...กลไกแห่งเวลาเป็นสิ่งลึกลับชวนฉงน บางคนอาจเคยตั้งคำถามอย่างแปลกใจว่าเวลาของความสุขทำไมเดินทางรวดเร็วนัก ขณะที่เวลาของความทุกข์ กลับเดินทางอย่างเชื่องช้าอืดอาด หลายคนอาจพยายามค้นหาคำตอบได้ด้วยหลักการทางฟิสิกส์อันสลับซับซ้อนตามแบบของไอสไตล์เกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพ หลายคนวิเคราะห์โดยอาศัยหลักตรรกะ ซึ่งว่าด้วยเหตุและผล
แต่ทว่า.. สิ่งไหนล่ะคือเหตุ ไฉนผลของมันถึงได้พิสดารบานตะไท และเกิดกับใครไม่เกิด จำเพาะต้องมาเกิดกับพิริยา นักศึกษาสาวปีสี่ที่แสนจะธรรมด๊า ธรรมดา!?...
-บทนำ-
ณ จุดเดิม ในห้องที่คับแคบ ขาทั้งสองข้างของชายหนุ่มถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนขนาดมหึมา พวกนั้นคงมีเอาไว้ล่ามช้างลากซุง แม้ใจจะกระวนกระวายเป็นห่วงมากมาย แต่เขาช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย พิริยาถูกจับตัวไปแล้ว .. ข้างนอกนั่น! ที่นอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีดำสว่างไสว เพราะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ลำแสงโคโรน่ารอบดวงจันทร์ทำให้นึกถึงมนุษย์หมาป่าที่กำลังจะแปลงร่าง และถ้านี่ไม่ใช่ความฝัน เขาคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเรื่องแปลกพิสดารทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เรื่องจริง!
นานเป็นชั่วโมงแล้ว พิริยาอยู่ในพิธีบูชาไฟ หมอพราหมณ์กำลังจะทำพิธีถอนคำสาปให้กับเธอ... คำสาปอำมหิตที่ปุบปับฟ้าก็ประทานให้กับเธอแบบไม่ทันตั้งตัว คบเพลิงจำนวนมากที่ชาวบ้านต่างช่วยถือไว้กันคนละท่อน แววตาของทุกคนเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง คุณยายเมาะบอลีส่งตัวเธอให้หมอพราหมณ์ ซึ่งกำลังยืนรออยู่บนลานพิธี
พิริยาซึ่งอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีขาวทรงกระสอบ ดูสว่างกระจ่างชัดในความมืด เหมือนดั่งภาพวาดในคำทำนาย ที่ปรากฏอยู่บนตำราเสี้ยววันจักรวาล พร้อมอักษรโบราณที่สลักจารึกเป็นภาษาถิ่น มีเพียงคนเฒ่าคนแก่ที่พอจะแปลความหมายได้และจดจำสืบต่อกันมา ซึ่งโยคีเฒ่าจอกือแปลความในตำราเล่มนั้นให้ฟังเพียงสังเขปว่า...
ในคืนเพ็ญที่ลำแสงสีเหลืองทองกลับกลายเป็นสีแดงเพลิง คนแปลกหน้าที่ได้กล้ำกรายเข้ามา จะทำสายน้ำที่ได้ตกลงมาแล้วยังเบื้องล่าง ให้ย้อนกลับสู่เบื้องบน จะทำใบไม้แห้งซึ่งโรยราลงแล้วให้คืนกลับสู่ต้นแม่อันเขียวชอุ่มเสมอเหมือนเมื่อแรกผลิแห่งฤดูฝน .. แล้วบัดนั้นกฎศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเจ้าก็จะถูกล่วงละเมิด และพิริยาคือบุคคลที่ปรากฏอยู่บนคำทำนายนั้น
บนแท่นศิลาซึ่งตั้งสูงขึ้นจากพื้นราวหกฟุต เป็นเครื่องเวยเทพเจ้า ประกอบด้วยธาตุทั้งห้า คือ ดิน น้ำ ลม ไม้ และทองคำ ห่างออกไปไม่ถึงศอกเป็นเสาหินขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งเมตร พิริยาโดนมัดตรึงไว้ตรงเสาหินต้นนั้น รอบตัวเธอถูกล้อมด้วยฟางและหญ้าแห้ง กลิ่นน้ำมันเชื้อลอยคลุ้ง หมอพราหมณ์ เริ่มร่ายบทสวดภาษาถิ่น เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นพิธีบูชาไฟ แต่พิริยาคิดว่าควรจะเรียกว่าบูชายัญจึงจะถูก
เมื่อพิธีเริ่มขึ้น หญิงสาวตั้งจิตแน่วนิ่ง บอกกับตัวเองว่า ยังจะมีอะไรต้องกลัวอีก เธอเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง
เธอภาวนา ...พุทธ... โธ... ด้วยจิตอันสงบยิ่ง จวบกระทั่งไฟจากคบเพลิงลุกพรึ่บ! กระจายตัวเป็นวง และลามไปทั่วกองฟาง เปลวเพลิงสีแดงฉานลอยโชติช่วงขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
เสียงบทสวดของหมอพราหมณ์ผสานกับคำภาวนาพุทธ...โธของเธอ กึกก้องอยู่ในภวังค์ ดวงตาของเธอค่อยๆ พล่ามัว มองอะไรไม่เห็นอีก
ทว่าภายใต้ความพล่ามัวนั้น เธอมองเห็นภาพเรื่องราวบางอย่าง ซ้อนทับสลับกันเป็นฉากบางๆ สีทึมเทา บุคคลในเรื่องราว คล้ายกับว่าเป็นคนที่มีอยู่จริง คนที่เธอรู้จัก ก่อนที่ทุกโสตประสาทของเธอจะดับวูบลง...
...จบบทนำค่ะ...
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๐ ค่ะ
...ขอขอบคุณท่านผู้อ่านที่แวะเข้ามาอ่านนวนิยายเรื่องนี้นะคะ ^^
อันตร-กาล..ห้วงเวลาพิศวง
แต่ทว่า.. สิ่งไหนล่ะคือเหตุ ไฉนผลของมันถึงได้พิสดารบานตะไท และเกิดกับใครไม่เกิด จำเพาะต้องมาเกิดกับพิริยา นักศึกษาสาวปีสี่ที่แสนจะธรรมด๊า ธรรมดา!?...
-บทนำ-
ณ จุดเดิม ในห้องที่คับแคบ ขาทั้งสองข้างของชายหนุ่มถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนขนาดมหึมา พวกนั้นคงมีเอาไว้ล่ามช้างลากซุง แม้ใจจะกระวนกระวายเป็นห่วงมากมาย แต่เขาช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย พิริยาถูกจับตัวไปแล้ว .. ข้างนอกนั่น! ที่นอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีดำสว่างไสว เพราะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ลำแสงโคโรน่ารอบดวงจันทร์ทำให้นึกถึงมนุษย์หมาป่าที่กำลังจะแปลงร่าง และถ้านี่ไม่ใช่ความฝัน เขาคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเรื่องแปลกพิสดารทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เรื่องจริง!
นานเป็นชั่วโมงแล้ว พิริยาอยู่ในพิธีบูชาไฟ หมอพราหมณ์กำลังจะทำพิธีถอนคำสาปให้กับเธอ... คำสาปอำมหิตที่ปุบปับฟ้าก็ประทานให้กับเธอแบบไม่ทันตั้งตัว คบเพลิงจำนวนมากที่ชาวบ้านต่างช่วยถือไว้กันคนละท่อน แววตาของทุกคนเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง คุณยายเมาะบอลีส่งตัวเธอให้หมอพราหมณ์ ซึ่งกำลังยืนรออยู่บนลานพิธี
พิริยาซึ่งอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีขาวทรงกระสอบ ดูสว่างกระจ่างชัดในความมืด เหมือนดั่งภาพวาดในคำทำนาย ที่ปรากฏอยู่บนตำราเสี้ยววันจักรวาล พร้อมอักษรโบราณที่สลักจารึกเป็นภาษาถิ่น มีเพียงคนเฒ่าคนแก่ที่พอจะแปลความหมายได้และจดจำสืบต่อกันมา ซึ่งโยคีเฒ่าจอกือแปลความในตำราเล่มนั้นให้ฟังเพียงสังเขปว่า...
ในคืนเพ็ญที่ลำแสงสีเหลืองทองกลับกลายเป็นสีแดงเพลิง คนแปลกหน้าที่ได้กล้ำกรายเข้ามา จะทำสายน้ำที่ได้ตกลงมาแล้วยังเบื้องล่าง ให้ย้อนกลับสู่เบื้องบน จะทำใบไม้แห้งซึ่งโรยราลงแล้วให้คืนกลับสู่ต้นแม่อันเขียวชอุ่มเสมอเหมือนเมื่อแรกผลิแห่งฤดูฝน .. แล้วบัดนั้นกฎศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเจ้าก็จะถูกล่วงละเมิด และพิริยาคือบุคคลที่ปรากฏอยู่บนคำทำนายนั้น
บนแท่นศิลาซึ่งตั้งสูงขึ้นจากพื้นราวหกฟุต เป็นเครื่องเวยเทพเจ้า ประกอบด้วยธาตุทั้งห้า คือ ดิน น้ำ ลม ไม้ และทองคำ ห่างออกไปไม่ถึงศอกเป็นเสาหินขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งเมตร พิริยาโดนมัดตรึงไว้ตรงเสาหินต้นนั้น รอบตัวเธอถูกล้อมด้วยฟางและหญ้าแห้ง กลิ่นน้ำมันเชื้อลอยคลุ้ง หมอพราหมณ์ เริ่มร่ายบทสวดภาษาถิ่น เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นพิธีบูชาไฟ แต่พิริยาคิดว่าควรจะเรียกว่าบูชายัญจึงจะถูก
เมื่อพิธีเริ่มขึ้น หญิงสาวตั้งจิตแน่วนิ่ง บอกกับตัวเองว่า ยังจะมีอะไรต้องกลัวอีก เธอเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง
เธอภาวนา ...พุทธ... โธ... ด้วยจิตอันสงบยิ่ง จวบกระทั่งไฟจากคบเพลิงลุกพรึ่บ! กระจายตัวเป็นวง และลามไปทั่วกองฟาง เปลวเพลิงสีแดงฉานลอยโชติช่วงขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
เสียงบทสวดของหมอพราหมณ์ผสานกับคำภาวนาพุทธ...โธของเธอ กึกก้องอยู่ในภวังค์ ดวงตาของเธอค่อยๆ พล่ามัว มองอะไรไม่เห็นอีก
ทว่าภายใต้ความพล่ามัวนั้น เธอมองเห็นภาพเรื่องราวบางอย่าง ซ้อนทับสลับกันเป็นฉากบางๆ สีทึมเทา บุคคลในเรื่องราว คล้ายกับว่าเป็นคนที่มีอยู่จริง คนที่เธอรู้จัก ก่อนที่ทุกโสตประสาทของเธอจะดับวูบลง...
...จบบทนำค่ะ...
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๐ ค่ะ
...ขอขอบคุณท่านผู้อ่านที่แวะเข้ามาอ่านนวนิยายเรื่องนี้นะคะ ^^