《ชีวิตใหม่ ที่ ไทเป: The Beginning》ตอนที่ 1

ชายวัยกลางคน: ชีวิตน่ะ ไม่ต้องคิดมากหรอก เราถูกสอนมาทั้งชีวิตให้คิดวิเคราะห์เยอะ แพลนนั่นแพลนนี่ ความจริงแล้วอยู่กับปัจจุบัน กับสิ่งตรงหน้านี่แหละพอแล้ว คุณไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น

ฉัน: Live in the moment...

ชายวัยกลางคน: Yeah! Now go take your seat!


อืมใช่ เราชอบคิดเยอะ ฝันกลางวันไปไกลจนตะเลิดทั้งๆ ที่บ่อยครั้งไม่รู้ว่าอยากได้อะไร พอไม่ได้ดั่งใจฝัน ก็เสียใจหนักตลอด แล้วเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอีกนานเท่าไหร่เนี่ย?

---

เป็นเรื่องที่มักจะน่าประหลาดใจ ในช่วงเวลาที่ชีวิตเราตกต่ำ มักจะมีมิตรแปลกหน้าเดินเข้ามา และชี้แนะในเรื่องที่เราไม่ได้แม้แต่เอ่ยปากเล่า แต่กำลังทรมานใจ แล้วเราก็มักจะคิดได้อะไรดีๆ ที่พลิกชีวิตไปเลย

อย่างน้อยคืนนี้ก็ได้ยิ้ม หัวเราะจากการเจอคนแปลกหน้าชาวต่างชาติที่ความคิดเหมือนกับเรา และเค้าส่งอิทธิพลบางอย่างให้เราพร้อมออกไปทำสิ่งที่ใจบอกให้ทำ นั่นก็คือ การปล่อยวางทุกอย่าง โดยเฉพาะวัตถุ แล้วใช้ชีวิตกับปัจจุบัน

อายุ 26 ปี ปีนี้ย่าง 27 ปี
ดิฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งค่ะ เป็นลูกคนกลางในบรรดาพี่น้อง 3 คน เติบโตมาในครอบครัวคนจีนที่เคยมีฐานะ และมีชื่อเสียงในพื้นที่พอสมควร ดิฉันผ่านมาทั้งช่วงชีวิตที่สบายหรูแบบที่ว่ากินบุพเฟ่ต์โรงแรมทุกอาทิตย์ และลำบากจนต้องหาเงินเองมาแล้ว การต่อสู้ดิ้นรน หาเงินเลี้ยงตัวเองจึงเป็นธรรมชาติของดิฉัน เรียกว่าเป็นผู้หญิงลุยๆ ถึก และรู้จักเอาตัวรอดได้คนหนึ่งก็ละกัน

ดิฉันรับรู้มาตลอดว่าฐานะการเงินของทางบ้านค่อนข้างจะแย่ลงเรื่อยๆ ตอนปลาย ม.4 เมื่อประมาณปี 2007 ดิฉันเลยคิดว่า มันต้องมี solution ที่จะช่วยประหยัดเงินครอบครัวสำหรับการส่งเสียดิฉันเรียนมหาวิทยาลัย 4 ปี แล้วเรายังได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน ได้ไปต่างประเทศด้วย ก็เลยสอบชิงทุนรัฐบาลไปเรียนต่อที่ไต้หวันสำเร็จ ดิฉันเลิกรบกวนเงินพ่อแม่ตั้งแต่อายุ 19 ปีตอนกลาง นับจากนั้นมา อยากไปต่างประเทศอีก หรือไปเรียนต่ออีกก็ใช้เงินเก็บ และทำงานก๊อกแก๊กส่งเสียตัวเอง จนแม้กระทั่งตอนเหลือเงินอยู่ 3,000 บาททั้งเนื้อทั้งตัว ตอนเริ่มตั้งตัวใหม่ๆ ในกรุงเทพฯ ดิฉันก็ผ่านช่วงนั้นมาแล้วทั้งหมดด้วยตัวเอง

"ชีวิตใหม่ ที่ไทเป" เป็นบันทึกที่ดิฉันตั้งใจบันทึกข้อคิดชีวิตที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไว้ แรงบันดาลใจคือ ตั้งใจแบ่งปันเกร็ดชีวิตให้คนอื่นได้อ่าน ได้คิดไปพร้อมๆ กัน เพราะชีวิตมนุษย์เราก็คล้ายๆ กัน และสิ่งที่ดิฉันสื่อออกมา มันอาจจะไปโดน หรือสร้างชีวิตใหม่ให้กับใครหลายๆ คนด้วย ใครจะไปรู้

ขอให้รู้ไว้ว่า ทุกๆ วินาทีคือ ชีวิตใหม่

ไม่ว่าตอนนี้คุณจะเสียใจ โศกเศร้า ดำดิ่ง จมปลักกับอะไรก็ตาม วินาทีถัดไปคุณมีชีวิตใหม่ได้ เมื่อคุณยอมรับมัน

---

หลังจาก boarding เรียบร้อย รัดเข็มขัดแล้ว น้ำตาก็ไหลพรากไม่หยุด แบบไม่อายใคร เราอธิษฐานบอกกับตัวเองว่า ตอนนี้คือโอกาสสุดท้ายที่จะร้องไห้กับปัญหาความรักเดิมๆ นี้แล้ว ที่ค้างคาอยู่ก็ปล่อยมันออกมาให้หมดไปเลย ไม่ต้องทิ้งมันไว้ที่เมืองไทยหรือที่ไหน แต่ให้มันสลายไป เพราะพอเครื่องทะยานไปแล้วนั่นคือ ชีวิตใหม่ แล้ว จนพอเครื่องร่อนไปในชั้นอากาศสูงจนเสถียร เราสงบได้แล้ว น้ำตาหยุดไหล

แล้วเราก็ค้นพบว่า เครื่องบินก่อนจะร่อนสูงเพื่อไปสู่จุดหมายใหม่ในที่ต่างๆ มันต้องสตาร์ทเครื่อง ต้องวิ่งบนรันเวย์ที่ไม่ลื่นเหมือนตอนบินบนอากาศ มันต้องเหินฟ้าต้านลมตอน take off ใช่ มันยากที่จะต้านลม แต่พอเหินขึ้นฟ้าไปได้ นั่นแหละความสง่างามของเครื่องบินสู่จุดหมายใหม่

ความรักก็เหมือนกัน เมื่อความต้องการของ 2 คนไม่ตรงกัน ก็ถึงเวลาต้องแยกไปกันคนละทาง ตอนแยกมันยาก เพราะมันผูกพัน เต็มไปด้วยความหวัง คำมั่นสัญญา และอารมณ์ความรู้สึก ก็แค่ต้องปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ให้พอ งี่เง่าให้พอ เสร็จแล้วก็ถึงเวลาไปสู่ที่ใหม่

แต่ถ้าเรายังยื้อบางอย่างไว้ทั้งๆ ที่รู้ว่าใครคนใดคนหนึ่งทุกข์ ก็จะไปสู่จุดหมายใหม่ไม่ได้เลย ลมน่ะ มันต้านเราเสมอ แต่เครื่องบินเวลา take off มันไม่ได้ถูกลมยื้อไว้บนพื้น มันก็แค่ take off ออกไปตามที่ควรจะเป็น เพราะเป้าหมายถูกตั้งไว้แล้วว่า ไฟลท์นี้จะไปจอดที่ไหน แล้วก็ทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างสง่างาม จนกระทั่งลงจอด

เรารู้เป้าหมายว่า เราอยากมีความสุข และเราก็อยากให้อีกคนมีความสุข ก็ลองมองดูว่า เส้นทางสู่ความสุขของทั้งเราและเขามันคือทางไหน จากนั้นก็ take off แล้วบินทะยานออกไป

เจ็บแต่จบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่