คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
*** ที่ไม่ออกใบส่งสินค้า/ใบกำกับภาษี ไปตั้งแต่ครั้งแรกเพราะว่า สินค้าบางทีใช้เวลาในการขาย เกือบ 2 ปี เลยทำให้เรามีต้นทุนด้านภาษีที่สูงเกินจริงครับและหลายบริษัทเค้าแนะนำให้ทำแบบนี้ครับ ***
ข้อนี้ ระวังโดนสรรพากรเรียกเก็บย้อนหลังนะครับ โดนเบี้ยปรับเงินเพิ่มด้วย *** บริษัทคุณไม่ได้เป็นกิจการเกี่ยวกับการบริการ แต่กิจการซื้อมา-ขายไป ใบกำกับภาษี/ใบส่งของ จะต้องออกไปพร้อมกับการส่งของ ถึงแม้ของนั้นจะยังไม่ขายหรือยังไม่ขายก็ตาม และเป็นถือว่าเป็นรายได้ของบริษัทแล้ว ***
ข้อแนะนำ (ตามประสบการณ์ที่ผมทำบัญชีฝากขายสินค้า)
1. ตอนส่งสินค้าในครั้งแรก เปิด "ใบกำกับภาษี/ใบส่งของ"
2. ตอนสิ้นเดือนได้ยอดขายมา
วิธีที่ 2.1 เปิด ใบเสร็จรับเงินตามยอดที่ขายได้ หากคุณใช้โปรแกรมบัญชี บางบริษัทจะออกใบเสร็จแบบ FIFO เข้าก่อนออกก่อน ตัวอย่างเช่น ใบกำกับภาษี/ใบส่งของ เลขที่ 1 ยอดเงิน 50,000 บาท เลขที่ 2 ยอดเงิน 10,000 บาท มียอดขายเดือน 40,000 บาท โดยจะออกใบเสร็จจากใบกำกับภาษีเลขที่ 1 40,000 บาท คงเหลือ 10,000 บาท กับ ใบกำกับภาษีเลขที่ 2 อีก 10,000 บาท ซึ่งรอตัดยอดขายในเดือนถัดไป โดยไม่สนใจว่าสินค้าที่ขายจะขายอะไรไปบ้าง (จะมีปัญหาเรื่องสต็อคสินค้า ไม่แนะนำครับ)
วิธีที่ 2.2 ได้ยอดขายมา แล้วทำการทำใบลดหนี้ยอดที่ขายไม่ได้ออก จากนั้นก็ให้ออกใบเสร็จจากยอดที่ลดหนี้แล้วซึ่งเป็นยอดที่ขายได้จริง ต่อจากนั้น ก็เปิดใบกำกับภาษี/ใบส่งของใหม่ ตามยอดที่ลดหนี้ออกเพราะคุณไม่ได้รับคืนสินค้าจริงแต่เป็นการลดหนี้เพื่อลดจำนวนสินค้าที่ขายยังไม่ได้เท่านั้น (อันนี้เรื่องต้นทุนด้านภาษีไม่มีครับ จะมีตามยอดขายที่ขายได้จริงเท่านั้นเพราะมีการลดหนี้) *** แนะนำให้เลือกวิธีนี้ครับ ***
วิธีที่ 2.3 จะเหมือนกันในวิธีที่ 2.2 แต่ในบางตัวแทนเขาจะไม่ยอมให้ทำใบลดหนี้ในแต่ละเดือน แต่จะทำให้ลดหนี้ตอนสิ้นปีอย่างเดียว จะเกิดปัญหาภาษีขาย โดยคุณมีการเปิดใบกำกับภาษี/ใบส่งของ ทุกเดือน และมีการยอดภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน ซึ่งภาษีขายเป็นภาษีที่รวมกับยอดสินค้าที่ยังขายไม่ได้รวมอยู่ด้วย เมื่อทำการลดหนี้ตอนสิ้นปีจะทำให้ภาษีติดลบ อันนี้จำไม่ได้แล้วว่าตอนยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มหลังลดหนี้ทำยังไง
ถึงแม้ว่าสินค้าต้องใช้ระยะเวลาถึง 2 ปี ในการขาย แต่คุณควรทำเรื่องขอลดหนี้ทุกๆ สิ้นปี แล้วเปิดใบกำกับภาษี/ใบส่งของในปีถัดไป เพื่อลดภาระทางภาษีครับ
ข้อนี้ ระวังโดนสรรพากรเรียกเก็บย้อนหลังนะครับ โดนเบี้ยปรับเงินเพิ่มด้วย *** บริษัทคุณไม่ได้เป็นกิจการเกี่ยวกับการบริการ แต่กิจการซื้อมา-ขายไป ใบกำกับภาษี/ใบส่งของ จะต้องออกไปพร้อมกับการส่งของ ถึงแม้ของนั้นจะยังไม่ขายหรือยังไม่ขายก็ตาม และเป็นถือว่าเป็นรายได้ของบริษัทแล้ว ***
ข้อแนะนำ (ตามประสบการณ์ที่ผมทำบัญชีฝากขายสินค้า)
1. ตอนส่งสินค้าในครั้งแรก เปิด "ใบกำกับภาษี/ใบส่งของ"
2. ตอนสิ้นเดือนได้ยอดขายมา
วิธีที่ 2.1 เปิด ใบเสร็จรับเงินตามยอดที่ขายได้ หากคุณใช้โปรแกรมบัญชี บางบริษัทจะออกใบเสร็จแบบ FIFO เข้าก่อนออกก่อน ตัวอย่างเช่น ใบกำกับภาษี/ใบส่งของ เลขที่ 1 ยอดเงิน 50,000 บาท เลขที่ 2 ยอดเงิน 10,000 บาท มียอดขายเดือน 40,000 บาท โดยจะออกใบเสร็จจากใบกำกับภาษีเลขที่ 1 40,000 บาท คงเหลือ 10,000 บาท กับ ใบกำกับภาษีเลขที่ 2 อีก 10,000 บาท ซึ่งรอตัดยอดขายในเดือนถัดไป โดยไม่สนใจว่าสินค้าที่ขายจะขายอะไรไปบ้าง (จะมีปัญหาเรื่องสต็อคสินค้า ไม่แนะนำครับ)
วิธีที่ 2.2 ได้ยอดขายมา แล้วทำการทำใบลดหนี้ยอดที่ขายไม่ได้ออก จากนั้นก็ให้ออกใบเสร็จจากยอดที่ลดหนี้แล้วซึ่งเป็นยอดที่ขายได้จริง ต่อจากนั้น ก็เปิดใบกำกับภาษี/ใบส่งของใหม่ ตามยอดที่ลดหนี้ออกเพราะคุณไม่ได้รับคืนสินค้าจริงแต่เป็นการลดหนี้เพื่อลดจำนวนสินค้าที่ขายยังไม่ได้เท่านั้น (อันนี้เรื่องต้นทุนด้านภาษีไม่มีครับ จะมีตามยอดขายที่ขายได้จริงเท่านั้นเพราะมีการลดหนี้) *** แนะนำให้เลือกวิธีนี้ครับ ***
วิธีที่ 2.3 จะเหมือนกันในวิธีที่ 2.2 แต่ในบางตัวแทนเขาจะไม่ยอมให้ทำใบลดหนี้ในแต่ละเดือน แต่จะทำให้ลดหนี้ตอนสิ้นปีอย่างเดียว จะเกิดปัญหาภาษีขาย โดยคุณมีการเปิดใบกำกับภาษี/ใบส่งของ ทุกเดือน และมีการยอดภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน ซึ่งภาษีขายเป็นภาษีที่รวมกับยอดสินค้าที่ยังขายไม่ได้รวมอยู่ด้วย เมื่อทำการลดหนี้ตอนสิ้นปีจะทำให้ภาษีติดลบ อันนี้จำไม่ได้แล้วว่าตอนยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มหลังลดหนี้ทำยังไง
ถึงแม้ว่าสินค้าต้องใช้ระยะเวลาถึง 2 ปี ในการขาย แต่คุณควรทำเรื่องขอลดหนี้ทุกๆ สิ้นปี แล้วเปิดใบกำกับภาษี/ใบส่งของในปีถัดไป เพื่อลดภาระทางภาษีครับ
แสดงความคิดเห็น
สอบถามเรื่องเอกสาร ใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้า/ใบวางบิล/ใบเสร็จรับเงิน/ใบแจ้งหนี้ครับ
หลังจากที่เค้าขายสินค้าได้ในแต่ละเดือน ต้องทำการ วางบิล ใบกำกับภาษี และใบเสร็จรับเงินให้เขา ซึงไม่แน่ใจว่าต้องออกเอกสารแบบไหนถึงจะไม่ผิดครับ ควรออกแบบไหนแนะนำทีครับ (สินค้าที่ทำใบกำกับภาษีคือสินค้าที่ขายได้นะครับ ในส่วนที่ขายไม่ได้ก็รอเดือนต่อๆไป)
ตอนนี้ลังเลจะออก ตามลำดับนะครับ
1. ใบกำกับภาษี/ใบวางบิล , ใบเสร็จรับเงิน
2. ใบกำกับภาษี ใบวางบิล/ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน
3. ใบวางบิล/ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน
4. ใบส่งสินค้า/ใบกำกับภาษี ใบวางบิล/ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน
5. ใบกำกับภาษี เฉยๆ ใบวางบิล/ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน
รบกวรผู้รู้ชี้แจงให้มีครับ
***ที่ไม่ออกใบส่งสินค้า/ใบกำกับภาษี ไปตั้งแต่ครั้งแรกเพราะว่า สินค้าบางทีใช้เวลาในการขาย เกือบ 2 ปี เลยทำให้เรามีต้นทุนด้านภาษีที่สูงเกินจริงครับ
และหลายบริษัทเค้าแนะนำให้ทำแบบนี้ครับ