ตอนที่ 1
https://pantip.com/topic/36287514
---
เช้าวันใหม่ในอุณหภูมิ 14 องศา เรายืนถ่ายรูปตัวเองริมถนนอย่างไม่สนใจอะไร
ลุง: รถมาแล้ว!
ฉัน: (คิดว่าเค้าคงเรียกเรา เลยผละตัวเองออกจากการถ่ายรูปตัวเองแล้วหันไปดูรถ รถมาแล้วจริงด้วย) ... ขอบคุณค่ะ...
ถ้าไม่ได้ลุงคนนี้ร่วมทางมาด้วย คงจะต้องบากหน้าไปขอเศษเหรียญคนอื่นมาจ่ายแน่เลย พอดีลืมเติมเงินในบัตร เรากล่าวขอบคุณคุณลุงไป 2 รอบ
ลุง: จะยืนไปตลอดจนถึงไถเป่ยเชอจ้านเลยหรอคุณตา? (ลุงทักทายคุณตาผู้เฒ่าที่กำลังยืนจีบราวกระท่อนกระแท่น ด้วยเสียงดังก้องไปทั่วรถ)
ดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีอะไรเลย แต่ลุงท่านนี้ได้สอนให้เรารู้จักการออกมาจากโลกส่วนตัวของตัวเอง ออกมาปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ออกมาเป็น "การให้" แก่ผู้คน และที่สำคัญคือ รู้จักกล่าวคำขอบคุณ ต่อใครก็ตามที่ปฏิสัมพันธ์กับเรา
ทำไมต้องขอบคุณทุกคนน่ะหรอ?
ตอบ เพราะทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ล้วนแต่มีสิ่งที่สอนเราเสมอ
ผ่านไปแป๊ปเดียวก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเรียกคุณตาผู้เฒ่าไปนั่งที่เก้าอี้อย่างปลอดภัย
วันนี้แผนเดิมที่จะไปตรวจเช็คเซลล์รอบ 2 เป็นอันต้องยกเลิกไปกระทันหัน เลยทำใจสบายๆ ไปชมดอกซากุระที่หยางหมิงซานซะ ก็ไปแบบไม่ได้วางแผนอะไร แค่เช็คคร่าวๆ เมื่อคืนว่าที่ หูซานลวี่ตี้ ยังมีซากุระบานเยอะที่สุด เช้านี้ก็เพิ่งรู้ว่าอยู่ที่หยางหมิงซานนี่เอง
สถานที่ดูคุ้นตามาก เพราะ 6 ปีก่อนเคยมาดูซากุระกับแฟนเก่าที่นี่ นึกย้อนกลับไปตอนนั้น เพิ่งจะเข้าใจว่าว่า เราคบคนๆ นี้ก็แค่คบไปวันๆ โดยที่ไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรเลยจริงๆ เหมือนกับแค่อยากลองว่ามีแฟนเป็นยังไง แล้วสุดท้ายเราก็เป็นคนทิ้งคนดีที่บริสุทธิ์ทั้งคน ที่ดีมากๆ ไปเอง แสบมั้ยล่ะ ตอนนี้มาโดนกับตัวเองบ้าง เจ็บสะท้านจนไปต่อไม่ถูกเลย เวรกรรมมีจริง อย่างน้อยการได้กลับมาที่จุดเริ่มต้นของตัวเองอีกครั้ง มันก็ทำให้เราสงบลงได้เยอะกว่าเดิม
พอรถจอดที่ปลายทาง มี 2 ทางเลือกให้ไป คือ
1. นั่งรถต่อไปหอนาฬิกา แล้วเดินลงมาเพื่อชมริมทาง
2. เดินขึ้นไปเอง
เราเลือกเดินขึ้นเขาและกลับลงมาเอง และเส้นทางวันนี้เต็มไปด้วยการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน กับการกล่าวคำขอบคุณ ต้องขอบคุณลุงท่านนั้น ที่มอบแบบฝึกหัดนี้ให้เราแบบไม่รู้ตัว
ปกติเราเป็นคนเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว เน้นผลลัพธ์ ไม่ค่อยจะสนใจรอบข้างเวลาที่มุ่งไปที่เป้าหมาย อะไรก็ตามที่ทุ่นแรงให้ไปเร็วได้เราจะทำ
วันนี้เป้าหมายคือ ซากุระ และเราเลือกที่จะ slow down ตัวเอง แล้วค่อยๆ เดินชมซากุระริมทางไปเรื่อยๆ ถึงจะเต็มที่กับการยืนเซลฟี่ตัวเอง แต่ก็ยิ้มทักทายคนที่เดินผ่านไปมา และอาสาถ่ายรูปให้ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก (เบบี๋ตัวน้อยน่ารักและฉลาดมาก ถ้ามีบ้างก็คงจะดี..)
วันนี้ยังมีอีก 2 เรื่อง ที่เราประหลาดใจกับตัวเอง เพราะได้ทำสิ่งที่เราไม่เคยทำเลยมาตลอดทั้งชีวิต
เรื่องแรก ลุงเป่าขลุ่ย วันนี้เราเดินเข้าไปใส่เงินให้ในหมวก และกล่าวขอบคุณคุณลุงที่บรรเลงเสียงดนตรีเพราะๆ นี้ให้เราและทุกคนในสวนซากุระได้ฟังอย่างมีความสุข เมื่อก่อนเวลาเจอ street artist ศิลปินเปิดหมวก คนขายของข้างทาง ถ้าไม่สนใจเลย ก็จะแค่หยอดเงินให้ด้วยความเห็นใจแล้วเดินจากไป... แต่วันนี้ เราประหลาดใจที่ใจเราเปลี่ยนไป เรารู้จักทราบซึ้งถึงรายละเอียดเล็กๆ ที่คนรอบตัวสร้างขึ้นมา ว่าแท้จริงแล้ว รายละเอียดเล็กๆ เหล่านี้คือของขวัญแห่งชีวิตชั้นเลิศในขณะที่เรา "กำลังดำเนินชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบัน" เพราะมันทำให้ชีวิต มีชีวิตชีวา
เรื่องที่สอง คนขายไม้เทนนิส เราปฏิเสธที่จะลองเล่นไม้เทนนิสตามคำเชื้อเชิญของคนขาย นิสัยรักสนุก ชอบทดลองของเรา ที่ผ่านมากลายเป็นการเอาแต่ได้ไปแบบไม่รู้ตัว แต่วันนี้คนขายเห็นเรายืนอยู่ใกล้ๆ ก็เรียกให้มาลองตี
คนขายไม้เทนนิส: มาลองตีดูสิ
ใจหนึ่งเราคิดว่า เข้าทางเลย อยากลองตีดูอีกครั้งจากครั้งที่แล้ว "เพื่อฆ่าเวลาเอาสนุกๆ และดูสิว่าจะเก่งขึ้นมั้ย" แต่อีกใจหนึ่งก็มีเสียงบอกขึ้นมาว่า ก็ไม่ได้จะซื้ออยู่แล้ว จะไปเสียเวลาเค้าทำมาหากินทำไม เพราะสุดท้ายเค้าให้ลองตีก็เพราะอยากขายของ ถ้ารู้ว่าไม่อยากได้จริงๆ ก็เปิดโอกาสให้คนอื่นดีกว่า เราเลยตอบกลับไปแบบแน่วแน่
ฉัน: ยืนดูคนขายตีสนุกกว่าค่ะ
คนขายยิ้ม แล้วกลับไปตีลูกเทนนิสต่อ แล้วเราก็ยืนกินมันเผาไปพลางดูคนอื่นเข้ามาลองเล่นไป
ประเด็นของเรื่องที่สองคือ
ถ้าเราทดลองเดินขึ้น-ลงเขาเอง เพื่อจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง อันนี้สำหรับเรา โอเค เพราะเราไม่ได้เบียดเบียนใคร ผลสุดท้ายเรารับเองทุกอย่าง
แต่ถ้าเราทดลองบางอย่างโดยมีคนอื่นมาเกี่ยวข้อง หรือทดลองอะไรบนหลังคนอื่น อันนี้เรามองว่าเราเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เพราะจิตลึกๆ มันมีแต่ความอยาก take แค่ take เพื่อตัวเองเท่านั้น แล้วสุดท้ายก็เดินจากไป
สุดท้าย วันนี้เดินช้าๆ ขึ้นเขา ลงเขาเอง มันไม่แค่เดินไปถึงจุดหมายเหมือนนั่งรถ แต่ได้ประสบการณ์ล้ำค่าทางใจที่เราได้สร้างกับคนรอบตัว แถมยังได้อยู่ในบรรยากาศซากุระริมทางทั้งขาขึ้นและขาลง
《ชีวิตใหม่ ที่ ไทเป: The Beginning》ตอนที่ 2
---
เช้าวันใหม่ในอุณหภูมิ 14 องศา เรายืนถ่ายรูปตัวเองริมถนนอย่างไม่สนใจอะไร
ลุง: รถมาแล้ว!
ฉัน: (คิดว่าเค้าคงเรียกเรา เลยผละตัวเองออกจากการถ่ายรูปตัวเองแล้วหันไปดูรถ รถมาแล้วจริงด้วย) ... ขอบคุณค่ะ...
ถ้าไม่ได้ลุงคนนี้ร่วมทางมาด้วย คงจะต้องบากหน้าไปขอเศษเหรียญคนอื่นมาจ่ายแน่เลย พอดีลืมเติมเงินในบัตร เรากล่าวขอบคุณคุณลุงไป 2 รอบ
ลุง: จะยืนไปตลอดจนถึงไถเป่ยเชอจ้านเลยหรอคุณตา? (ลุงทักทายคุณตาผู้เฒ่าที่กำลังยืนจีบราวกระท่อนกระแท่น ด้วยเสียงดังก้องไปทั่วรถ)
ดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีอะไรเลย แต่ลุงท่านนี้ได้สอนให้เรารู้จักการออกมาจากโลกส่วนตัวของตัวเอง ออกมาปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ออกมาเป็น "การให้" แก่ผู้คน และที่สำคัญคือ รู้จักกล่าวคำขอบคุณ ต่อใครก็ตามที่ปฏิสัมพันธ์กับเรา
ทำไมต้องขอบคุณทุกคนน่ะหรอ?
ตอบ เพราะทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ล้วนแต่มีสิ่งที่สอนเราเสมอ
ผ่านไปแป๊ปเดียวก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเรียกคุณตาผู้เฒ่าไปนั่งที่เก้าอี้อย่างปลอดภัย
วันนี้แผนเดิมที่จะไปตรวจเช็คเซลล์รอบ 2 เป็นอันต้องยกเลิกไปกระทันหัน เลยทำใจสบายๆ ไปชมดอกซากุระที่หยางหมิงซานซะ ก็ไปแบบไม่ได้วางแผนอะไร แค่เช็คคร่าวๆ เมื่อคืนว่าที่ หูซานลวี่ตี้ ยังมีซากุระบานเยอะที่สุด เช้านี้ก็เพิ่งรู้ว่าอยู่ที่หยางหมิงซานนี่เอง
สถานที่ดูคุ้นตามาก เพราะ 6 ปีก่อนเคยมาดูซากุระกับแฟนเก่าที่นี่ นึกย้อนกลับไปตอนนั้น เพิ่งจะเข้าใจว่าว่า เราคบคนๆ นี้ก็แค่คบไปวันๆ โดยที่ไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรเลยจริงๆ เหมือนกับแค่อยากลองว่ามีแฟนเป็นยังไง แล้วสุดท้ายเราก็เป็นคนทิ้งคนดีที่บริสุทธิ์ทั้งคน ที่ดีมากๆ ไปเอง แสบมั้ยล่ะ ตอนนี้มาโดนกับตัวเองบ้าง เจ็บสะท้านจนไปต่อไม่ถูกเลย เวรกรรมมีจริง อย่างน้อยการได้กลับมาที่จุดเริ่มต้นของตัวเองอีกครั้ง มันก็ทำให้เราสงบลงได้เยอะกว่าเดิม
พอรถจอดที่ปลายทาง มี 2 ทางเลือกให้ไป คือ
1. นั่งรถต่อไปหอนาฬิกา แล้วเดินลงมาเพื่อชมริมทาง
2. เดินขึ้นไปเอง
เราเลือกเดินขึ้นเขาและกลับลงมาเอง และเส้นทางวันนี้เต็มไปด้วยการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน กับการกล่าวคำขอบคุณ ต้องขอบคุณลุงท่านนั้น ที่มอบแบบฝึกหัดนี้ให้เราแบบไม่รู้ตัว
ปกติเราเป็นคนเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว เน้นผลลัพธ์ ไม่ค่อยจะสนใจรอบข้างเวลาที่มุ่งไปที่เป้าหมาย อะไรก็ตามที่ทุ่นแรงให้ไปเร็วได้เราจะทำ
วันนี้เป้าหมายคือ ซากุระ และเราเลือกที่จะ slow down ตัวเอง แล้วค่อยๆ เดินชมซากุระริมทางไปเรื่อยๆ ถึงจะเต็มที่กับการยืนเซลฟี่ตัวเอง แต่ก็ยิ้มทักทายคนที่เดินผ่านไปมา และอาสาถ่ายรูปให้ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก (เบบี๋ตัวน้อยน่ารักและฉลาดมาก ถ้ามีบ้างก็คงจะดี..)
วันนี้ยังมีอีก 2 เรื่อง ที่เราประหลาดใจกับตัวเอง เพราะได้ทำสิ่งที่เราไม่เคยทำเลยมาตลอดทั้งชีวิต
เรื่องแรก ลุงเป่าขลุ่ย วันนี้เราเดินเข้าไปใส่เงินให้ในหมวก และกล่าวขอบคุณคุณลุงที่บรรเลงเสียงดนตรีเพราะๆ นี้ให้เราและทุกคนในสวนซากุระได้ฟังอย่างมีความสุข เมื่อก่อนเวลาเจอ street artist ศิลปินเปิดหมวก คนขายของข้างทาง ถ้าไม่สนใจเลย ก็จะแค่หยอดเงินให้ด้วยความเห็นใจแล้วเดินจากไป... แต่วันนี้ เราประหลาดใจที่ใจเราเปลี่ยนไป เรารู้จักทราบซึ้งถึงรายละเอียดเล็กๆ ที่คนรอบตัวสร้างขึ้นมา ว่าแท้จริงแล้ว รายละเอียดเล็กๆ เหล่านี้คือของขวัญแห่งชีวิตชั้นเลิศในขณะที่เรา "กำลังดำเนินชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบัน" เพราะมันทำให้ชีวิต มีชีวิตชีวา
เรื่องที่สอง คนขายไม้เทนนิส เราปฏิเสธที่จะลองเล่นไม้เทนนิสตามคำเชื้อเชิญของคนขาย นิสัยรักสนุก ชอบทดลองของเรา ที่ผ่านมากลายเป็นการเอาแต่ได้ไปแบบไม่รู้ตัว แต่วันนี้คนขายเห็นเรายืนอยู่ใกล้ๆ ก็เรียกให้มาลองตี
คนขายไม้เทนนิส: มาลองตีดูสิ
ใจหนึ่งเราคิดว่า เข้าทางเลย อยากลองตีดูอีกครั้งจากครั้งที่แล้ว "เพื่อฆ่าเวลาเอาสนุกๆ และดูสิว่าจะเก่งขึ้นมั้ย" แต่อีกใจหนึ่งก็มีเสียงบอกขึ้นมาว่า ก็ไม่ได้จะซื้ออยู่แล้ว จะไปเสียเวลาเค้าทำมาหากินทำไม เพราะสุดท้ายเค้าให้ลองตีก็เพราะอยากขายของ ถ้ารู้ว่าไม่อยากได้จริงๆ ก็เปิดโอกาสให้คนอื่นดีกว่า เราเลยตอบกลับไปแบบแน่วแน่
ฉัน: ยืนดูคนขายตีสนุกกว่าค่ะ
คนขายยิ้ม แล้วกลับไปตีลูกเทนนิสต่อ แล้วเราก็ยืนกินมันเผาไปพลางดูคนอื่นเข้ามาลองเล่นไป
ประเด็นของเรื่องที่สองคือ
ถ้าเราทดลองเดินขึ้น-ลงเขาเอง เพื่อจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง อันนี้สำหรับเรา โอเค เพราะเราไม่ได้เบียดเบียนใคร ผลสุดท้ายเรารับเองทุกอย่าง
แต่ถ้าเราทดลองบางอย่างโดยมีคนอื่นมาเกี่ยวข้อง หรือทดลองอะไรบนหลังคนอื่น อันนี้เรามองว่าเราเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เพราะจิตลึกๆ มันมีแต่ความอยาก take แค่ take เพื่อตัวเองเท่านั้น แล้วสุดท้ายก็เดินจากไป
สุดท้าย วันนี้เดินช้าๆ ขึ้นเขา ลงเขาเอง มันไม่แค่เดินไปถึงจุดหมายเหมือนนั่งรถ แต่ได้ประสบการณ์ล้ำค่าทางใจที่เราได้สร้างกับคนรอบตัว แถมยังได้อยู่ในบรรยากาศซากุระริมทางทั้งขาขึ้นและขาลง