แอ่แฮร่!!!! #ปักหมุด #เป็นแนวคิด อ่านๆ (แต่...อ่อนไหวง่ายไม่ควรอ่าน มีความคิดว่ามันจะโพสไร้สาระหรือเหยียดหยามอะไรป่าวไม่ควรอ่าน เพราะโพสนี้จะพูดตรงๆ หลังจากที่มีรุ่นพี่หลายๆคน มาพูดถึงแผนการเรียนกันมากล้นกว่าปริมาณหิมะบนภูเขาหิมาลัย )
จะมาให้แง่ ในเรื่องของความชอบ mixเข้ากับแผนการเรียนต่อ ม.ปลาย
ก่อนอื่น ผมเปิดตัวก่อนว่า ยังเป็นนักเรียน ม.3ที่รอขึ้น ม.4 โรงเรียนผมจะมีการสอบภายในก่อนเฉพาะนักเรียนในโรงเรียน ก็สอบไปแล้ว วันที่รู้ผลว่าสอบติด ก็ดีใจยกใหญ่ มีบางคนที่ไม่ติด นั่นก็ต้องเอาใจช่วย และรอบต่อไป(2เมษา) เขาติดแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น... ประเด็นคือ แผนการเรียน หลายคนหวังไว้แบบนู่นนี่นั่น เยอะแยะ บางคนรู้อนาคตแล้ว บางคนยังไม่รู้ ขอยกมาที่คนที่รู้อนาคตก่อน อาทิ ส่วนตัวผมรู้แล้วว่าโตขึ้นจะเรียนนิเทศ จะเป็นผู้กำกับ จะเขียนบทก็ว่าไป อันนี้ผมก็เลือกแผนศิลป์ได้ทุกแขนง ไม่มีปัญหา ก็ตัดไป
แต่......
เมื่อมองมาที่คนที่ยังไม่รู้ว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร ก็แบ่งตัวช่วยได้อีกก็คือ!!!
1.ยังไม่คิดว่าโตขึ้นจะเรียนอะไร เพราะยังไม่ถึงเวลา ฉันจะ เรียนแผนที่เข้าได้ทุกคณะ เฉกเช่นแผนวิทย์ อันนี้ก็ตัดตัวเลือกความคิดประเภทนี้ไป เพราะมันคงไม่ดีแน่นอน แต่ก็บังคับอะไรไม่ได้
2.ฉันจะเรียนเพราะความชอบ (ถามว่ามันคล้ายกับข้อแรกมั้ย ก็ตอบเลยว่าไม่ "ไม่คล้ายยังไง" อย่าไปรู้ ฮ่าๆ เพราะบุหรี่มันให้โทษกับเราหลายอย่างนับเป็นร้อยๆ แต่เรารู้แค่ว่ามันไม่ดีกับตัวเราก็พอ ความไม่คล้ายของความคิดก็เช่นกัน รู้ว่ามันไม่คล้าย แต่ก้อย่าไปรู้ให้หนักหัวเลยว่าไม่คล้ายยังไง) ความชอบ หมายถึง การมองเห็นถึงจุดยืนของตนในความต้องการ โดยอาจจะมีเหตุผลของความชอบ สรุปแล้วคือ มันดีมากและเป้นสิ่งเนิ่นๆที่ควรคิดว่า ฉันต้องเรียนตามความชอบๆๆๆๆๆ ท่องวนไป พ่อแม่ไม่ใช่ผู้เรียน อย่าตามใจเขาแต่ให้อยู่ในกรอบของเขา คนเรามักจะทำในสิ่งที่ชอบได้เสมอ รักหรือชอบในสิ่งที่ทำ เราจะพยายามทำสิ่งนั้นให้ออกมาดีที่สุด เช่น ชอบภาษาฝรั่งเศส ก็จะอยากรู้ อยากเห็น อยากทำความเข้าใจวิชาภาษาฝรั่งเศสมากกว่าวิชาอื่นๆ ตั้งใจเรียนมากกว่าวิชาที่ไม่ชอบ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วละก็ สายศิลป์- ฝรั่งเศส ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับตัวเรา ถนัดแบบไหนก็เรียนแบบนั้น ไม่ชอบก็สอบใหม่ ไม่ได้ก็ต้องทน แล้วจะรักมันเอง ทำให้มันออสโมซิสเข้าไขกระดูกให้ได้ และอีกอย่างคือ ทำตามถนัด!!!
3.พยายามอย่าคิดซับซ้อน เราเกิดมาเป็นรูปธรรม ดูอย่างอวัยวะภายนอก ส่วนไหนมีสองอันมักจะอยู่ข้าง มีอันเดียวมักจะอยู่ตรงกลาง เช่นตา มีสองลูกก็จะอยู่ข้าง ปากมี1ปากก็จะอยู่ตรงกลาง ความคิดจิตใจก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความคิดเดียว มันก็จะแน่วแน่ต่ออนาคต แต่ถ้าเพิ่มมาเป็นสอง สาม สี่ หลายความคิด มันก็จะแก่งแย่ง รักพี่เสียดายน้อง วนloopไปอย่างนั้นเรื่อยๆ มันจะยากต่อการตัดสิน จนต้องมีคนมาช่วยคิด แต่จำไว้เสมอว่า ความคิดหรือปัญหามันก็เหมือนข้อสอบ เราไม่รู้จะเลือกอันไหน ก็แค่ตัดตัวเลือกออกไป จะได้สิ่งที่ดีที่สุดมาเอง
--------------------------------------------------------------------
บทสรุป : อาจงงๆไปบ้างในบางข้อ แต่อยากให้คิดเสมอว่า "ชีวิตฉัน ก็ต้องทำตามชีวิต" แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องรับคิดให้ได้แล้วว่า โตขึ้นจะเรียนอะไร จะเป็นอะไร มันไม่ยากหรอกถ้าคิดจะทำ อย่าไปท้อใจกับเพียงประสบการณ์ที่ผ่าน ที่มันทำให้เรารู้ว่า เราเรียนไม่เก่ง คงไปด้านนี้ไม่ได้ นั่นคืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราทุกข์ไปกับการเรียนต่อ บางคนคิดว่าการเป็นหมอต้องเรียนเก่ง ต้องสอบได้ เกรด4.00 หรือ 3.80 ขึ้น นั่นก็จริงอยู่ ซึ่งหมอที่เรียนเก่ง อาจจ่ายยาเก่ง รักษาคนไข้เก่ง แต่ทำให้คนมีรอยยิ้มไม่ได้ รักษากายได้ แต่รักษาจิตใจไม่ได้ ก็ตายเหมือนกัน
---------------------------------------------------------------------
บทสรุป2 : ถ้ายังไม่รู้ว่าโตขึ้นจะเรียนอะไร มันเป็นปัญหาต่อแผนมากเลยหว่ะ เลือกเรียนวิทย์ไป ก็แล้วกันจะได้เข้าได้ทุกคณะ #ไปล้างความจดจำ ที่ผู้ใหญ่บ้าบอฝังชิพความคิดแบบนี้ออกซะ แล้วกลับมาคิดใหม่ ถ้ายังไม่รู้ว่าโตขึ้นจะเรียนอะไร ลองย้อนไปตอนเด็กๆว่าชอบทำอะไร แล้วมันฟิชเชอร์ริ่งกับแต่ละคณะที่มีอยู่ในใดใดในโลกล้วนอนิจจังนี้ มันจะดี ยกตัวอย่าง ผมตอนแรกอยากเป็นสัตวแพทย์ โตมาเรื่อยๆมีความคิดเรื่อยๆ ลองย้อนกลับไปตอนเด็กๆดู ว่าเห้ย เราชอบเขียน เราชอบคิด เรามักจะมีอะไรแปลกใหม่มาเล่าเสมอ เรากล้าแสดงออก เราชอบจัดวางพล๊อตงานต่างๆ นั่นแหละ คือที่มาของ คำว่า นิเทศจุฬา สื่อสารการแสดง ผู้กำกับ นักเขียน(บทละคร-นิยาย) ที่ฝังเอาไว้ว่าต้องทำให้ได้ จะไม่ท้อถอย จะไม่กลับหลัง จะไม่สิ้นหวัง ถ้ายังไม่ได้ดี....
อีกคนหนึ่ง คือ "นิติ ชัยชิตาทร" หรือ "พี่ป๋อมแป๋ม" หรือ "ยาย" ที่เรารู้จักกัน ในรายการเทยเที่ยวไทย ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดของผม ด้วยคำพูดที่พี่แกเอ่ยมาว่า "ฉันเรียน จบอักษรจุฬา นะเธอ!! บาลี-สันสกฤต แหละแต่... สุดท้ายกูก็มาจบที่โปรดิวเซอร์ ทำงานแกรมมี่นี่แหละค่ะ เพราะฉันทำในสิ่งที่ฉันรัก แต่เลือกเรียนอักษร เพราะฉันเลือกเรียนในสิ่งที่ฉันชอบและไม่ทุกข์" สู้ๆเด้ออออ
----------------------------------------------------------------------
Ps ใครทนอ่านจบนี่you แกร่งมากนับถือจริงๆ ที่ทนอ่านบทความบ้าบอจากผู้ชายหน้าโง่คนนี้ได้555
ps2 เรียนวิทย์คณิตมา ใช่ว่าจะต้องเรียนวิทย์คณิตต่อนี่ "เรียนแล้วทุกข์จะเรียนเพื่อ!!"
ps3 อย่าเลือกแผนเพราะความนิยม
ps4 ฝากถึงผู้ปกครองหลายท่านว่า อย่าคิดนะว่าพวกแผนศิลป์จะโง่ เสมอไป แผนวิทย์จะเก่งเสมอไป หึ!! แผนวิทย์ ขี่รถซิ่ง ตายคาที่เป็นผีเฝ้าสถานบันเทิงก็มีถมเถไป #อย่าเหมารวม
ps5 สู้ๆ
#มาช้าแต่แน่นสุด
#งดดราม่า!!!!!
...............................สวัสดีครับ.........................................
เลือกแผนอะไรดี มันขึ้นอยู่กับตัวของตน (อ่านสักหน่อยแล้วมานั่งคิด)
จะมาให้แง่ ในเรื่องของความชอบ mixเข้ากับแผนการเรียนต่อ ม.ปลาย
ก่อนอื่น ผมเปิดตัวก่อนว่า ยังเป็นนักเรียน ม.3ที่รอขึ้น ม.4 โรงเรียนผมจะมีการสอบภายในก่อนเฉพาะนักเรียนในโรงเรียน ก็สอบไปแล้ว วันที่รู้ผลว่าสอบติด ก็ดีใจยกใหญ่ มีบางคนที่ไม่ติด นั่นก็ต้องเอาใจช่วย และรอบต่อไป(2เมษา) เขาติดแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น... ประเด็นคือ แผนการเรียน หลายคนหวังไว้แบบนู่นนี่นั่น เยอะแยะ บางคนรู้อนาคตแล้ว บางคนยังไม่รู้ ขอยกมาที่คนที่รู้อนาคตก่อน อาทิ ส่วนตัวผมรู้แล้วว่าโตขึ้นจะเรียนนิเทศ จะเป็นผู้กำกับ จะเขียนบทก็ว่าไป อันนี้ผมก็เลือกแผนศิลป์ได้ทุกแขนง ไม่มีปัญหา ก็ตัดไป
แต่......
เมื่อมองมาที่คนที่ยังไม่รู้ว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร ก็แบ่งตัวช่วยได้อีกก็คือ!!!
1.ยังไม่คิดว่าโตขึ้นจะเรียนอะไร เพราะยังไม่ถึงเวลา ฉันจะ เรียนแผนที่เข้าได้ทุกคณะ เฉกเช่นแผนวิทย์ อันนี้ก็ตัดตัวเลือกความคิดประเภทนี้ไป เพราะมันคงไม่ดีแน่นอน แต่ก็บังคับอะไรไม่ได้
2.ฉันจะเรียนเพราะความชอบ (ถามว่ามันคล้ายกับข้อแรกมั้ย ก็ตอบเลยว่าไม่ "ไม่คล้ายยังไง" อย่าไปรู้ ฮ่าๆ เพราะบุหรี่มันให้โทษกับเราหลายอย่างนับเป็นร้อยๆ แต่เรารู้แค่ว่ามันไม่ดีกับตัวเราก็พอ ความไม่คล้ายของความคิดก็เช่นกัน รู้ว่ามันไม่คล้าย แต่ก้อย่าไปรู้ให้หนักหัวเลยว่าไม่คล้ายยังไง) ความชอบ หมายถึง การมองเห็นถึงจุดยืนของตนในความต้องการ โดยอาจจะมีเหตุผลของความชอบ สรุปแล้วคือ มันดีมากและเป้นสิ่งเนิ่นๆที่ควรคิดว่า ฉันต้องเรียนตามความชอบๆๆๆๆๆ ท่องวนไป พ่อแม่ไม่ใช่ผู้เรียน อย่าตามใจเขาแต่ให้อยู่ในกรอบของเขา คนเรามักจะทำในสิ่งที่ชอบได้เสมอ รักหรือชอบในสิ่งที่ทำ เราจะพยายามทำสิ่งนั้นให้ออกมาดีที่สุด เช่น ชอบภาษาฝรั่งเศส ก็จะอยากรู้ อยากเห็น อยากทำความเข้าใจวิชาภาษาฝรั่งเศสมากกว่าวิชาอื่นๆ ตั้งใจเรียนมากกว่าวิชาที่ไม่ชอบ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วละก็ สายศิลป์- ฝรั่งเศส ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับตัวเรา ถนัดแบบไหนก็เรียนแบบนั้น ไม่ชอบก็สอบใหม่ ไม่ได้ก็ต้องทน แล้วจะรักมันเอง ทำให้มันออสโมซิสเข้าไขกระดูกให้ได้ และอีกอย่างคือ ทำตามถนัด!!!
3.พยายามอย่าคิดซับซ้อน เราเกิดมาเป็นรูปธรรม ดูอย่างอวัยวะภายนอก ส่วนไหนมีสองอันมักจะอยู่ข้าง มีอันเดียวมักจะอยู่ตรงกลาง เช่นตา มีสองลูกก็จะอยู่ข้าง ปากมี1ปากก็จะอยู่ตรงกลาง ความคิดจิตใจก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความคิดเดียว มันก็จะแน่วแน่ต่ออนาคต แต่ถ้าเพิ่มมาเป็นสอง สาม สี่ หลายความคิด มันก็จะแก่งแย่ง รักพี่เสียดายน้อง วนloopไปอย่างนั้นเรื่อยๆ มันจะยากต่อการตัดสิน จนต้องมีคนมาช่วยคิด แต่จำไว้เสมอว่า ความคิดหรือปัญหามันก็เหมือนข้อสอบ เราไม่รู้จะเลือกอันไหน ก็แค่ตัดตัวเลือกออกไป จะได้สิ่งที่ดีที่สุดมาเอง
--------------------------------------------------------------------
บทสรุป : อาจงงๆไปบ้างในบางข้อ แต่อยากให้คิดเสมอว่า "ชีวิตฉัน ก็ต้องทำตามชีวิต" แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องรับคิดให้ได้แล้วว่า โตขึ้นจะเรียนอะไร จะเป็นอะไร มันไม่ยากหรอกถ้าคิดจะทำ อย่าไปท้อใจกับเพียงประสบการณ์ที่ผ่าน ที่มันทำให้เรารู้ว่า เราเรียนไม่เก่ง คงไปด้านนี้ไม่ได้ นั่นคืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราทุกข์ไปกับการเรียนต่อ บางคนคิดว่าการเป็นหมอต้องเรียนเก่ง ต้องสอบได้ เกรด4.00 หรือ 3.80 ขึ้น นั่นก็จริงอยู่ ซึ่งหมอที่เรียนเก่ง อาจจ่ายยาเก่ง รักษาคนไข้เก่ง แต่ทำให้คนมีรอยยิ้มไม่ได้ รักษากายได้ แต่รักษาจิตใจไม่ได้ ก็ตายเหมือนกัน
---------------------------------------------------------------------
บทสรุป2 : ถ้ายังไม่รู้ว่าโตขึ้นจะเรียนอะไร มันเป็นปัญหาต่อแผนมากเลยหว่ะ เลือกเรียนวิทย์ไป ก็แล้วกันจะได้เข้าได้ทุกคณะ #ไปล้างความจดจำ ที่ผู้ใหญ่บ้าบอฝังชิพความคิดแบบนี้ออกซะ แล้วกลับมาคิดใหม่ ถ้ายังไม่รู้ว่าโตขึ้นจะเรียนอะไร ลองย้อนไปตอนเด็กๆว่าชอบทำอะไร แล้วมันฟิชเชอร์ริ่งกับแต่ละคณะที่มีอยู่ในใดใดในโลกล้วนอนิจจังนี้ มันจะดี ยกตัวอย่าง ผมตอนแรกอยากเป็นสัตวแพทย์ โตมาเรื่อยๆมีความคิดเรื่อยๆ ลองย้อนกลับไปตอนเด็กๆดู ว่าเห้ย เราชอบเขียน เราชอบคิด เรามักจะมีอะไรแปลกใหม่มาเล่าเสมอ เรากล้าแสดงออก เราชอบจัดวางพล๊อตงานต่างๆ นั่นแหละ คือที่มาของ คำว่า นิเทศจุฬา สื่อสารการแสดง ผู้กำกับ นักเขียน(บทละคร-นิยาย) ที่ฝังเอาไว้ว่าต้องทำให้ได้ จะไม่ท้อถอย จะไม่กลับหลัง จะไม่สิ้นหวัง ถ้ายังไม่ได้ดี....
อีกคนหนึ่ง คือ "นิติ ชัยชิตาทร" หรือ "พี่ป๋อมแป๋ม" หรือ "ยาย" ที่เรารู้จักกัน ในรายการเทยเที่ยวไทย ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดของผม ด้วยคำพูดที่พี่แกเอ่ยมาว่า "ฉันเรียน จบอักษรจุฬา นะเธอ!! บาลี-สันสกฤต แหละแต่... สุดท้ายกูก็มาจบที่โปรดิวเซอร์ ทำงานแกรมมี่นี่แหละค่ะ เพราะฉันทำในสิ่งที่ฉันรัก แต่เลือกเรียนอักษร เพราะฉันเลือกเรียนในสิ่งที่ฉันชอบและไม่ทุกข์" สู้ๆเด้ออออ
----------------------------------------------------------------------
Ps ใครทนอ่านจบนี่you แกร่งมากนับถือจริงๆ ที่ทนอ่านบทความบ้าบอจากผู้ชายหน้าโง่คนนี้ได้555
ps2 เรียนวิทย์คณิตมา ใช่ว่าจะต้องเรียนวิทย์คณิตต่อนี่ "เรียนแล้วทุกข์จะเรียนเพื่อ!!"
ps3 อย่าเลือกแผนเพราะความนิยม
ps4 ฝากถึงผู้ปกครองหลายท่านว่า อย่าคิดนะว่าพวกแผนศิลป์จะโง่ เสมอไป แผนวิทย์จะเก่งเสมอไป หึ!! แผนวิทย์ ขี่รถซิ่ง ตายคาที่เป็นผีเฝ้าสถานบันเทิงก็มีถมเถไป #อย่าเหมารวม
ps5 สู้ๆ
#มาช้าแต่แน่นสุด
#งดดราม่า!!!!!
...............................สวัสดีครับ.........................................