ขอตั้งกระทู้สักกระทู้ค่ะ...
เปรียบเทียบให้ดู....ระหว่างสร้อยเพชรและหมุดที่หายไป


ขอเล่าเรื่องย่อๆนะคะ .....

เรื่องสมัยนานมาแล้วค่ะ..แม่สร้อยเกษณีเป็นสาวงาม แทบไม่มีใครเทียบได้
แต่เธอยากจนและแต่งงานกับสามีที่ไม่ได้ร่ำรวย
เธอใฝ้ฝันจะได้สมาคมกับคนมีฐานะดีมีรสนิยม แต่งตัวสวยๆ
แล้ววันหนึ่งสามีของเธอได้นำบัตรเชิญไปงานเลี้ยงของกระทรวง
ที่ตนเองทำงานอยู่มาให้ พร้อมทั้งจัดหาเสื้อผ้าชุดสวยเพื่อให้ภรรยาที่รัก
แต่สร้อยเกษณีอยากมีเครื่องประดับด้วยจึงจะพอใจ ทั้งสองคนจึงไปขอยืมสร้อยเพชรจากคุณหญิงส้มจีนมาสวมใส่ คุณหญิงก็ใจดีมอบสร้อยเพชรให้
คืนนั้นสร้อยเกษณีมีความสุขและภาคภูมิใจมาก ที่เป็นที่สนใจของทุกคนในงาน มีแต่คนชมเชยความสวยงามของเธอที่สวมสร้อยเพชรว่างดงามยิ่ง
แต่เมื่อกลับมาบ้านเธอก็พบว่าสร้อยเพชรบนคอมันหายไป!
ตายละสิคะ...!
คุณสามีต้องไปหากู้ยืมเงินมา 10,000 บาท เพื่อหาซื้อสร้อยเพชรที่เหมือนเส้นเดิมไปคืนคุณหญิงส้มจีนโดยไม่บอกความจริง
10 ปีผ่านไป...สร้อยเกษณีและสามีเจอคุณหญิงส้มจีนอีกครั้ง
ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันไปมาว่าทำไมสร้อยเกษณีจึงดูทรุดโทรมอย่างนี้
สร้อยเกษณีเล่าแบบน้ำตาไหลพราก...
สรุปความได้ว่าเธอและคุณสามีต้องทำงานตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเพื่อทำงานใช้หนี้สร้อยเพชรเส้นนั้น
คุณหญิงส้มจีนเอามือทาบอก ตกใจ ร้องว่า..
"แม่หนูเอ๊ยย...! สร้อยเส้นนั้นฉันซื้อมาแค่ 70 บาทเท่านั้น"
(สรุปคือของปลอมนั่นเอง)
คุณค่าของสิ่งของมิใช่อยู่ที่วัตถุ...แต่อยู่ที่คนใช้ต่างหาก..
และสิ่งที่เห็นว่าเพชรแท้...มันเป็นของปลอมมาแต่ต้นหรือไม่..?
หมุดอาจมิใช่ตัวแทนประชาธิปไตยจริงๆ อย่าไปกังวล....
มาช่วยกันสร้างประชาธิปไตยแท้ๆในวันข้างหน้าจะดีกว่า...


อ้างอิงจาก..พระนิพนธ์: สร้อยคอที่หาย ของ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
เค้าเรื่องจาก..."The Necklace" Guy de Maupassant
แปลเป็นไทยชื่อเรื่อง "สร้อยคอที่หาย"
((มาลาริน)) ^_^ <<< สร้อยคอที่หายกับหมุดที่หาย>>>
เปรียบเทียบให้ดู....ระหว่างสร้อยเพชรและหมุดที่หายไป
ขอเล่าเรื่องย่อๆนะคะ .....
เรื่องสมัยนานมาแล้วค่ะ..แม่สร้อยเกษณีเป็นสาวงาม แทบไม่มีใครเทียบได้
แต่เธอยากจนและแต่งงานกับสามีที่ไม่ได้ร่ำรวย
เธอใฝ้ฝันจะได้สมาคมกับคนมีฐานะดีมีรสนิยม แต่งตัวสวยๆ
แล้ววันหนึ่งสามีของเธอได้นำบัตรเชิญไปงานเลี้ยงของกระทรวง
ที่ตนเองทำงานอยู่มาให้ พร้อมทั้งจัดหาเสื้อผ้าชุดสวยเพื่อให้ภรรยาที่รัก
แต่สร้อยเกษณีอยากมีเครื่องประดับด้วยจึงจะพอใจ ทั้งสองคนจึงไปขอยืมสร้อยเพชรจากคุณหญิงส้มจีนมาสวมใส่ คุณหญิงก็ใจดีมอบสร้อยเพชรให้
คืนนั้นสร้อยเกษณีมีความสุขและภาคภูมิใจมาก ที่เป็นที่สนใจของทุกคนในงาน มีแต่คนชมเชยความสวยงามของเธอที่สวมสร้อยเพชรว่างดงามยิ่ง
แต่เมื่อกลับมาบ้านเธอก็พบว่าสร้อยเพชรบนคอมันหายไป!
ตายละสิคะ...!
คุณสามีต้องไปหากู้ยืมเงินมา 10,000 บาท เพื่อหาซื้อสร้อยเพชรที่เหมือนเส้นเดิมไปคืนคุณหญิงส้มจีนโดยไม่บอกความจริง
10 ปีผ่านไป...สร้อยเกษณีและสามีเจอคุณหญิงส้มจีนอีกครั้ง
ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันไปมาว่าทำไมสร้อยเกษณีจึงดูทรุดโทรมอย่างนี้
สร้อยเกษณีเล่าแบบน้ำตาไหลพราก...
สรุปความได้ว่าเธอและคุณสามีต้องทำงานตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเพื่อทำงานใช้หนี้สร้อยเพชรเส้นนั้น
คุณหญิงส้มจีนเอามือทาบอก ตกใจ ร้องว่า..
"แม่หนูเอ๊ยย...! สร้อยเส้นนั้นฉันซื้อมาแค่ 70 บาทเท่านั้น"
(สรุปคือของปลอมนั่นเอง)
คุณค่าของสิ่งของมิใช่อยู่ที่วัตถุ...แต่อยู่ที่คนใช้ต่างหาก..
และสิ่งที่เห็นว่าเพชรแท้...มันเป็นของปลอมมาแต่ต้นหรือไม่..?
หมุดอาจมิใช่ตัวแทนประชาธิปไตยจริงๆ อย่าไปกังวล....
มาช่วยกันสร้างประชาธิปไตยแท้ๆในวันข้างหน้าจะดีกว่า...
อ้างอิงจาก..พระนิพนธ์: สร้อยคอที่หาย ของ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
เค้าเรื่องจาก..."The Necklace" Guy de Maupassant
แปลเป็นไทยชื่อเรื่อง "สร้อยคอที่หาย"