คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
ระบบทุนนิยมคือแพ้คัดออกครับ ทุกอย่างต้องถูกตัดเกรด คิดเป็นกำไรขาดทุน แบ่งเลเวล
เคยมีกระทู้หนึ่งในพันทิป ถามเชิงปรัชญาเศรษฐศาสตร์แบบซื่อๆ นะ เขาตั้งคำถามว่า ทำไม อาหารจานนึงที่ให้ปริมาณและคุณภาพไล่เลี่ยกัน แต่เมื่อใช้ค่าเงินที่ต่างกัน บางประเทศถูกแสนถูก บางประเทศแพงแสนแพง บางคนก็ตอบเชิงด่าว่าโลกสวย บางคนก็ตอบว่าก็น่าคิดนะมันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ให้กับมนุษยชาติ
บางเวทีอภิปราย เริ่มพูดถึงเรื่อง basic universal income (รายได้ขั้นต่ำพื้นฐานที่คนทั่วโลกควรจะได้เท่ากัน)
ถ้าให้วิพากษ์ในเชิงวัฒนธรรม ผมว่าสังคมไทยมีลักษณะที่เป็น paradox ขัดแย้งกันเองกับระบบทุนนิยมโลกใหม่อยู่ คือด้านหนึ่ง ศาสนาพุทธรวมถึงนิกายต่างๆ ในเอเชียโดยรวมไม่ได้สอนให้เอาชนะธรรมชาติเอาชนะพระเจ้าโชคชะตาเหมือนตะวันตกที่ผ่านยุคหลงศาสนาแล้ว สอนให้พอมีพอกินและยอมรับธรรมชาติ พูดง่ายๆ ก็คือไม่ได้กะตือรือร้นที่จะฝืนธรรมชาติมากนัก สอนให้ยินยอมถ่อมตนกับธรรมชาติ แบบ zen เป็นต้น
ต่างจากตะวันตกที่เขามองว่าวิทยาศาสตร์สามารถเอาชนะข้อจำกัดทางธรรมชาติ ตอบสนองการบริโภคได้ยิ่งมากยิ่งดี เช่นตัดไม้ทำลายป่าไม่เป็นไร สู้เราคิดหาวิธีดัดแปลงพันธุกรรมต้นไม้ ให้สามารถโตเป็นต้นใหญ่ภายในเวลารวดเร็วทันใจแบบนี้สิดีกว่า จะตัดเท่าไหร่ก็ได้ เนื้อสัตว์ไม่พอ ดัดแปลงพันธุกรรมให้มันออกลูกดกๆ มีเนื้อเยอะๆ สิ จะได้เพียงพอกับความต้องการ
แต่อีกด้านหนึ่ง ศาสนาพุทธแบบไทย ก็มีการแบ่งชั้น แบ่งบุญกรรม แบ่งชาติกำเนิด ทำให้เรื่องความสามารถในการบริโภคเป็นเรื่องของการแบ่งชนชั้นทางสังคม เช่น ผมสู้ชีวิตจนมีรถซุปเปอร์คาร์ขับได้ ขอบคุณบุญวาสนาโอกาส คือมันมี mindset ของการเป็น Survivor ผู้รอด และ Champion ผู้ชนะ แต่ขณะเดียวกันใครที่มาไม่ถึงก็จะถูกตราว่าเป็น loser ในระบบทุนนิยม
ตรงนี้ค่อนข้างอ่อนไหว sensitive อยู่เหมือนกัน หลายๆ เคสเจอแล้วถอนหายใจ เจอแม้กระทั่งให้ฆ่าสัตว์สงวนเพื่อให้ได้เงิน ทำผิดกฎหมาย ฉ้อโกงให้ได้มาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ทัดหน้าเทียมตากับคนอื่นๆ ก็จะทำ
ส่วนตัวผมศรัทธาในระบบประชาธิปไตยกึ่งสังคมนิยมแบบยุโรปมากกว่า ถัวเฉลี่ยความสุขความทุกข์แต่ละคนด้วยภาษีสาธารณะ คือทุกคนต่างรัก ต่างใฝ่หาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับตนเองและครอบครัว แต่ถ้ามันเกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูง สมดุลตราชั่งตรงนี้ก็จะพังไป พ่อค้าวาณิชย์ นักลงทุนต่างๆ ก็รวยเอาๆ และมีคุณภาพชีวิตที่สูงโยชน์จนเหมือนอาชีพอื่นๆ จนดูกระจอกไร้อนาคตไปเลย แต่เราก็คงอยากให้มีนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ มีครูเก่งๆ มีนักพยากรณ์อากาศเก่งๆ นักโบราณคดีเก่งๆ มันยังมีอีกหลายอาชีพที่มีความสำคัญแบบไม่ต้องอิงเรื่องความก้าวหน้าทางธรุกิจหรือตลาดทุน แต่พอระบบเศรษฐกิจมันมีความเหลื่อมล้ำสูง คุณภาพชีวิตต่างกันมาก คนบางคนที่เหมาะจะไม่บ้าเงิน อาจกลับกลายเป็นละทิ้งความฝันอุดมการณ์แล้วกลายเป็นคนบ้าเงิน บ้าความเป็นอภิชนก็ได้ ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าสูญเปล่ายิ่ง เกิด psuedo money game เล่นแร่แปรธาตุเรื่องเงินเรื่องเก็งกำไรกันอย่างเดียว แต่หาผลิตภาพทางเศรษฐศาสตร์แบบ tangible ที่จับต้องได้จริงๆ ไม่มี เพราะทุกคนต่างไม่อยากเหนื่อยให้ใคร และมองว่าอยากให้คนอื่นมาเหนื่อยให้ตัวเองสบาย ระบบคิดแบบนี้ถ้าคิดกันทุกผู้ทุกคน ผมว่าวันหนึ่งทุนนิยมจะถึงทางตันจนเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครับ
เคยมีกระทู้หนึ่งในพันทิป ถามเชิงปรัชญาเศรษฐศาสตร์แบบซื่อๆ นะ เขาตั้งคำถามว่า ทำไม อาหารจานนึงที่ให้ปริมาณและคุณภาพไล่เลี่ยกัน แต่เมื่อใช้ค่าเงินที่ต่างกัน บางประเทศถูกแสนถูก บางประเทศแพงแสนแพง บางคนก็ตอบเชิงด่าว่าโลกสวย บางคนก็ตอบว่าก็น่าคิดนะมันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ให้กับมนุษยชาติ
บางเวทีอภิปราย เริ่มพูดถึงเรื่อง basic universal income (รายได้ขั้นต่ำพื้นฐานที่คนทั่วโลกควรจะได้เท่ากัน)
ถ้าให้วิพากษ์ในเชิงวัฒนธรรม ผมว่าสังคมไทยมีลักษณะที่เป็น paradox ขัดแย้งกันเองกับระบบทุนนิยมโลกใหม่อยู่ คือด้านหนึ่ง ศาสนาพุทธรวมถึงนิกายต่างๆ ในเอเชียโดยรวมไม่ได้สอนให้เอาชนะธรรมชาติเอาชนะพระเจ้าโชคชะตาเหมือนตะวันตกที่ผ่านยุคหลงศาสนาแล้ว สอนให้พอมีพอกินและยอมรับธรรมชาติ พูดง่ายๆ ก็คือไม่ได้กะตือรือร้นที่จะฝืนธรรมชาติมากนัก สอนให้ยินยอมถ่อมตนกับธรรมชาติ แบบ zen เป็นต้น
ต่างจากตะวันตกที่เขามองว่าวิทยาศาสตร์สามารถเอาชนะข้อจำกัดทางธรรมชาติ ตอบสนองการบริโภคได้ยิ่งมากยิ่งดี เช่นตัดไม้ทำลายป่าไม่เป็นไร สู้เราคิดหาวิธีดัดแปลงพันธุกรรมต้นไม้ ให้สามารถโตเป็นต้นใหญ่ภายในเวลารวดเร็วทันใจแบบนี้สิดีกว่า จะตัดเท่าไหร่ก็ได้ เนื้อสัตว์ไม่พอ ดัดแปลงพันธุกรรมให้มันออกลูกดกๆ มีเนื้อเยอะๆ สิ จะได้เพียงพอกับความต้องการ
แต่อีกด้านหนึ่ง ศาสนาพุทธแบบไทย ก็มีการแบ่งชั้น แบ่งบุญกรรม แบ่งชาติกำเนิด ทำให้เรื่องความสามารถในการบริโภคเป็นเรื่องของการแบ่งชนชั้นทางสังคม เช่น ผมสู้ชีวิตจนมีรถซุปเปอร์คาร์ขับได้ ขอบคุณบุญวาสนาโอกาส คือมันมี mindset ของการเป็น Survivor ผู้รอด และ Champion ผู้ชนะ แต่ขณะเดียวกันใครที่มาไม่ถึงก็จะถูกตราว่าเป็น loser ในระบบทุนนิยม
ตรงนี้ค่อนข้างอ่อนไหว sensitive อยู่เหมือนกัน หลายๆ เคสเจอแล้วถอนหายใจ เจอแม้กระทั่งให้ฆ่าสัตว์สงวนเพื่อให้ได้เงิน ทำผิดกฎหมาย ฉ้อโกงให้ได้มาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ทัดหน้าเทียมตากับคนอื่นๆ ก็จะทำ
ส่วนตัวผมศรัทธาในระบบประชาธิปไตยกึ่งสังคมนิยมแบบยุโรปมากกว่า ถัวเฉลี่ยความสุขความทุกข์แต่ละคนด้วยภาษีสาธารณะ คือทุกคนต่างรัก ต่างใฝ่หาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับตนเองและครอบครัว แต่ถ้ามันเกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูง สมดุลตราชั่งตรงนี้ก็จะพังไป พ่อค้าวาณิชย์ นักลงทุนต่างๆ ก็รวยเอาๆ และมีคุณภาพชีวิตที่สูงโยชน์จนเหมือนอาชีพอื่นๆ จนดูกระจอกไร้อนาคตไปเลย แต่เราก็คงอยากให้มีนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ มีครูเก่งๆ มีนักพยากรณ์อากาศเก่งๆ นักโบราณคดีเก่งๆ มันยังมีอีกหลายอาชีพที่มีความสำคัญแบบไม่ต้องอิงเรื่องความก้าวหน้าทางธรุกิจหรือตลาดทุน แต่พอระบบเศรษฐกิจมันมีความเหลื่อมล้ำสูง คุณภาพชีวิตต่างกันมาก คนบางคนที่เหมาะจะไม่บ้าเงิน อาจกลับกลายเป็นละทิ้งความฝันอุดมการณ์แล้วกลายเป็นคนบ้าเงิน บ้าความเป็นอภิชนก็ได้ ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าสูญเปล่ายิ่ง เกิด psuedo money game เล่นแร่แปรธาตุเรื่องเงินเรื่องเก็งกำไรกันอย่างเดียว แต่หาผลิตภาพทางเศรษฐศาสตร์แบบ tangible ที่จับต้องได้จริงๆ ไม่มี เพราะทุกคนต่างไม่อยากเหนื่อยให้ใคร และมองว่าอยากให้คนอื่นมาเหนื่อยให้ตัวเองสบาย ระบบคิดแบบนี้ถ้าคิดกันทุกผู้ทุกคน ผมว่าวันหนึ่งทุนนิยมจะถึงทางตันจนเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
โลกทุนนิยมครับ
1.เงินคือทุกสิ่ง
2.ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก
ผมดีใจนะกับคนที่รวย ประสบความสำเร็จแล้วมีความสุข
แต่มันจะมีจริงๆแบบนั้นซักกี่คน ผมเจอคนมามาก แทบไม่เคยเห็นคนรวย ประสบความสำเร็จมีความสุขเลย
ถามพวกเขา เขาบอกว่า ชีวิตสบาย แต่ไม่มีความสุข เกือบทุกคน
สบายเพราะมีเงินทองใช้ ไม่ต้องกังวลกับเงิน
แต่ไม่มีความสุขเพราะต้องกังวลเรื่องต่างๆที่ไม่ใช่เงิน เช่น ชื่อเสียง บริษัท พนักงาน ครอบครัว โอกาสในธุรกิจ โลกที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น Nokia Kodak SUN Solaris
คำถามสุดท้ายก็วกกลับมาที่ เราต้องการอะไร?
ผมคงไม่บอกว่าผมเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะทุกวันนี้ผมก็ทำงานหาเงินตามปกติ
ผมไม่ได้รวยล้นฟ้าขนาดที่ลาออกจากงานมาแล้วมีเงินใช้สบายๆ
แต่ผมก็ไม่ได้ลำบากขนาดที่เงินชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่เหลือเก็บ
คำถามคือ ความสุขของเราอยู่ที่ไหน มันไม่เหมือนกันหรอกครับความสุข
แต่ความสบายของคนเราอยู่ที่ไหน มันมักจะต้องใช้เงินที่นั่นเสมอ เช่น แอร์เย็นๆกับอากาศร้อนๆ รถหรูๆนั่งสบายๆเบาะนุ่มๆเสียงเงียบๆ
แยกให้ออกครับ ความสบาย กับ ความสุข มันคนละอย่างกัน
แต่คนเราส่วนใหญ่ชอบมองว่ามันคือสิ่งเดียวกัน เพราะมันก็ใกล้เคียงกันจริงๆนั่นแหละครับ
1.เงินคือทุกสิ่ง
2.ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก
ผมดีใจนะกับคนที่รวย ประสบความสำเร็จแล้วมีความสุข
แต่มันจะมีจริงๆแบบนั้นซักกี่คน ผมเจอคนมามาก แทบไม่เคยเห็นคนรวย ประสบความสำเร็จมีความสุขเลย
ถามพวกเขา เขาบอกว่า ชีวิตสบาย แต่ไม่มีความสุข เกือบทุกคน
สบายเพราะมีเงินทองใช้ ไม่ต้องกังวลกับเงิน
แต่ไม่มีความสุขเพราะต้องกังวลเรื่องต่างๆที่ไม่ใช่เงิน เช่น ชื่อเสียง บริษัท พนักงาน ครอบครัว โอกาสในธุรกิจ โลกที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น Nokia Kodak SUN Solaris
คำถามสุดท้ายก็วกกลับมาที่ เราต้องการอะไร?
ผมคงไม่บอกว่าผมเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะทุกวันนี้ผมก็ทำงานหาเงินตามปกติ
ผมไม่ได้รวยล้นฟ้าขนาดที่ลาออกจากงานมาแล้วมีเงินใช้สบายๆ
แต่ผมก็ไม่ได้ลำบากขนาดที่เงินชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่เหลือเก็บ
คำถามคือ ความสุขของเราอยู่ที่ไหน มันไม่เหมือนกันหรอกครับความสุข
แต่ความสบายของคนเราอยู่ที่ไหน มันมักจะต้องใช้เงินที่นั่นเสมอ เช่น แอร์เย็นๆกับอากาศร้อนๆ รถหรูๆนั่งสบายๆเบาะนุ่มๆเสียงเงียบๆ
แยกให้ออกครับ ความสบาย กับ ความสุข มันคนละอย่างกัน
แต่คนเราส่วนใหญ่ชอบมองว่ามันคือสิ่งเดียวกัน เพราะมันก็ใกล้เคียงกันจริงๆนั่นแหละครับ
ความคิดเห็นที่ 6
ผมไม่ค่อยได้คุยกับชาวต่างชาติ
สังคมขี้อวด ไม่ว่าอะไรก็อวดๆ ๆ ตอนแรกคนมีอวด ต่อๆไปคนไม่มีก็อยากจะอวดบ้าง ทำงัยหล่ะ? ก็ต้องหาวิธีกันไปตามปัญญาที่มี
ก่อนนี้เที่ยวแค่ภูเก็ตก็หรูแล้ว เดี๋ยวนี้ต้องญี่ปุ่น ไม่ก็ไปใกล้ยันขั้วโลกตะวันตก
ก่อนนี้ยืดๆผมหน่อยๆก็พอ เดี๋ยวนี้ต้องใส่จมูก ตัดกล้าม
สังคมบ้านเราเปลี่ยนไป คนไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็แห่ตามเค้าไป
... พิมพ์มาพิม์ไป เริ่มออกทะเลไปเกาหลีเหนือแล้ว 555+
สังคมขี้อวด ไม่ว่าอะไรก็อวดๆ ๆ ตอนแรกคนมีอวด ต่อๆไปคนไม่มีก็อยากจะอวดบ้าง ทำงัยหล่ะ? ก็ต้องหาวิธีกันไปตามปัญญาที่มี
ก่อนนี้เที่ยวแค่ภูเก็ตก็หรูแล้ว เดี๋ยวนี้ต้องญี่ปุ่น ไม่ก็ไปใกล้ยันขั้วโลกตะวันตก
ก่อนนี้ยืดๆผมหน่อยๆก็พอ เดี๋ยวนี้ต้องใส่จมูก ตัดกล้าม
สังคมบ้านเราเปลี่ยนไป คนไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็แห่ตามเค้าไป
... พิมพ์มาพิม์ไป เริ่มออกทะเลไปเกาหลีเหนือแล้ว 555+
ความคิดเห็นที่ 26
แปลว่าคุณยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมประเทศอื่นอย่างจริงจัง
เอาแค่ญี่ปุ่นที่คุณยกตัวอย่างมา เขาแข่งขันกันแทบตาย ที่คุณบอกแค่ได้เป็นพนักงานก็จบแล้ว
ม.ญี่ปุ่นเขาเรียนอัดเก็บหน่วยกิตให้จบกันตั้งแต่ปี3 เพื่อที่ปี4จะได้มีเวลาหางานเต็มที่
พอปี4คุณต้องวิ่งวุ่นหางาน พร้อมทำโปรเจคเจ็บ
หางานเขาไม่ใช่แค่ส่งRESUME รอสัมภาษณ์จบนะครับ คุณต้องไปฟังงานสัมมนารีครูทเขา บางบริษัทมี1-2ครั้ง คุณต้องไปฟังให้ครบที่เขากำหนด(ไปเช็คชื่อ) บางที่จัด5ครั้ง ครั้งละ3ชม.อยู่ไกลบ้านกุ300กิโล คุณก็ต้องถ่อไปให้ครบ5ครั้ง
แล้วไม่ใช่สมัครกันบ.เดียว เด็กญี่ปุ่นถ้าไม่ใช่หัวกะทิ แบบพื้นๆเขาสมัครกัน30-50บริษัท สัมภาษณ์กัน3-4ครั้ง(ต่อบริษัท)
แถมนะ มีข้อสอบเตรียมหางานที่ต้องไปนั่งเรียนเพิ่มทุกคณะ เพราะไม่ใช่เนื้อหาที่สอน ชื่อIPS เอาง่ายๆ ต้องไปสัมนาของบ.นั้น-ส่งRESUME-สอบข้อเขียน-สัมภาษณ์1-สัมภาษณ์2-สัมภาษณ์3-สัมภาษณ์ประธาน ต้องผ่านหมดนี่คุณถึงจะได้งาน
ตอนหางาน บังคับเด็ดขาด ใส่สูทเท่านั้น ชุดไม่ผ่าน ทรงผมไม่ผ่าน ตกตั้งแต่ไปสัมนาแล้ว
ที่หนักสุด ถ้าจบปี4แล้วคุณยังหางานไม่ได้ ชีวิตเหมือนจบสิ้น ที่เรียนไป4ปีไม่ได้อะไร เพราะจะหางานยากขึ้นหลายเท่าตัว ไม่มีหรอกแบบไทย จบมหาลัยมานั่งโง่ก่อนครึ่งปี หรือปีนึงค่อยหางาน ไทยมันโครตชิวครับ ใครบอกลำบากเถียงจนขอบฟากโลกเลย
พอเข้าบริษัทไปปุ๊บ ต้องไปลุ้นอีก เข้าบ.โหดไหม ต้องเจอOTทุกวัน ทำถึง4-5ทุ่มไหม OTฟรีไหม
ใครแจ็คแพ็คเจอที่กาก หัวหน้ากากก็โครตซวย เพราะญี่ปุ่นเปลี่ยนงานยากกว่าไทยมากกกก แต่ก่อนนี่แถบเป็นไปไม่ได้ เด๋วนี้เริ่มง่ายขึ้นมานิด
เพราะถ้าออกงาน จะเหมือนมีตราบาปติดตัว ยิ่งโดนไล่ออกนี่ ไปสมัครที่ไหนเขาก็จะถามคุณรัวๆ เช็คประวัติที่เก่าคุณ โทรไปถามหัวหน้าเก่าคุณ บลาๆๆๆๆๆ
ใครบอกไทยแข่งขันสังคมเครียด ตปท.ชิวกว่าก็ฝันต่อไปครับ
เอาแค่ญี่ปุ่นที่คุณยกตัวอย่างมา เขาแข่งขันกันแทบตาย ที่คุณบอกแค่ได้เป็นพนักงานก็จบแล้ว
ม.ญี่ปุ่นเขาเรียนอัดเก็บหน่วยกิตให้จบกันตั้งแต่ปี3 เพื่อที่ปี4จะได้มีเวลาหางานเต็มที่
พอปี4คุณต้องวิ่งวุ่นหางาน พร้อมทำโปรเจคเจ็บ
หางานเขาไม่ใช่แค่ส่งRESUME รอสัมภาษณ์จบนะครับ คุณต้องไปฟังงานสัมมนารีครูทเขา บางบริษัทมี1-2ครั้ง คุณต้องไปฟังให้ครบที่เขากำหนด(ไปเช็คชื่อ) บางที่จัด5ครั้ง ครั้งละ3ชม.อยู่ไกลบ้านกุ300กิโล คุณก็ต้องถ่อไปให้ครบ5ครั้ง
แล้วไม่ใช่สมัครกันบ.เดียว เด็กญี่ปุ่นถ้าไม่ใช่หัวกะทิ แบบพื้นๆเขาสมัครกัน30-50บริษัท สัมภาษณ์กัน3-4ครั้ง(ต่อบริษัท)
แถมนะ มีข้อสอบเตรียมหางานที่ต้องไปนั่งเรียนเพิ่มทุกคณะ เพราะไม่ใช่เนื้อหาที่สอน ชื่อIPS เอาง่ายๆ ต้องไปสัมนาของบ.นั้น-ส่งRESUME-สอบข้อเขียน-สัมภาษณ์1-สัมภาษณ์2-สัมภาษณ์3-สัมภาษณ์ประธาน ต้องผ่านหมดนี่คุณถึงจะได้งาน
ตอนหางาน บังคับเด็ดขาด ใส่สูทเท่านั้น ชุดไม่ผ่าน ทรงผมไม่ผ่าน ตกตั้งแต่ไปสัมนาแล้ว
ที่หนักสุด ถ้าจบปี4แล้วคุณยังหางานไม่ได้ ชีวิตเหมือนจบสิ้น ที่เรียนไป4ปีไม่ได้อะไร เพราะจะหางานยากขึ้นหลายเท่าตัว ไม่มีหรอกแบบไทย จบมหาลัยมานั่งโง่ก่อนครึ่งปี หรือปีนึงค่อยหางาน ไทยมันโครตชิวครับ ใครบอกลำบากเถียงจนขอบฟากโลกเลย
พอเข้าบริษัทไปปุ๊บ ต้องไปลุ้นอีก เข้าบ.โหดไหม ต้องเจอOTทุกวัน ทำถึง4-5ทุ่มไหม OTฟรีไหม
ใครแจ็คแพ็คเจอที่กาก หัวหน้ากากก็โครตซวย เพราะญี่ปุ่นเปลี่ยนงานยากกว่าไทยมากกกก แต่ก่อนนี่แถบเป็นไปไม่ได้ เด๋วนี้เริ่มง่ายขึ้นมานิด
เพราะถ้าออกงาน จะเหมือนมีตราบาปติดตัว ยิ่งโดนไล่ออกนี่ ไปสมัครที่ไหนเขาก็จะถามคุณรัวๆ เช็คประวัติที่เก่าคุณ โทรไปถามหัวหน้าเก่าคุณ บลาๆๆๆๆๆ
ใครบอกไทยแข่งขันสังคมเครียด ตปท.ชิวกว่าก็ฝันต่อไปครับ
แสดงความคิดเห็น
ยิ่งนานวันยิ่งรู้สึก ว่าคนไทยโดนบีบให้ "รวย" และ "ประสบความสำเร็จ" มากจนบางทีมากเกินไป
และรู้ว่ามาตั้งกระทู้คงไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไร
แต่ก็อยากลองพูดมุมมองของตัวเองดูว่าคนฟังแล้วเห็นด้วยไหมหรือผมบ้าอยู่คนเดียว 55+
อันดับแรก
1.การศึกษาเหมือนมีไว้คัดคนเก่งคนเลิศ ยิ่งนานยิ่งยาก เด็กเล็กๆจะเรียน ตรีโกณ กันอยู่แล้ว
การแข่งขันก็สูงต้องเข้าที่นี่ได้ที่นั่นได้ ถึงจะโอเค ต้องห้องกิฟเด็กพิเศษระดับ 2 3 4 5
คนเรียนตามไม่ไหวก็ตกเวทีเป็นแว๊นเป็นสก๊อยไป
ถ้าเด็กดีหน่อยไม่เป็นสก๊อยก็จะเข็นตัวเองเข้ามหาลัยได้ จากการติวหนัก
และดิ้นรนเอาตัวรอดไปอีก 4-5 ปี จนจบโดยแทบไม่ได้วิชาอะไรเลย
แต่การศึกษาเรากลับไม่ได้สอนว่า คนเรียนไม่เก่งจะมีอะไรให้ทำในสังคมนี้...
การใช้ชีวิตกับคนอื่นในสังคมทำยังไง การเคารพผู้อื่นทำยังไง และอีกมากมายที่ประเทศอื่นเค้าสอนกัน เค้าถึงได้พลเมืองที่ดี
(ใช่มันมีบทเรียนหน้าที่พลเมือง.... แต่ถามจริงแค่ให้ท่องว่า ผู้ชายเป็นทหาร เสียภาษี อะไรงี้มันโอเคแล้วหรอ)
2.พอจบมา หลายคนทำงานธรรมดาเงินไม่พอใช้
อย่างเช่น แค่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน ถือว่าไม่พอ ต้องถีบตัวไปอีก หาทางย้ายงาน เก็บเงินเปิดกิจการ
ตอนนี้ผมเห็นคนขายของออนไลน์เยอะมาก เพราะลำพังเงินเดือนพนักงานไม่สามารถให้ชีวิตดีๆได้
น่าแปลกที่คนบ้านเรา(ส่วนมาก)ต้องมีอาชีพมากกว่า 1 อย่าง
ในขณะที่ ญี่ปุ่น แค่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ไหนซักแห่ง ก็พอ ผ่อนรถ เลี้ยงลูกเมียไปยันแก่
ยิ่งทางยุโรปนี่เห็นมีงานทำเป็นอะไรซักอย่าง เป็นคนชงเหล้า เฝ้าผับ เค้าก็โอกันแล้ว
3.พอทำธุรกิจ เราก็ดำเนินธุรกิจแบบธรรมดาๆไม่ค่อยได้
อย่างเช่น ขายกุ้ง ก็ยัดตะกั่วกันจะได้กำไรงาม
หรือขายอะไรก็จะมีหมกเม็ดตลอด ปริมาณบ้างส่วนผสมบ้าง ไม่ขายกันตรงๆ ซื่อๆ อันนี้หลายคนน่าจะพอนึกออก
ซึ่งมันไม่ค่อยมีแบบ ร้านขายผักของคุณยายฮารุ น่ารักๆ ในประเทศเรา
ธุรกิจของเราต้องหักเหลี่ยมเฉือนคม ไม่กับคู่แข่งก็ลูกค้า 555
ขนาดค่ายมือถือบางค่ายก็ยังหมกเม็ดต่างๆ จนมีกระทู้แนะนำทุกอาทิตย์
4.แชร์ลูกโซ่/ธรุกิจสีเทา
อันนี้ไม่ขอพูดมากแต่เงินที่หมุนเวียนในระบบมันเป็นเงินจากพวกนี้เยอะเหลือเกิน
5.พอได้เงินมาก็ฟุ่มเฟือยเพราะดิ้นรนมาหนัก
คนไทยเรา(บางคน) พอ ทำงาน แข่งขันต่างๆ มีเงินแล้วก็ให้รางวัลตัวเอง ของฟุ่มเฟือยนู่นนี่นั้น เช่น
ล่าสุดไมโลถุงละ 800
แล้วก็วนกลับไปหาเงินใหม่จนกว่าจะแก่ตาย
เหมือนบ้านเราไม่ค่อยมีของพวก ผ่อนคลายจิตใจอะ คนเลยต้องเอาใจไปพึ่งกับของพวกนี้
ผมรู้คนพันทิปหลายๆคนไม่ใช่แบบนี้ อย่าเพิ่งถล่มผม แต่เท่าที่สัมผัสมาคนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้จริงๆ
ไม่รู้เราโดนปลูกฝังจากละครที่มีแต่ คุณชาย คุณนาย คนรวยปลอมตัว หรือเปล่า 555
ขอบคุณที่รับฟังครับ