไฟแม่ก็เอาเงินเหรียญที่ได้จากตู้กดน้ำตู้ซักผ้ามาจ่าย ซึ่งก็เพียงพอทุกเดือน แม่ส่งเงินให้ยายแค่เดือนละพัน เราว่ามันไม่ได้ลำบากเกินไปที่แม่จะหาเงิน มาดำรงชีวิตอยู่ในแต่ละเดือน เพราะที่ผ่านมาแม่ทั้งส่งบ้านเองทั้งส่งเสียเราเลี้ยงดูตัวเองแม่ก็ทำได้มาแล้ว อย่างทุกวันนี้ แม่ก็แทบจะไม่ได้เสียเงินค่ากินข้าวอะไรเลย เพราะมีคนซื้อเข้ามาให้แม่ เป็นทอมคนหนึ่ง ที่ดูแลแม่มานานแล้ว และทุกวันนี้เขาก็รับไม่ได้ที่แม่เปลี่ยนไปมาก จ้องจะจับแต่ฝรั่งเพื่อเอาเงิน เราก็ถามแม่ว่าถ้าไม่ให้แม่ไปหาสามีฝรั่งแม่ต้องการเดือนละเท่าไหร่ แม่บอกต้องการเดือนละ 20,000 แล้วเราจะเอาที่ไหนมาให้ เราก็เลยบอกแม่ว่างั้นแม่ก็ไปหาสามีฝรั่งเถอะ เพราะว่าเราไม่มีให้จริงๆ แม่ก็บอกว่า ก็เพราะแม่รู้ไงว่าเราไม่มีปัญญาเลี้ยงแม่ให้สบายได้แม่ถึงต้องทำแบบนี้ แม่บอกว่า อย่ามาว่าเอาเงินให้แม่ตั้งเยอะตั้งแยะ ให้แค่นี้เอง ที่ผ่านมาตั้งแต่เล็กจนป่านนี้เคยเอาเงินให้แม่ถึงแสนหรือยัง เราตอบแม่ได้เพียงว่า เราไม่เคยนับว่าให้แม่ไปเท่าไหร่ เพราะว่าให้ก็ให้ด้วยใจ เวลาเดือดร้อนอะไรก็มาเอาเงินกับเราเรามีเราก็ให้ซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้โดยที่ไม่ปริปากบ่นอะไรเลย อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่คิดว่าเรามีเงินเพราะขอเมื่อไหร่ก็ได้เสมอ ซึ่งเราทำงานได้ปีเดียวอยู่เลย ตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ได้เลย
แม่ก็เอาเรื่องบุญคุณ บาปกรรมมาขู่เรา บอกว่าทำให้แม่เสียน้ำตาไม่ศรัทธาในตัวแม่ไม่เคารพแม่ เราจะต้องอัปปรีย์ อนาคตจะมืดมน ทำมาค้าขายอะไรก็ไม่ขึ้นจะเป็นเสนียดติดตัว แม่สาปแช่งเราต่างๆนานา จนถึงตอนนี้ เราคิดแล้วว่าที่แม่มาเลี้ยงดูเรา เอาตอนเราโต เพราะแม่ต้องการให้เราเลี้ยงดูแม่ ให้สุขสบาย ขนาดอาจารย์ จะให้ทุนเราเรียนต่อป. เอก แม่ยังไม่ให้เรียนเลย บอกว่ามัวแต่เรียนอยู่นั่นแหละคนอื่นเขาหาเงินได้ตังเท่าไหร่แล้ว มันเหมือนตัดอนาคตลูกเลย เราว่านี่มันไม่ใช่ความรัก นี่แม่บอกว่า ถึงเราจบดอกเตอร์มา เราก็เลี้ยงดูแม่ให้สุขสบายไม่ได้ เราเสียใจมากเลยเพราะเราคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่มันกลับไม่มีค่าอะไรเลย ในสายตาแม่เราในความคิดแม่มันมีแต่เรื่องเงินไม่มีเรื่องอื่นเลย
จนสุดท้ายนี้อยากขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบ หรืออาจข้ามๆก็ตาม เราแค่อยากรู้ว่า ชีวิตเราต่อจากนี้เราควรจะต้องทำยังไงดี มันท้อมันสับสน บอกเลยว่า ณจุดนี้ถ้าใครไม่ได้เจอกับตัวเองไม่มีทางเข้าใจ รู้อยู่ว่าบุญคุณต้องทดแทน ใครๆก็สอนว่าบุญคุณพ่อแม่ใช้เท่าไหร่ก็ใช้ไม่หมด แต่จากการกระทำของแม่ทำให้เราท้อมากจริงๆ เราไม่อยากจะติดต่อแม่ไม่อยากพูดคุยกันแล้วความคิดของเราตอนนี้คืออยากอยู่ห่างห่างกัน แล้วค่อยมาดูแลกัน ตอนไม่สบายตอนแม่แก่ เราคิดถูกหรอผิดอย่างไร เราควรทำไงอยากให้เสนอความคิดเห็นหน่อยค่ะ จะขอบพระคุณมากๆ