สวัสดีครับ ผมคิดเรื่องนี้มาอยู่หลายวันแล้วครับว่า มันดีจริงเหรอ ที่เกิดมารวย
ตั้งแต่เด็ก ผมเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ พ่อแม่มีกิจการส่วนตัว มีบ้าน มีรถ มีทุกอย่างที่สุขสบาย ผมใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตั้งแต่เด็ก
ตั้งแต่เด็ก พ่อเป็นนักธุรกิจ จะปลูกฝังเรื่องธุรกิจมาตลอด สอนว่าการหาเงินเป็นสิ่งที่สำคัญ พอโตมา ผมก็ไม่เชื่อพ่อ ผมบอกพ่อว่าไม่มีเงินก็มีความสุขได้ แต่ก็ใช่อยู่ว่าไม่มีเงินก็อยู่ไม่ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีเงินเป็นล้านๆ มีกิจการมากมาย เหมือนพ่อ แค่ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศ เงินเดือนหลักหมื่นก็มีความสุขได้ ผมพูดกับพ่ออย่างนั้น พ่อก็ให้ลองคิดดูว่าสิ่งที่ผมมีความสุขคืออะไร ผมก็บอกว่าไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว...
แต่พ่อผมกลับบอกว่าชีวิตที่ผมมีอยู่ตอนนี้คือชีวิตในฝันของพนักงานออฟฟิศเลยนะ
- พ่อบอกว่าไปเที่ยวของผม กับไปเที่ยวของพนักงานออฟฟิศก็ไม่เหมือนกันแล้ว เที่ยวของผมคือการไปต่างประเทศ แต่เที่ยวของพนักงานออฟิศอาจจะไปแค่พัทยา-หัวหิน ซึ่งมาตรฐานของคำว่า "ไปเที่ยว" ก็ต่างกันแล้ว เพราะงบประมาณมันต่างกัน พ่อบอกอีกว่า กว่าพนักงานออฟฟิศจะไปต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เขาเก็บเงินเป็นปีๆ ไปก็แบบประหยัด สายการบินที่ถูกที่สุด โรงแรมที่ลดราคาเยอะที่สุด ซึ่งพ่อบอกว่า ถ้าแกได้เงินเดือนหลักหมื่น เก็บเงิน 3 ปี ถึงไปเที่ยวได้ครั้งหนึง และถ้าแกลองไปเที่ยวแบบประหยัดงบ แกอาจจะหาความสุขในการเที่ยวครั้งนั้นไม่เจอเลยก็ได้
- พ่อบอกว่าไปกินข้าว กินข้าวของผม คือกินในห้าง เช่น เอ็มเค หรือ ฮาจิบัง หรือ ฟูจิ ถ้าวันหยุดก็กินดีหน่อยก็ สยามพารากอน หรือ เอ็มควอเทียร์ แต่สำหรับพนักงานออฟฟิศ กินร้านข้างทางคือกินข้าวของเขา แล้วกินพวกเอ็มเคต่างๆ คือ โอกาสสำคัญ ไม่ใช่เห็นว่าร้านพวกนี้ ราคาถูกเหมือนแก ซึ่งแน่นอนถ้าพนักงานออฟฟิศกินเอ็มเค ก็ต้องมีความสุขมากกว่ากินข้างทางร้อนๆ แต่ถามว่าระดับความสุขที่พนักงานออฟฟิศได้จากการกินเอ็มเค ก็คงไม่เท่ากับระดับความสุขเมื่อแกกินเอ็มเค แต่อาจจะเท่ากับที่แกไปกินอาหารญี่ปุ่นในพารากอน
... พ่อยังพูดต่อว่า แกคิดง่ายว่าความสุขมันไม่ต้องมาจากเงิน แต่คนเรามันรักสบาย ถ้าไม่มีเงินมันจะสบายเหรอ ถามว่าทุกวันนี้ แกเปิดแอร์นอนคนเดียวทุกวัน แกลองเปิดพัดลมนอนดูซักเดือนสิ ว่าจะอยู่ได้มั้ย ทุกวันนี้ แกมีรถบีเอ็มนั่งไปโรงเรียน แกก็ลองเดินไปหน้าหมู่บ้าน แล้วนั่งรถเมล์ไปสิ ทุกวันนี้ แกมีไอโฟน 7 ใช้ แกก็ลองไปใช้ซัมซุง 4-5 พันบาทซิ ทุกวันนี้ อยากกินอะไรก็เดินไปบอกแม่บ้านแล้วมานั่งรอที่ห้องกินข้าว แกก็ลองเข้าครัวร้อนๆไปทำเองสิ ทุกวันนี้ สิ่งที่แกมีในชีวิต มันก็ล้วนแต่ใช้เงินทั้งนั้น แต่แกไม่เคยคิดว่าเงินนั้นเป็นเงินที่แกต้องหา ไอเงินเดือนหลักหมื่นอ่ะ คือแกคิดแต่ว่า 3-4 หมื่น ใช้เดือนนึงเหลือเฟือ แต่แกไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้ในชีวิต มันก็ใช้เงินทั้งนั้น จะให้พ่อแม่จ่ายค่าไฟให้เหรอ อีกหน่อยพ่อแม่ย้ายไปอยู่บ้านพักที่ตจว. ก็ต้องส่งเงินมาให้แกจ่ายแม่บ้านเหรอ จะเปลี่ยนมือถือ เปลี่ยนทีวี เปลี่ยนแอร์ ก็ต้องให้พ่อแม่ส่งเงินมาให้เหรอ แค่ค่าไฟที่บ้านเดือนนึงก็เกือบสองหมื่นแล้ว เงินเดือนเกินครึ่งแกก็ต้องมาจ่ายค่าไฟ
...ฉันส่งแกเรียนดีมาตั้งแต่เด็ก วันหยุดพาไปเมืองนอก ปิดเทอมก็ส่งไปซัมเมอร์ต่างประเทศ ก็เพื่อให้แกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
หลังจากได้ฟังพ่อพูด ผมก็กลับมาคิดว่า ผมไม่น่าเกิดมาสบายขนาดนี้เลย ไม่น่ามีทุกสิ่งทุกอย่างแบบนี้เลย มันทำให้ผมเป็นคนไม่มี "ฝัน" หลายคนฝันที่จะมีรถหรูขับ แต่ผมนั่งมาตั้งแต่เด็ก หลายคนฝันว่าจะไปเมืองนอก ผมไปมาหลายสิบประเทศ มันเหมือนชีวิตมันมีทุกอย่างอยู่แล้ว จะให้ไปฝันอะไรล่ะ มันทำให้ผมเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย เพราะมันไม่มีอะไรจะให้คิด เหมือนชีวิตมันไร้เป้าหมาย... อีกไม่นานผมก็ต้องเข้ามหาลัย ต้องเลือกคณะ ซึ่งผมเลือกไว้ในใจแล้ว แต่ผมไม่เคยคิดว่าจบมาจะทำอะไร เงินเดือนเยอะไหม งานเยอะหรือเปล่า เพราะชีวิตมันไม่เคยต้องคิดอะไรเยอะ ... ถึงแม้พ่อจะไม่เคยบังคับ แต่ผมก็รู้ว่าพ่อต้องการให้ผมดูแลกิจการต่อจากเขา
ผมรู้สึกแย่ที่ต้องเกิดมาในบ้านที่มีตัง ทุกอย่างมันดูกดดัน เห็นพ่อมีบริษัท แล้วมันก็เหมือนเป็นความรู้สึกว่าเราคงต้องทำ ทั้งๆที่ไม่ได้อยากทำ แต่ถ้าไม่ทำก็อยู่ไม่ได้ เพราะพ่อให้ชีวิตแบบนี้กับเรามาตั้งแต่เด็ก พ่อได้สร้างมาตรฐานชีวิตไว้ให้เราแล้ว จะให้อยู่ต่ำว่ามาตรฐานที่พ่อให้ มันก็คงจะทำไม่ได้...
ปล. นี่เป็นกระทู้ระบายความในใจนะครับ เพราะเครียดมาหลายวันแล้วครับ T_T
รู้สึกเหมือนชีวิตสบายเกินไป
ตั้งแต่เด็ก ผมเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ พ่อแม่มีกิจการส่วนตัว มีบ้าน มีรถ มีทุกอย่างที่สุขสบาย ผมใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตั้งแต่เด็ก
ตั้งแต่เด็ก พ่อเป็นนักธุรกิจ จะปลูกฝังเรื่องธุรกิจมาตลอด สอนว่าการหาเงินเป็นสิ่งที่สำคัญ พอโตมา ผมก็ไม่เชื่อพ่อ ผมบอกพ่อว่าไม่มีเงินก็มีความสุขได้ แต่ก็ใช่อยู่ว่าไม่มีเงินก็อยู่ไม่ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีเงินเป็นล้านๆ มีกิจการมากมาย เหมือนพ่อ แค่ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศ เงินเดือนหลักหมื่นก็มีความสุขได้ ผมพูดกับพ่ออย่างนั้น พ่อก็ให้ลองคิดดูว่าสิ่งที่ผมมีความสุขคืออะไร ผมก็บอกว่าไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว...
แต่พ่อผมกลับบอกว่าชีวิตที่ผมมีอยู่ตอนนี้คือชีวิตในฝันของพนักงานออฟฟิศเลยนะ
- พ่อบอกว่าไปเที่ยวของผม กับไปเที่ยวของพนักงานออฟฟิศก็ไม่เหมือนกันแล้ว เที่ยวของผมคือการไปต่างประเทศ แต่เที่ยวของพนักงานออฟิศอาจจะไปแค่พัทยา-หัวหิน ซึ่งมาตรฐานของคำว่า "ไปเที่ยว" ก็ต่างกันแล้ว เพราะงบประมาณมันต่างกัน พ่อบอกอีกว่า กว่าพนักงานออฟฟิศจะไปต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เขาเก็บเงินเป็นปีๆ ไปก็แบบประหยัด สายการบินที่ถูกที่สุด โรงแรมที่ลดราคาเยอะที่สุด ซึ่งพ่อบอกว่า ถ้าแกได้เงินเดือนหลักหมื่น เก็บเงิน 3 ปี ถึงไปเที่ยวได้ครั้งหนึง และถ้าแกลองไปเที่ยวแบบประหยัดงบ แกอาจจะหาความสุขในการเที่ยวครั้งนั้นไม่เจอเลยก็ได้
- พ่อบอกว่าไปกินข้าว กินข้าวของผม คือกินในห้าง เช่น เอ็มเค หรือ ฮาจิบัง หรือ ฟูจิ ถ้าวันหยุดก็กินดีหน่อยก็ สยามพารากอน หรือ เอ็มควอเทียร์ แต่สำหรับพนักงานออฟฟิศ กินร้านข้างทางคือกินข้าวของเขา แล้วกินพวกเอ็มเคต่างๆ คือ โอกาสสำคัญ ไม่ใช่เห็นว่าร้านพวกนี้ ราคาถูกเหมือนแก ซึ่งแน่นอนถ้าพนักงานออฟฟิศกินเอ็มเค ก็ต้องมีความสุขมากกว่ากินข้างทางร้อนๆ แต่ถามว่าระดับความสุขที่พนักงานออฟฟิศได้จากการกินเอ็มเค ก็คงไม่เท่ากับระดับความสุขเมื่อแกกินเอ็มเค แต่อาจจะเท่ากับที่แกไปกินอาหารญี่ปุ่นในพารากอน
... พ่อยังพูดต่อว่า แกคิดง่ายว่าความสุขมันไม่ต้องมาจากเงิน แต่คนเรามันรักสบาย ถ้าไม่มีเงินมันจะสบายเหรอ ถามว่าทุกวันนี้ แกเปิดแอร์นอนคนเดียวทุกวัน แกลองเปิดพัดลมนอนดูซักเดือนสิ ว่าจะอยู่ได้มั้ย ทุกวันนี้ แกมีรถบีเอ็มนั่งไปโรงเรียน แกก็ลองเดินไปหน้าหมู่บ้าน แล้วนั่งรถเมล์ไปสิ ทุกวันนี้ แกมีไอโฟน 7 ใช้ แกก็ลองไปใช้ซัมซุง 4-5 พันบาทซิ ทุกวันนี้ อยากกินอะไรก็เดินไปบอกแม่บ้านแล้วมานั่งรอที่ห้องกินข้าว แกก็ลองเข้าครัวร้อนๆไปทำเองสิ ทุกวันนี้ สิ่งที่แกมีในชีวิต มันก็ล้วนแต่ใช้เงินทั้งนั้น แต่แกไม่เคยคิดว่าเงินนั้นเป็นเงินที่แกต้องหา ไอเงินเดือนหลักหมื่นอ่ะ คือแกคิดแต่ว่า 3-4 หมื่น ใช้เดือนนึงเหลือเฟือ แต่แกไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้ในชีวิต มันก็ใช้เงินทั้งนั้น จะให้พ่อแม่จ่ายค่าไฟให้เหรอ อีกหน่อยพ่อแม่ย้ายไปอยู่บ้านพักที่ตจว. ก็ต้องส่งเงินมาให้แกจ่ายแม่บ้านเหรอ จะเปลี่ยนมือถือ เปลี่ยนทีวี เปลี่ยนแอร์ ก็ต้องให้พ่อแม่ส่งเงินมาให้เหรอ แค่ค่าไฟที่บ้านเดือนนึงก็เกือบสองหมื่นแล้ว เงินเดือนเกินครึ่งแกก็ต้องมาจ่ายค่าไฟ
...ฉันส่งแกเรียนดีมาตั้งแต่เด็ก วันหยุดพาไปเมืองนอก ปิดเทอมก็ส่งไปซัมเมอร์ต่างประเทศ ก็เพื่อให้แกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
หลังจากได้ฟังพ่อพูด ผมก็กลับมาคิดว่า ผมไม่น่าเกิดมาสบายขนาดนี้เลย ไม่น่ามีทุกสิ่งทุกอย่างแบบนี้เลย มันทำให้ผมเป็นคนไม่มี "ฝัน" หลายคนฝันที่จะมีรถหรูขับ แต่ผมนั่งมาตั้งแต่เด็ก หลายคนฝันว่าจะไปเมืองนอก ผมไปมาหลายสิบประเทศ มันเหมือนชีวิตมันมีทุกอย่างอยู่แล้ว จะให้ไปฝันอะไรล่ะ มันทำให้ผมเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย เพราะมันไม่มีอะไรจะให้คิด เหมือนชีวิตมันไร้เป้าหมาย... อีกไม่นานผมก็ต้องเข้ามหาลัย ต้องเลือกคณะ ซึ่งผมเลือกไว้ในใจแล้ว แต่ผมไม่เคยคิดว่าจบมาจะทำอะไร เงินเดือนเยอะไหม งานเยอะหรือเปล่า เพราะชีวิตมันไม่เคยต้องคิดอะไรเยอะ ... ถึงแม้พ่อจะไม่เคยบังคับ แต่ผมก็รู้ว่าพ่อต้องการให้ผมดูแลกิจการต่อจากเขา
ผมรู้สึกแย่ที่ต้องเกิดมาในบ้านที่มีตัง ทุกอย่างมันดูกดดัน เห็นพ่อมีบริษัท แล้วมันก็เหมือนเป็นความรู้สึกว่าเราคงต้องทำ ทั้งๆที่ไม่ได้อยากทำ แต่ถ้าไม่ทำก็อยู่ไม่ได้ เพราะพ่อให้ชีวิตแบบนี้กับเรามาตั้งแต่เด็ก พ่อได้สร้างมาตรฐานชีวิตไว้ให้เราแล้ว จะให้อยู่ต่ำว่ามาตรฐานที่พ่อให้ มันก็คงจะทำไม่ได้...
ปล. นี่เป็นกระทู้ระบายความในใจนะครับ เพราะเครียดมาหลายวันแล้วครับ T_T