Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Toni Erdmann {Maren Ade}, 2016

Toni Erdmann เล่าเรื่องของวินฟรีด คอนราดี้ คุณครูสอนเปียโนของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ผมสีดอกเลาเหมือนสีขนหมาแก่ๆของเขาชื่อวิลลี่ ตัวเขาจะมีเสียงแปลกๆ ดังออกมา หลายคนคิดว่ามันคือระเบิด แต่จริงๆมันคือเครื่องวัดความดันพกพา เขาอาจจะสุขภาพไม่ดีนัก เขามีลูกสาวชื่ออิเนส เขาเลิกรากับภรรยาแล้ว ต่างคนต่างมีชีวิตใหม่ เขามีนิสัยที่ชอบแกล้งคน ฉากแรกที่เราเห็นคือเขาแกล้งบุรุษไปรษณีย์ว่ามีน้องฉายชื่อโทนี่ เอิร์ดมาน เพิ่งออกมาจากคุก และสั่งของลามกทางไปรษณีย์อยู่ประจำ เวลาที่วินฟรีดจะแกล้งคน เขาจะเอาฟันเหยินปลอมมาใส่ ซึ่งมาเรน ผู้กำกับหนังเธอก็เล่าว่าได้แรงบันดาลใจจากแอนดี้ คอฟแมน และพ่อของเธอเองที่เวลาจะเล่นมุก  เขามักจะใส่ฟันปลอมที่เธอให้พ่อ เธอได้ฟันปลอมมาจากงานฉายรอบพรีเมียร์ของหนังชุดออสติน พาวเวอร์ตอนแรก เมื่อเธออายุยี่สิบปี

เช้าวันหนึ่งเขารู้ว่าลูกสาวจะมาเยี่ยม วันที่เขาพาเด็กๆไปแสดงในวันอำลาคุณครูที่โรงเรียนท่านหนึ่ง หลังจากที่ไปเยี่ยมคุณแม่ของเขาที่ดูอ่อนแรงอิดโรยตามกาลเวลาผู้สูงอายุ เพื่อเอาขนมอบสำเร็จรูปไปฝาก ถึงสุดท้ายคุณแม่เขาปฏิเสธจะรับ (เราเดาว่าเธอคงชอบที่จะทำขนมมากว่าที่ใช้ไมโครเวฟ) และได้บอกกับเธอไว้ว่าจะพาหลานสาวมาเยี่ยมในวันพรุ่งนี้ ทุกๆ ที่เขาไป ดูเหมือนว่าทุกคนตกใจกับใบหน้าโจ๊กเกอร์เปื้อนสีจากการแสดงที่โรงเรียน ยกเว้นก็แต่แม่ของเขาที่ทำหน้าเอือมระอาลูกชายที่ยังเล่นราวกับเป็นเด็กน้อยอยู่

เขาขอยืมหมวกปีกกว้างใบหนึ่งของแม่ (ซึ่งมีหลายใบ แม่เขาชอบสะสม) เพื่อจะไปพบลูกสาวคนเดียวของเขาที่บ้านอดีตภรรยา ดูเหมือนว่าที่นั่นจะจัดงานอะไรสักอย่างกัน เขาถามขึ้นกลางวงสนทนาว่าจัดงานอะไร เขาเสียใจมากเมื่อไม่ทราบมาก่อนว่า ภรรยาเธอและครอบครัวใหม่ของเธอ จะจัดงานวันเกิดให้ “สปาเกตตี้” (ชื่อเล่นอิเนสที่วินฟรีดเรียก) ล่วงหน้าเพราะลูกสาวคงไม่สะดวกในวันนั้น เขาทำท่าบีบคอล้อเลียนสามีใหม่ของอดีตภรรยา มีชายคนหนึ่งในวงสนทนาที่อาจจะเป็นลูกของพี่สาวหรือน้องสาว กำลังจะมีลูก เขาอวยพรให้ทั้งคู่ว่า “จงรักกันให้มาก” ตัวเขาเองที่ไม่อาจรักษาสายสัมพันธ์อันดีกับอดีตภรรยาเขาไว้ได้ สะท้อนถึงปมในใจลึกๆ ภายใต้ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มตลอดเวลาของเขา เขาคนนั้นเองได้พูดขึ้นมาว่าจริงๆ อิเนสก็ทำงานแค่ที่ปรึกษาบริษัท ไม่ใช่เจ้าของบริษัทน้ำมัน

เขาพบว่ารอบนี้ ลูกสาวของเขาที่นั่งเครื่องมาจากเซี่ยงไฮ้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย การเปลี่ยนที่ทำงาน ชีวิตการทำงานที่ดูเหมือนเขาจะตกข่าวอยู่พอสมควร เรื่องราวส่วนใหญ่ก็ถูกเล่าผ่านปากสามีใหม่ นี่เองคงทำให้เขารู้สึกถึงบทบาทของพ่อที่เขายังอาจยังทำได้ไม่ดีพอ เขาพูดติดตลกถึงความตกข่าวของลูกว่า “ผมคงต้องหาอะไรมาจดข้อมูลลูกสาวแล้วละ” อาจจะเพราะตัวเขาแก่ลงด้วยและความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคงระหองระแหงและห่างไกลกันพอควร และเขาเองก็คงมีโอกาสไปมาหาสู่กับอดีตภรรยาไม่มากนัก อิเนสได้แต่คุยโทรศัพท์ แทบตลอดเวลาที่อยู่บ้าน บทสนทนาน้อยนิดที่ได้มีโอกาสทักทายคุยกัน

“ถ้าพ่อได้ไปเที่ยวบูคาเรสต์ พ่อจะเอาของขวัญไปให้นะ” วินฟรีดพูดขึ้นตอนใส่ฟันปลอม ดูเหมือนว่าเขาจะพูดเล่นๆ

หลังจากนั้นเองเขาและอดีตภรรยาที่เป็นหมอฟันก็ได้เปิดใจและต่างก็สังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงของลูก เธอดูจะตึงเครียด เอาจริงเอาจังกับงานมากเกินไป

“เราคงทำอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ” วินฟรีดตัดพ้อ

วินฟรีดขอร้องให้ภรรยาซ่อมฟันปลอมที่มีรอยร้าว เธอรับปาก ถึงแม้จะเดินกันคนละเส้นทางแล้ว แต่เธอก็ยังบอกว่า วินฟรีดคือคนไข้คนพิเศษของเธออยู่ เขาพูดติดตลกว่าอยากให้เธอเอาฟันปลอมยึดกับปากของเขาไปเลย

หลังจากนั้นวินฟรีดได้เข้าไปหาลูกสาวที่กำลังยุ่งกับการเรื่องงานผ่านโทรศัพท์

“พ่อจะไปแล้วเหรอ?”
“ใช่ ต้องไปแล้วละ”
“อยากไปกินข้าวบ้านย่าพรุ่งนี้ไม๊?” วิฟรีดสัญญากับแม่ไว้แล้ว
“หนูต้องไปขึ้นเครื่องบินสิบโมงเช้าคะ”
“พ่อได้บอกย่าไม๊ว่าหนูมา?” เธอเสียใจที่จะไม่ได้เจอย่า
“ไม่เป็นไรๆ” วิฟริดคงเสียใจแทนย่าที่จะไม่ได้เจอหลานสาว

ชีวิตที่ยุ่งงานของอินเนส ทำให้วินฟรีดตัดพ้อแกมตลกมาว่า เขาได้จ้างลูกสาวตัวปลอมเพื่อจะได้ไปพบย่าตามสัญญาในวันพรุ่งนี้ ซึ่งลึกๆ เราว่าเขาเสียใจที่ลูกสาวไม่มีเวลาให้เขา แต่ลูกสาวเธอกับมีท่าทีที่เครียดและจริงจังที่พ่อพูดว่าเขาจะจ้างลูกสาวตัวปลอม

“ก็ดีสิคะ ลูกสาวตัวปลอมจะได้โทรหาพ่อในวันเกิด หนูจะได้ไม่ต้องทำแล้ว”
“พ่อพูดเล่นนะ” วินฟรีดถึงกับต้องพูดขึ้นว่าเขาแกล้งเล่น แต่ลูกสาวเธอไม่เล่นด้วย

ทั้งคู่ก่อนจากกัน อิเนสบอกว่าเราค่อยคุยผ่านสไกป์ เทคโนโลยีที่เธอคิดว่ามันช่วยบรรเทาความเหงา แต่สำหรับพ่อเธอมันคงทั้งยากที่จะใช้ เขาพูดว่า “เดี๋ยวจะได้ลองใช้อีกแล้ว” บ่งบอกว่า คงไม่ได้ใช้มานานมาก เขาคงถนัดจะมีปฏิสัมพันธ์กันแบบไม่ต้องใช้เทคโนโลยีมากกว่า

คืนนั้นเอง วิลลี่ดูซึมไป ในรุ่งเช้าวินฟริดไปนอนในสวนกับวิลลี่ เขาลุกไปเชคสัญญาณชีพของมัน วิลลี่นอนใต้ร่มไม้ ตรงนี้เหมือหมาบ้านเราเลย ตอนมันป่วยและกำลังจะตาย หมามันจะหาที่ชื้นๆ ร่มๆ และตายอย่างสงบ วินฟรีดดูเศร้าทีเดียว

วินฟรีดแอบไปหาลูกสาวที่บูคาเรสต์ปลอมตัวแกล้ง ในใจก็แอบคิดอยากทดสอบว่าลูกสาวจะจำเขาได้หรือไม่ และพบว่าเธอก็จำได้เพียงแต่ติดธุระกับคนสำคัญ เธอส่งแอนคา พนักงานสาวใหม่เพิ่งเรียนรู้งานในระบบธุรกิจที่ได้อิเนสเป็นเหมือนอาจารย์คอยแนะนำการปฏิบัติตัว เธอเพิ่งเริ่มก้าวเดินเข้าสูวงการ เธอดูจริงจังและเอาการเอางานมาก ระหว่างวันวิดฟรีดได้ไปเที่ยวทัวร์สายวัฒนธรรมที่ลูกสาวจัดให้หวังว่าพ่อจะชอบ แต่จริงๆแล้ว เขาอยากมาหาเธอต่างหาก หาใช่การไปชมวังของเชาเชสกู

คืนนั้นอิเนสพาพ่อของเธอไปร่วมงานที่สถานฑูตอเมริกา แต่เธอขอว่าถ้าหากเธอจะต้องติดต่อคุยงานกับเฮเนเบิร์ก เธอขอไปคนเดียว

“พ่อลองไปดูอาหารบุฟเฟต์ไม๊คะ เลือกมาเผื่อหนูด้วยนะ” เธอพูดให้พ่อไปทำอย่างอื่นเพื่อเธอจะได้ทำงานของเธอคือการติดต่อลูกค้า

แน่นอนสุดท้ายพ่อกวนๆ คนนี้ก็ได้เข้าไปรบกวนการสนทนาของเธอ แต่ฉากนั้นจริงๆแล้วเฮเนเบิร์กก็ไม่ได้สนใจจะคุยธุรกิจกับเธอเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าอิเนสจะพยายามเข้าคุยเรื่องธุรกิจแต่เฮเนเบิร์กก็เบี่ยงไปเรื่องอื่น

“คุณทำงานที่บูคาเรสต์มานานขนาดไหนแล้วนะ ผมจะได้มั่นใจ ถ้าจะถามถึงแหล่งซื้อของ”

เฮเนเบิร์กดูมีสายตาดูถูกอิเนส และมองว่าประโยชน์ของเธอคือเป็น กูรูเรื่องการชอปปิ้งให้ภรรยาของเขาได้และการกูรูอินไซด์เบื้องลึกของวงการธุรกิจโรแมเนีย ทั้งๆที่จริงๆเธอคือที่ปรึกษาธุรกิจของบริษัท แต่เขาก็มองเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำอะไรไม่ได้มาก ไม่ได้คาดหวังผลงานอะไรจากเธอนัก เขามักชอบคุยเรื่องธุรกิจกับผู้ชายด้วยกัน

หลังจากงานเลี้ยง เฮเนเบิร์กชวนไปดื่มต่อ วินฟรีดเหน็ดเหนื่อยจากการทัวร์สายวัฒนธรรมวันนี้ แต่อิเนสอยากไปเพื่อคุยธุรกิจต่อจากการที่เธอยังคุยไม่สำเร็จ

“คุณพ่อคุณ น่าจะอยากให้อยู่อยู่ด้วยหรือเปล่า” เฮเนเบิร์กไม่ห่วงธุรกิจแต่คิดว่าอิเนสน่าจะไปทำหน้าที่ของลูก

คะยั้นคะยอพ่อเธอจนได้ คราวนี้วินฟรีดกลายเป็นภาระและกีดขวางการทำงานของเธอไปเสียแล้ว

ที่วงเหล้า ผู้ชายคุยเรื่องเมียของตัวเองและชีวิตหรูหราของพวกเขา อิเนสไม่อาจแทรกประเด็นธุรกิจเข้าไปได้ เธอจึงได้คุยกับภรรยาของเฮเนเบิร์กถึงชีวิตอันสงบเงียบที่แฟรงก์เฟิร์ตซึ่งเธอไม่ได้สนใจเลย จนกระทั่งนักธุรกิจต่างถิ่นคนหนึ่งถามถึงนักธุรกิจโรแมเนียรุ่นใหม่เป็นอย่างไร

“เรามีผู้เชี่ยวชาญนั่งอยู่ตรงนี้ เธอรู้เรื่องราวเบื้องหลังทุกอย่าง”

เฮเนเบิร์กโยนคำถามมาให้อิเนส บอกว่าเธอเป็นพวกผู้รู้เรื่องเบื้องหลัง มองเธอมีนิสัยแบบผู้หญิงที่ชอบนินทารู้เรื่องเบื้องหลัง แสดงถึงเฮเนเบิร์กมีอคติกับผู้หญิง อิเนสเล่าถึงความตื่นตากับคนรุ่นใหม่ที่มีนิสัยเหมือนเธอ คือผู้ได้หลายภาษา มีความกระตือรือล้นกับการทำงาน แต่นักธุรกิจชาวโรแมเนียคนหนึ่งก็โต้ว่า คนพวกนี้สุดท้ายก็จะอยู่ที่โรแมเนียไม่ได้ ต้องไปทำงานที่อื่น เขาคิดท้ายว่าไม่ชอบคนพวกนี้เท่าไหร่ ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างจากอิเนสที่ตั้งใจมุ่งมั่นทำงาน และก็ไม่ได้ทำงานที่เยอรมัน สุดท้ายเฮเนเบิร์กก็ลดความตึงเครียดของบทสนทนาด้วยการเล่าเรื่องตลกของวินฟรีด แน่นอนว่าลุกสาวเธอไม่ตลกด้วย และเธอคงมองว่ามันทำให้เธอขายหน้า ยิ่งขาดความเชื่อมั่น ในฐานะผู้หญิงในโลกธุรกิจ

หลังจากแยกย้ายกัน นักธุรกิจสองคนก็วางแผนกันไปท่องราตรีต่อ ใช้คำพูดว่า “แกอุตส่าหนีเมียประชุมมาก็เอาให้คุ้มหน่อย” สะท้อนแนวคิดของชายที่มีต่อหญิงในหนังเรื่องนี้ ในขณะที่อิเนสมานั่งอธิบายให้กับพ่อฟังเพราะเขาฟังภาษาอังกฤษไม่ทัน

“พ่อคิดว่าจะอยู่ที่นี่กี่วัน” อิเนสถามตรงๆ เพราะเริ่มรู้สึกว่าพ่อมาขัดขวางการทำงาน นี่ขนาดแค่วันแรก
“พ่อลามาเดือนหนึ่ง” อิเนสทำหน้าไม่สบอารมณ์
“ลูกทำหน้าอย่างกับหวาดกลัวอะไรสักอย่าง” หลังจากนั้นทั้งคู่ก็นั่งเงียบ อิเนสเอือมเต็มที่ แต่ไม่อาจระบายออกมาเป็นคำพูดได้

คืนนั้นวินฟรีดได้ทำตามที่พูดไว้ เขาเอาของขวัญให้เป็นเครื่องขูดชีส เขาชอบการทำอาหารโดยเฉพาะสปาเกตตี้ เขาแอบพูดติดตลกว่าจริงๆของที่อยากให้คือเงิน ให้ลูกไปซื้อของที่อยากได้เอง เขาคงรู้แหละว่าลูกคงไม่อยากได้ของพรรค์นี้ แต่เขาอยากสิ่งนี้กับลูกเหลือเกิน นี่คงเป็นเหตุผลหลักที่เขาถึงกับบินมาโรแมเนีย ที่ที่เขามาเป็นครั้งแรกในชีวิต

“แล้วพ่อ ฝากวิลลี่ไว้กับใครคะ”
“วิลลี่ มันตายแล้ว”
“ทำไมพ่อไม่โทรหาหนู”
“พ่อก็ไม่มีเวลาเหมือนกัน” เราว่าจริงๆแล้ว พ่ออาจะคิดว่าอิเนสยุ่งมาก จนไม่น่าจะสนใจเรื่องแบบนี้ เขาคงไม่อยากรบกวนลูก

“ลูกอยากกินไส้กรอกไม๊” เราชอบมากเลย ภาพที่วัยกลางคนยังชอบเอาของพื้นบ้านที่ เขาชอบไปกินด้วยแม้ว่า จะอยู่ต่างถิ่น แต่อิเนสปฏิเสธที่จะทานมัน

เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งคู่ไปนวด ลูกสาวเขาหงุดหงิด หัวเสียมากกับการบริการที่นั่น พอพนักงานถามว่าจะให้ชดเชยด้วยอาหารเธอก็สั่งเยอะมากเหมือนเป็นการแก้แค้น แสดงถึงว่านิสัยเธอตึงเครียด ไม่ผ่อนปรน

“นั่นไม่เยอะเกินไปหน่อยเหรอ” วินฟรีดคงตกใจกับการเอาคืนของลูกสาว
“ไม่หรอกคะ บริษัทหนู เสียเงินเยอะมากให้กับที่นี่”

หลังจากนั้น วินฟรีดคงเป็นห่วงถึงความเครียดของลูกสาว คำถามนี้เขาคงอยากถามมานาน “ลูกอยู่ที่นี่มีความสุขดีไม๊” กลายเป็นว่าลูกสาวถกเถียง มันคงเป็นคำถามที่เธอเองคงหลงลืมไป ไม่ได้คิด เธอแทบไม่ได้ผ่อนคลายเลย ขนาดมาที่สปา เธอคงเครียดได้ขนาดนี้ อิเนสเป็นผู้หญิงที่อยู่ภายใต้สภาพการกดดันจากสายตาของผู้ชายในโลกธุรกิจ สภาพแวดล้อมค่อยบีบตัวเธอให้เข้มแข็ง ไม่อ่อนโยน จนเธอไม่อาจขำในมุกตลก เธอขาดสีสันในชีวิตไปแล้ว

จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอเปลี่ยนน้ำเสียงดุดันที่คุยกับพ่อ เป็นเสียงหวานคุยกับภรรยาของเฮเนเบิร์ก เธอต้องไปธุระด่วน บอกให้พ่อเธอไปเที่ยวห้างตอนนี้กับเธอ สถานที่ที่เธอว่าน่าสนใจกว่าทัวร์วัฒนธรรม วังเชาเชสกูเสียอีก คล้ายกับตอนที่เธอบีบให้พ่อไปร่วมวงเหล้าเพื่อเธอจะได้ภารกิจ วินฟรีดจ้องมองพ่อกับลูกเล่นสเกตด้วยกัน เขาคงคิดถึงเวลานั้น วันที่ลูกสาวคนนี้ยังร่าเริง ที่ในวันนี้ได้หายไปจากตัวลูกสาวเธอไปหมดแล้ว

“ลูกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า” คำถามที่วินฟรีดหลุดปากมา เขาเป็นห่วงลูกสาวมาก เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของเขา แม้ภายนอกเขาจะยิงมุกเล่นอยู่เรื่อยๆ “ล้อเล้น ที่นี่มันดีมาก” เขาบ่ายเบี่ยง เพราะเกรงว่าจะทำให้บทสนทนาตึงเครียด แต่เขาอยากรู้เต็มอก ทำไมลูกถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ นอนริมสระน้ำกับพ่อที่สปา พ่อมีคนสั่งให้ไปห้างก็ต้องไปตอนนั้น เหมือนหุ่นยนต์ เขาขอให้ลูกพากลับบ้าน เขาอยากทำสปาเกตตี้ให้ลูกทาน

“พ่อ ขอโทษที่พูดบ้าๆไป ที่ถามว่าลูกเป็นคนหรือเปล่า” เขาคงเสียใจที่วันนี้พูดอะไรไป ก็ดูเหมือนจะทำบทสนทนาระหว่างเขากับลูกตึงเครียด
“ก็ชัดเจนนิคะ ว่าพ่อคิดแบบนั้น” ใช่ชัดเจนเลยว่า คนที่ทำให้เครียด ไม่ใช่วินฟรีดหรอก แต่เป็นตัวอิเนสเอง ที่เก็บทุกการกระทำเป็นอารมณ์ ขวางหูขวางตาเธอไปเสียหมด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่