[CR] ลั๊ลลา Summer Time in Dust Thani Maldives 4 Days 3 Nights

เชื่อว่าประเทศที่เป็นเส้นทางความฝันของนักท่องเที่ยวหลายๆคน คงไม่พ้น Maldives ประเทศหมู่เกาะซึ่งได้ชื่อว่ามีทะเลที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ทางใต้ของประเทศศรีลังกาอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ ก็เคยได้ยินได้ฟังชื่อเสียงของหมู่เกาะแห่งนี้มานาน แต่ก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสเข้าไป check in ปักหมุดซักที หยุดยาวแรกของปี 2017 ได้โอกาสในการตะลุยเกาะสวรรค์แห่งนี้ จึงขอนำความประทับใจมาเล่าให้ฟังในรีวิวนี้ครับ

Day 1
เครื่องบินแบบ Airbus A319 ของสายการบิน Bangkok Airways เริ่มลดเพดานบินลงจากระดับการบินปกติ หลังจากใช้เวลาเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิมา 3 ชั่วโมง 30 นาที แอร์โฮสเตจเริ่มเปิดไฟภายในเครื่องบิน เป็นนาฬิกาปลุกให้ผมตื่นจากการนอนหลับอันไม่ยาวนานมากนัก พร้อมเสียงประกาศห้าวต่ำจากลำโพงว่า "We're descending to Male International Airport" บิดขี้เกียดสักสองสามทีแล้วลองเปิดหน้าต่างข้างที่นั่งดู ก็ได้พบกับบรรยากาศชวนหลงไหลกับสีของน้ำทะเลฟ้าครามสลับสีเขียว ซึ่งถือว่าเป็น Signature ของประเทศนี้โดยเฉพาะ
หลังจากเครื่องบินลงจอดสนิท แล้วผู้โดยสารเดินเข้าสู่ Terminal นั้น ก็จะรู้ได้เลยครับ มาถึงแล้ว Welcome to Maldives ตัวโตๆ แปะไว้อย่างสวยงามทางฝั่งซ้ายของทางเข้า ก่อนทางเดินเป็นเส้นตรงจะนำไปสู่พิธีการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งผ่านไปได้อย่างราบรื่น
หลังจากออกมาจากด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วนั้น เจ้าหน้าที่โรงแรม Dusit Thani ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองได้มายืนรอรับ พร้อมป้ายชื่อใหญ่เห็นเด่นเป็นสง่า เมื่อทักทายทำความรู้จักกันเรียบร้อย เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็พาเดินออกมาด้านหน้าสนามบินเพื่อขึ้นรถต่อไปห้องรับรองของโรงแรม (เนื่องจากการเดินทางไปโรงแรมดุสิตนั้น ค่อนข้างไกล จึงต้องต่อ Sea Plane อีกทีหนึ่ง) บรรยากาศหน้าสนามบินก็จะเป็นท่าเทียบเรือ โดยมีเรือหลากหลายชนิดวิ่งกันขวักไขว่ไปมา แต่สิ่งที่สะดุดตามากที่สุด เห็นจะไม่พ้นสีของน้ำทะเลในบริเวณท่าเรือ ซึ่งเป็นสีฟ้าแบบสระว่ายน้ำ สวยงามตามสไตล์ Maldives ทีเดียว
เครื่องบิน Sea Plane ที่จะนั่งต่อไปยังโรงแรม Dusit นั้น เป็นเครื่องบินของสายการบินท้องถิ่น ชื่อว่า Trans Madivian Airways มีที่นั่งทั้งหมด 15 ที่นั่ง เมื่อก้าวขึ้นไปบนเครื่องบิน จะพบว่าต้องก้มหัวครับ เพราะเพดานค่อนข้างเตี้ย และที่นั่งไม่ใหญ่มาก มีกัปตัน 2 คน นั่งซ้ายขวา ดูจากหน้าตาแล้วคาดว่าน่าจะเป็นชาวยุโรป
เอาจริงๆ ว่าเป็นคนกลัวเครื่องบินในระดับหนึ่งเลย ทำให้ตอนเครื่องขึ้นก็แอบหวาดๆ ด้วยความที่เครื่องมันเล็ก แถมยังเป็นเครื่องใบพัดอีก สยิวกริ้วกันไปนิดนึง แต่พอเครื่องไต่ระดับได้แล้ว ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เครื่องก็บินเตี้ยๆ เลียดน้ำทะเลไปเรื่อยๆ ใช้เวลาบินประมาณ 35 นาที ก็ถึงโรงแรม Dusit Thani ที่หมายของเรา
เครื่องบิน Sea Plane แล่นลงบนน้ำทะเลบริเวณหน้าโรงแรม แล้วค่อยๆแล่นเข้าไปจอดเทียบท่าเรือของโรงแรมซึ่งทำเป็น pier ยื่นออกมากลางทะเล บนท่าเรือ มีเจ้าหน้าที่โรงแรมมาต้อนรับมากมาย ตั้งแต่ระดับ Manager จนถึงระดับพนักงานธรรมดา พร้อมมี Welcome Drink เป็นน้ำผลไม้มาต้อนรับ หากมองจากท่าเรือเข้าไปโรงแรม จะเห็นเพิงใหญ่ๆ ซึ่งบริเวณนี้ เรียกว่า Market เป็นห้องอาหารเช้าของโรงแรม

จากบริเวณเดียวกัน หากมองจากท่าเรือลงไปด้านล่าง จะเห็นความใสของน้ำทะเลสีเขียวมรกต ชนิดที่เรียกว่าใสจนเห็นปลาว่ายไปมาได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว
เมื่อจัดการ check in เรียบร้อยแล้ว พนักงานขับรถประจำห้องพักก็จะพาแขกที่เข้าพักแยกย้ายไปตามห้องของตนเอง ส่วนพนักงานประจำห้องของผม ชื่อ Zinan หรือ ศรีน่าน เป็นคนศรีลังกา มาทำงานที่โรงแรม Dusit แต่นางเล่าว่านางมีเมียมีลูกเป็นคนไทยอยู่ที่เชียงใหม่ ศรีน่านพาขับรถวนรอบโรงแรม ซึ่งมีลักษณะเป็นเกาะ 1 รอบ พร้อมกับแนะนำสถานที่ต่างๆ ให้ได้รู้จักคร่าวๆ บนเกาะโรงแรมดุสิตนี้ มีทุกอย่างพร้อมเพรียงไปหมด เริ่มตั้งแต่ห้องอาหารของโรงแรมที่มีด้วยกันทั้งหมด 3 ห้อง ได้แก่ The Market (ห้องอาหารเช้า และห้องอาหารบุฟเฟ่มื้อเย็น) , ห้องอาหาร Sea Grill ซึ่งจะเน้นเป็นอาหารทะเลออกสไตล์ Italian และ สุดท้าย คือ ห้องอาหารเบญจรงค์ ซึ่งเป็นห้องอาหารไทย ยื่นออกไปกลางทะเล (อาหารไทยอร่อยมาก) จากนั้น Zinan ก็เริ่มแนะนำ Fitness Center , Diving Center , บริเวณสระว่ายน้ำ และมาจบที่ห้องพักของเราเอง
ห้องพักในคืนแรกนั้น เป็นห้องใหญ่ อยู่รวมกัน 4 คน เนื่องจากมีห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำ 3 ห้อง ห้องรับแขก 1 ห้อง และบริเวณระเบียงนั่งเล่น ซึ่งประกอบไปด้วยสระน้ำขนาดเล็ก และ มีบันไดลงไปสัมผัสน้ำทะเลด้านหลังด้วย (แต่บริเวณหลังห้องไม่สามารถลงทะเลได้ เนื่องจากพื้นใต้น้ำเป็นหินซึ่งค่อนข้างลื่น)
หลังจากเก็บข้าวเก็บของเรียบร้อย ก็เปิดแชมเปญจ์ที่โรมแรมแถมให้ซะหน่อย
หลังจากพักผ่อนนอนหลับนั่งเล่นจนรู้สึกตัวเองจะเริ่มขี้เกียจเกินไปแล้ว จึงออกไปปั่นจักรยานดูบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น ในส่วนของจักรยานนั้น โรมแรมจะจัดให้มีประจำทุกห้อง โดยสามารถปั่นจักรยานได้รอบเกาะ เนื่องจากทางโรงแรมได้ทำทางสำหรับจักรยานวิ่งไว้อยู่แล้ว แต่ก็จะมีบางจุดที่ค่อนข้างอันตราย เนื่องจากมีการขี่สวนมา ซึ่งบางมุมเป็นมุมเลี้ยวที่ไม่สามารถมองเห็นได้ล่วงหน้า (ผมนี่ลุยพุ่มไม้ไป 2 รอบ)
พระอาทิตย์ตกดินที่หมู่เกาะ Maldives เป็นอีก signature หนึ่งของการเดินทางที่พลาดไม่ได้ เนื่องจากท้องฟ้าจะเปลี่ยนเฉดสีไปเรื่อยๆ ตามองศาที่ต่ำลงของพระอาทิตย์ ทำให้สามารถเลือกถ่ายรูปได้หลายอารมณ์ เป็นความเพลิดเพลินที่สวยงาม แต่แฝงไปด้วยความมีพลังซึ่งส่งออกมาได้เป็นอย่างดี
ค่ำคืนแรกกลางเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ผมเลือกรับประทานอาหารค่ำที่ห้องอาหาร Sea Grill เป็นแห่งแรก เนื่องจากอยู่ใกล้ห้องพัก และอยากรับประทานอาหารที่ออกแนวฝรั่ง ห้องอาหาร Sea Grill ตั้งอยู่ในบริเวณสระน้ำหลักของโรงแรม เมนูส่วนใหญ่จะออกแนวฝรั่งจ๋า มี set menu ให้เลือก เป็น Starter , Main Course และ Desert ซึ่งผมได้เลือกสั่ง Lobster Soup ตามด้วย Lamb และปิดท้ายด้วย Lemon Icecream สามอย่างที่สั่งมา ผมขอให้เครดิตกับ Lobster Soup ครับ เป็นเมนูที่รสชาติดีเยี่ยม และมีเนื้อ lobster ให้ได้เคี้ยวเต็มปากเต็มคำ แต่ก็ไม่ดูถูกจาน Main ซึ่งเป็นเนื้อแกะที่นุ่ม กินเพลินมากครับ มื้อเย็นมื้อแรกให้ 9/10
อิ่มหนำเรียบร้อยก็ปั่นจักรยานกลับห้องพัก ในช่วงกลางคืนนั้น โรงแรมได้ประดับไฟไว้ตามริมขอบทางเดินเหนือน้ำ เพื่อป้องกันอันตรายและเป็นเส้นทางให้กับแขกของโรงแรมได้ปั่นจักรยานได้โดยไม่หลงทางและไม่ตกน้ำ ปิดทริปวันแรกด้วยความอิ่มและฟิน อานน้ำนอนหลับแอร์เย็นฉ่ำ

End of Day 1
ชื่อสินค้า:   Dusit Thani Maldives
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่