** หัวข้อกระทู้ อาจจะไม่เข้ากับเนื้อหาเท่าไหร่ และหากแทกผิดห้องหรืออย่างไรขออภัยด้วยนะคะ ไม่ค่อยได้เล่นพันทิปเท่าไหร่
เนื่องจากว่าได้อ่านกระทู้ของสมาชิกท่านนึง ที่ชื่อกระทู้ว่า 'เมื่อฉันไปเจออินสตราแกรมของพ่อ'
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/35396236
จึงทำให้นึกถึงเรื่องของตัวเองเรื่องนึงที่อยากจะมาเล่าให้เพื่อสมาชิกฟังบ้าง
ขอเกริ่นก่อนว่า หากท่านลองไปค้นประวัติจะพบว่า พ่อของจขกท.เสียไปตั้งแต่ต้นปีที่แล้วค่ะ และกระทู้นั้นยอมรับตรงๆ ว่า ทำให้เกิดเรื่องราวสองอย่าง
1. ตอนนี้เจ้าของกระทู้เริ่มปลงในบางสิ่ง
2. จขกท.เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองควรไปพบแพทย์ และตอนนี้ก็กำลังอยู่ในกระบวนการรักษา ทานยาและพยายามพักผ่อนให้มากขึ้นค่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้อาการดีในระดับหนึ่ง (และอาจจะไม่เกี่ยวกับกระทู้เท่าไหร่) (เรื่องที่เราจะเล่าเป็นเรื่องก่อนที่เราจะตั้งกระทู้ก่อนค่ะ)
เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งเราเกิดว่างอยากเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ และหารูปอะไรบางอย่างในเฟสบุ๊ค เลยกดเข้าไปดูในอัลบั้มรูปที่ถูกแทกของตัวเอง เราเป็นคนค่อนข้างโอเพิ่นเมื่อก่อน(เมื่อก่อน...)เราไม่เคยบล๊อกหรือยกเว้นครอบครัวเกี่ยวกับเฟสบุ๊คเรารับหมดเลย เราเจอรูปเราเมื่อตอนม.ปลาย และรูปสมัยเด็กที่แม่แทกมา (ก่อนแม่จะอันเฟสเราด้วยเหตุผลบางประการ) นั่นทำให้เราได้แต่ยิ้ม และคิดถึงอดีตเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญคือถัดไป คือ เราเจอรูปที่เราถ่ายคู่กับคุณพ่อ และเป็นรูปที่คุณพ่อของเราเป็นฝ่ายแทกมา... ตอนนั้น ตอนที่พ่อโพส เราจำได้ว่า เราแค่กดไลค์ และไม่ได้อ่านเนื้อหาอะไรเลย เพราะคอมเม้นท์เต็มไปด้วยผู้ใหญ่มากมาย และ พ่อเราเขียนคำอธิบายรูปเป็นภาษาอังกฤษและยาวมาก ด้วยความที่เราไม่ได้เก่งอิ๊งเราเลยไม่สนใจและปล่อยผ่านไป
เกือบสามปี...
ตอนนั้น พ่อเราป่วยเป็นมะเร็งค่ะ เราไม่ขอเล่ารายละเอียดเอาเป็นว่า สุดท้ายพ่อเราก็ต่อสู้กับมันจนถึงเมื่อต้นปีที่แล้ว พ่อเรามักจะอัพรูปบนเฟสบุ๊ค ถ่ายอาการเบื้องต้นของตัวเอง พ่อบอกว่าเป็นวิทยาทานให้คนอื่นเห็น คอยอัพเดทอาการตลอด ๆ และก็มีเพื่อนๆ ของพ่อมาให้กำลังใจเสมอ แต่รูปนั้น เป็นรูปถ่ายที่ถ่ายโดยแม่เรา เราทำสีหน้าเบื่อๆ เพราะ เมื่อก่อนเราไม่ค่อยถูกกับพ่อเท่าไหร่ แต่พอพ่อป่วยเราก็ค่อยๆ กลับมาดีกับพ่อตอนพ่อป่วย (อย่าด่าเราเลยค่ะ เราตระหนักรู้แล้ว และเราแก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว) และเราเป็นพวกไม่ค่อยชอบถ่ายรูปเท่าไหร่ แต่เราก็กอดคอพ่อ พ่อโอบไหล่เราและยิ้มให้กล้องเบาๆ เราทำท่าตลกๆ ดูแล้วน่าดีดหัวตัวเองมาก แต่อย่างว่าเราแก้ไขอดีตไม่ได้
ตอนที่เรากลับมาดูรูป เรารู้สึกตื้อๆ ในหัวนิดหน่อย คอมเม้นท์ของเพื่อนๆ พ่อเป็นประมาณว่า นี่คงเป็นกำลังใจสำคัญเลยใช่มั้ย และคำให้กำลังใจมากมาย เราเลยกลับมาดูคำอธิบายรูปตอนนั้นอีกรอบหนึ่ง มันเป็นภาษาอังกฤษ.. แต่เป็นเพลงภาษาอังกฤษยุคเก่าที่พ่อชอบ แถมพอมาเปิดดูทั้งหมด มันมีแปลภาษาไทยไว้ด้วยซ้ำ
เนื้อหาที่พ่อเราโพสไว้
"
When the night has come
And the land is dark
And the moon is the only light we see
No I won’t be afraid
No I won’t be afraid
Just as long as you stand, stand by me
เมื่อค่ำคืนมาเยือน
และความมืดปกคลุมทั่วดินแดน
เหลือเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่เราเห็น
ไม่, ฉันจะไม่กลัว
ตราบนานเท่าที่เธอยังยืนอยู่ข้างกัน
And darling, darling stand by me
Oh, now, now, stand by me
Stand by me, stand by me
คนดี, โปรดยืนข้างๆฉัน
ขอเพียงมีเธออยู่เคียงกัน
ไม่สิ่งใดใจต้องกลัว
.
If the sky that we look upon
Should tumble and fall
And the mountain should crumble to the sea
I won’t cry, I won’t cry
No I won’t shed a tear
Just as long as you stand, stand by me
ถ้าท้องฟ้าที่เราแหงนหน้ามอง
จะร่วงหล่นถล่มลงมา
หรือแม้ว่าขุนเขาทลายลงทะเล
ฉันจะไม่ร้องไห้
ไม่, ฉันไม่เสียน้ำตา
ตราบเท่าที่เธอยังยืนอยู่ข้างฉัน
And darling, darling stand by me
Oh, stand by me
Stand by me, stand by me, stand by me
คนดี, โปรดยืนข้างๆฉัน
ขอเพียงมีเธออยู่เคียงกัน
ไม่สิ่งใดใจต้องกลัว
.
Whenever you’re in trouble won’t you stand by me
Oh, now, now, stand by me
Oh, stand by me, stand by me, stand by me
และเมื่อใดที่เธออ้างว้าง
ขอเธอจงมายืนข้างๆฉัน
ขอเพียงเราอยู่เคียงกัน
ใจไม่หวั่นไม่เกรงกลัวสิ่งใด
Darling, darling stand by me
Stand by me
Oh stand by me, stand by me, stand by me
คนดี, โปรดยืนข้างๆฉัน
ขอเพียงมีเธออยู่เคียงกัน
ไม่สิ่งใดใจต้องกลัว
"
หลังจากเราอ่านมันจนจบ เราร้องไห้ค่ะ ร้องไม่หยุดนานมาก
ยอมรับเลยว่า เราละเลยสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของเราไป เรารู้มาตลอดว่าพ่อรักเรามากแค่ไหน รักจนขนาดแม่เรายังพูดเลยว่าพ่อเรารักเรามาก
พ่อให้ทุกอย่าง ให้เรามากมายพอที่จะให้ได้ ไม่ใช่แค่ของมีค่า หรือสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่พ่อให้เรามาทั้งแนวคิด สอนเราในเรื่องต่างๆ แม้แต่สาขาในมหาลัยที่เราเรียนตอนนี้ เรายังได้อิทธิพลมาจากการที่พ่อพูดว่าพ่อชอบวิชานี้เลยค่ะ แต่น่าเสียดายที่พ่อของเราไม่ทันได้รู้ว่าเราได้ A วิชานี้เหมือนที่พ่อเคยได้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราไม่ถูกกับพ่อด้วยซ้ำ แต่เราเพิ่งมารู้ ว่าเราได้อะไรจากพ่อมาเยอะมาก มากจนเราอธิบายไม่ถูกจริงๆ ทั้งๆ ที่เราเคยเถียงหลังชนฝาเกี่ยวกับทฤษฎีบ้าๆ ว่าลูกสาวมักจะเหมือนพ่อ ตอนนี้เราได้แต่หัวเราะโง่ๆ แล้วบอกทุกคนอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เราเป็นลูกสาวที่ถอดแบบมาจากพ่อ เลยด้วยซ้ำ
และหลังจากนั้นเราก็กลับบ้าน เราเรียนไกลจากบ้านทำให้นานๆ เรากลับมาที เรากอดแม่ แวะไปหาอาจารย์คนสนิทที่โรงเรียน และไปนั่งคุยเล่นกับน้าที่ดูแลเราตั้งแต่เด็ก
ทั้งๆ ที่เวลาผ่านไปได้ไม่นาน แต่เรากลับรู้สึกว่า ทุกคนอายุมากขึ้น ทั้งร่างกาย ผมที่ค่อยๆ เพิ่มสีขาว รอยย่นบนใบหน้า มือที่กร้านจากการทำงานหนัก ที่มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นทุกครั้ง
นั่นทำให้เราตระหนักอย่างจริงจังแล้ว... ว่าเรามีเวลากับคนที่เรารักไม่มากพอหรอก ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุด เวลาหนึ่งวันของคนเรามีเท่ากัน อยู่ที่ว่า เราจะสามารถแบ่งเวลามาให้คนสำคัญของคุณได้มากน้อยแค่ไหน และไม่ลืมมองข้ามของสำคัญบางอย่างไป ก่อนที่จะถึงจุดสิ้นสุดของคุณ หรือคนที่คุณรัก รักษาเวลาที่มีค่านั้นไว้ดีๆ นะคะ
กระทู้เรามีแค่นี้แหละค่ะ
เผื่อว่าใครสักคนที่ผ่านมา และนึกขึ้นได้ว่าเผลอมองข้ามสิ่งสำคัญอะไรบางอย่างไป
ทุกวินาทีของเรามีค่าค่ะ มันเป็นคำพูดที่ฟังได้ทั่วไป แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ขอจบกระทู้ไว้แค่นี้ อาจจะใช้ภาษางง หรือเล่าเรื่องไม่เข้าใจขออภัยด้วยนะคะ
ยอมรับค่ะ ว่าเราเป็นลูกสาวที่ค่อนข้างแย่ ด่าได้ค่ะ แต่อย่าแรง 5555
และสุดท้าย แม่เรากลับบ้านมาพอดี ขอตัวกลับไปกอดแม่สักครู่นะคะ
คุณเคยกลับมาดูรูปที่ครอบครัวแทกไว้ในเฟสบุ๊คไหม ?
เนื่องจากว่าได้อ่านกระทู้ของสมาชิกท่านนึง ที่ชื่อกระทู้ว่า 'เมื่อฉันไปเจออินสตราแกรมของพ่อ' [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จึงทำให้นึกถึงเรื่องของตัวเองเรื่องนึงที่อยากจะมาเล่าให้เพื่อสมาชิกฟังบ้าง
ขอเกริ่นก่อนว่า หากท่านลองไปค้นประวัติจะพบว่า พ่อของจขกท.เสียไปตั้งแต่ต้นปีที่แล้วค่ะ และกระทู้นั้นยอมรับตรงๆ ว่า ทำให้เกิดเรื่องราวสองอย่าง
1. ตอนนี้เจ้าของกระทู้เริ่มปลงในบางสิ่ง
2. จขกท.เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองควรไปพบแพทย์ และตอนนี้ก็กำลังอยู่ในกระบวนการรักษา ทานยาและพยายามพักผ่อนให้มากขึ้นค่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้อาการดีในระดับหนึ่ง (และอาจจะไม่เกี่ยวกับกระทู้เท่าไหร่) (เรื่องที่เราจะเล่าเป็นเรื่องก่อนที่เราจะตั้งกระทู้ก่อนค่ะ)
เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งเราเกิดว่างอยากเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ และหารูปอะไรบางอย่างในเฟสบุ๊ค เลยกดเข้าไปดูในอัลบั้มรูปที่ถูกแทกของตัวเอง เราเป็นคนค่อนข้างโอเพิ่นเมื่อก่อน(เมื่อก่อน...)เราไม่เคยบล๊อกหรือยกเว้นครอบครัวเกี่ยวกับเฟสบุ๊คเรารับหมดเลย เราเจอรูปเราเมื่อตอนม.ปลาย และรูปสมัยเด็กที่แม่แทกมา (ก่อนแม่จะอันเฟสเราด้วยเหตุผลบางประการ) นั่นทำให้เราได้แต่ยิ้ม และคิดถึงอดีตเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญคือถัดไป คือ เราเจอรูปที่เราถ่ายคู่กับคุณพ่อ และเป็นรูปที่คุณพ่อของเราเป็นฝ่ายแทกมา... ตอนนั้น ตอนที่พ่อโพส เราจำได้ว่า เราแค่กดไลค์ และไม่ได้อ่านเนื้อหาอะไรเลย เพราะคอมเม้นท์เต็มไปด้วยผู้ใหญ่มากมาย และ พ่อเราเขียนคำอธิบายรูปเป็นภาษาอังกฤษและยาวมาก ด้วยความที่เราไม่ได้เก่งอิ๊งเราเลยไม่สนใจและปล่อยผ่านไป
เกือบสามปี...
ตอนนั้น พ่อเราป่วยเป็นมะเร็งค่ะ เราไม่ขอเล่ารายละเอียดเอาเป็นว่า สุดท้ายพ่อเราก็ต่อสู้กับมันจนถึงเมื่อต้นปีที่แล้ว พ่อเรามักจะอัพรูปบนเฟสบุ๊ค ถ่ายอาการเบื้องต้นของตัวเอง พ่อบอกว่าเป็นวิทยาทานให้คนอื่นเห็น คอยอัพเดทอาการตลอด ๆ และก็มีเพื่อนๆ ของพ่อมาให้กำลังใจเสมอ แต่รูปนั้น เป็นรูปถ่ายที่ถ่ายโดยแม่เรา เราทำสีหน้าเบื่อๆ เพราะ เมื่อก่อนเราไม่ค่อยถูกกับพ่อเท่าไหร่ แต่พอพ่อป่วยเราก็ค่อยๆ กลับมาดีกับพ่อตอนพ่อป่วย (อย่าด่าเราเลยค่ะ เราตระหนักรู้แล้ว และเราแก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว) และเราเป็นพวกไม่ค่อยชอบถ่ายรูปเท่าไหร่ แต่เราก็กอดคอพ่อ พ่อโอบไหล่เราและยิ้มให้กล้องเบาๆ เราทำท่าตลกๆ ดูแล้วน่าดีดหัวตัวเองมาก แต่อย่างว่าเราแก้ไขอดีตไม่ได้
ตอนที่เรากลับมาดูรูป เรารู้สึกตื้อๆ ในหัวนิดหน่อย คอมเม้นท์ของเพื่อนๆ พ่อเป็นประมาณว่า นี่คงเป็นกำลังใจสำคัญเลยใช่มั้ย และคำให้กำลังใจมากมาย เราเลยกลับมาดูคำอธิบายรูปตอนนั้นอีกรอบหนึ่ง มันเป็นภาษาอังกฤษ.. แต่เป็นเพลงภาษาอังกฤษยุคเก่าที่พ่อชอบ แถมพอมาเปิดดูทั้งหมด มันมีแปลภาษาไทยไว้ด้วยซ้ำ
เนื้อหาที่พ่อเราโพสไว้
"
When the night has come
And the land is dark
And the moon is the only light we see
No I won’t be afraid
No I won’t be afraid
Just as long as you stand, stand by me
เมื่อค่ำคืนมาเยือน
และความมืดปกคลุมทั่วดินแดน
เหลือเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่เราเห็น
ไม่, ฉันจะไม่กลัว
ตราบนานเท่าที่เธอยังยืนอยู่ข้างกัน
And darling, darling stand by me
Oh, now, now, stand by me
Stand by me, stand by me
คนดี, โปรดยืนข้างๆฉัน
ขอเพียงมีเธออยู่เคียงกัน
ไม่สิ่งใดใจต้องกลัว
.
If the sky that we look upon
Should tumble and fall
And the mountain should crumble to the sea
I won’t cry, I won’t cry
No I won’t shed a tear
Just as long as you stand, stand by me
ถ้าท้องฟ้าที่เราแหงนหน้ามอง
จะร่วงหล่นถล่มลงมา
หรือแม้ว่าขุนเขาทลายลงทะเล
ฉันจะไม่ร้องไห้
ไม่, ฉันไม่เสียน้ำตา
ตราบเท่าที่เธอยังยืนอยู่ข้างฉัน
And darling, darling stand by me
Oh, stand by me
Stand by me, stand by me, stand by me
คนดี, โปรดยืนข้างๆฉัน
ขอเพียงมีเธออยู่เคียงกัน
ไม่สิ่งใดใจต้องกลัว
.
Whenever you’re in trouble won’t you stand by me
Oh, now, now, stand by me
Oh, stand by me, stand by me, stand by me
และเมื่อใดที่เธออ้างว้าง
ขอเธอจงมายืนข้างๆฉัน
ขอเพียงเราอยู่เคียงกัน
ใจไม่หวั่นไม่เกรงกลัวสิ่งใด
Darling, darling stand by me
Stand by me
Oh stand by me, stand by me, stand by me
คนดี, โปรดยืนข้างๆฉัน
ขอเพียงมีเธออยู่เคียงกัน
ไม่สิ่งใดใจต้องกลัว
"
หลังจากเราอ่านมันจนจบ เราร้องไห้ค่ะ ร้องไม่หยุดนานมาก
ยอมรับเลยว่า เราละเลยสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของเราไป เรารู้มาตลอดว่าพ่อรักเรามากแค่ไหน รักจนขนาดแม่เรายังพูดเลยว่าพ่อเรารักเรามาก
พ่อให้ทุกอย่าง ให้เรามากมายพอที่จะให้ได้ ไม่ใช่แค่ของมีค่า หรือสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่พ่อให้เรามาทั้งแนวคิด สอนเราในเรื่องต่างๆ แม้แต่สาขาในมหาลัยที่เราเรียนตอนนี้ เรายังได้อิทธิพลมาจากการที่พ่อพูดว่าพ่อชอบวิชานี้เลยค่ะ แต่น่าเสียดายที่พ่อของเราไม่ทันได้รู้ว่าเราได้ A วิชานี้เหมือนที่พ่อเคยได้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราไม่ถูกกับพ่อด้วยซ้ำ แต่เราเพิ่งมารู้ ว่าเราได้อะไรจากพ่อมาเยอะมาก มากจนเราอธิบายไม่ถูกจริงๆ ทั้งๆ ที่เราเคยเถียงหลังชนฝาเกี่ยวกับทฤษฎีบ้าๆ ว่าลูกสาวมักจะเหมือนพ่อ ตอนนี้เราได้แต่หัวเราะโง่ๆ แล้วบอกทุกคนอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เราเป็นลูกสาวที่ถอดแบบมาจากพ่อ เลยด้วยซ้ำ
และหลังจากนั้นเราก็กลับบ้าน เราเรียนไกลจากบ้านทำให้นานๆ เรากลับมาที เรากอดแม่ แวะไปหาอาจารย์คนสนิทที่โรงเรียน และไปนั่งคุยเล่นกับน้าที่ดูแลเราตั้งแต่เด็ก
ทั้งๆ ที่เวลาผ่านไปได้ไม่นาน แต่เรากลับรู้สึกว่า ทุกคนอายุมากขึ้น ทั้งร่างกาย ผมที่ค่อยๆ เพิ่มสีขาว รอยย่นบนใบหน้า มือที่กร้านจากการทำงานหนัก ที่มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นทุกครั้ง
นั่นทำให้เราตระหนักอย่างจริงจังแล้ว... ว่าเรามีเวลากับคนที่เรารักไม่มากพอหรอก ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุด เวลาหนึ่งวันของคนเรามีเท่ากัน อยู่ที่ว่า เราจะสามารถแบ่งเวลามาให้คนสำคัญของคุณได้มากน้อยแค่ไหน และไม่ลืมมองข้ามของสำคัญบางอย่างไป ก่อนที่จะถึงจุดสิ้นสุดของคุณ หรือคนที่คุณรัก รักษาเวลาที่มีค่านั้นไว้ดีๆ นะคะ
กระทู้เรามีแค่นี้แหละค่ะ
เผื่อว่าใครสักคนที่ผ่านมา และนึกขึ้นได้ว่าเผลอมองข้ามสิ่งสำคัญอะไรบางอย่างไป
ทุกวินาทีของเรามีค่าค่ะ มันเป็นคำพูดที่ฟังได้ทั่วไป แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ขอจบกระทู้ไว้แค่นี้ อาจจะใช้ภาษางง หรือเล่าเรื่องไม่เข้าใจขออภัยด้วยนะคะ
ยอมรับค่ะ ว่าเราเป็นลูกสาวที่ค่อนข้างแย่ ด่าได้ค่ะ แต่อย่าแรง 5555
และสุดท้าย แม่เรากลับบ้านมาพอดี ขอตัวกลับไปกอดแม่สักครู่นะคะ