มุมมองของผม คนจบตรี.สายวิทย์ ต่อโทสายการศึกษา ต่อนโยบายคุณหมอ

ขอเล่าเรื่องประวัติของผม และมุมมองที่ผมเห็นต่อนโยบายร้อนของคุณหมอที่ให้คนไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูสามารถสอบบรรจุครูได้ โดยมีข้อแม้ว่าต้องได้ใบประกอบฯภายใน 2 ปี สิ่งที่ผมเขียนนี้เป็นความเข้าใจของผมคนเดียว/มีข้อผิดพลาด/ไม่ได้อ้างอิงว่าทุกคนที่มีประสบการณ์คล้ายกับผมจะคิดเหมือนกัน การเขียนของผมอาจสะเปะสะปะสักหน่อยนะครับแต่มันมาจากความรู้สึกจริงๆของผม ขาดตกบกพร่องหรือสงสัยถามได้ครับ ถ้าตอบได้ก็จะตอบ

เล่าประวัติโดยคร่าวๆ นะครับ ส่วนตัวผมจบป.ตรีสายวิทยาศาสตร์จากมรภ.แห่งหนึ่งด้วย GPA สวยหรู แต่ก่อนหน้านั้นชีวิตเป็นเด็กติดเกมออนไลน์หนักไม่เรียนไม่ทำงานมาหลายปี ย้อนไปอีกผมเคยสอบเข้าไปเรียนในมหาลัยอันดับหนึ่งในภาคอิสาน แต่ GPA รุ่งริ่งอยู่ 2 ปี จากนั้นสอบเข้ามหาลัยซิ่วไปเรียนม.ดังสีเขียวในกทม.ในสาขาเดิมแต่ก็รุ่งริ่งเช่นเดิม ก็คิดนะว่าแล้วจะซิ่วทำไมได้ประโยชน์อันใด เพราะ 1.ผมโง่ 2.ผมติดเกมออนไลน์หนักมาก ติดเกมมาหลายปีจะไปสอบเข้ามหาลัยดีๆก็ลำบากเพราะระบงระบบการสอบเข้าอะไรๆเปลี่ยนไปหมดก็เลย ไปเรียนมรภ.เปลี่ยนไปเรียนวิทคอมด้วยเพราะคิดว่าข้าติดเกม ข้าคงชอบคอมพิวเตอร์(มั้ง) แต่เอาเข้าจริงไปเรียนเทอมเดียวอะไรว่ะ 1 1 1 0 0 1 จริง เท็จ จริง บลาๆ เออไม่ชอบว่ะ รักแท้ของผมอยู่ที่ที่ผมเคยทิ้งมาน่ะเองก็เลยกลับไปเรียนวิทยาศาสตร์เหมือนเดิมในมรภ.นี่แหละ พอมาเรียนรอบไหม เวย!!!ข้านี่โคตรเก่งโคตรฉลาดเลยว่ะ ก็ตามที่คุณคิดแหละ เพราะ input ของมหาลัยชั้นนำกับมหาลัยบ้านๆ ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่มีอีกข้อคือผมเรียนวิชาเดิมมา 3-4 รอบแล้ว ผมจึงแน่นเนื้อหากว่าใคร โง่แค่ไหนถ้าเรียนซ้ำๆมันก็ย่อมซึมซับเข้าบ้างแหละ ขอบคุณที่ผมติด F ม.ดังทั้งสองที่จำนวนหลายวิชา กับอีกข้อที่สำคัญมากคือเรียนม.เล็กอาจารย์ดูแลทั่วถึง ผมเคยโดดเรียนวิชาเอก 1 วัน วันต่อมาน้องๆที่เรียนด้วยกันต่างเรียกหาว่าอาจารย์ให้พี่เข้าพบ นึกว่าจะโดนด่าแต่กลับโดนถามสารทุกข์สุขดิบว่าเรียนโอเคไหมเข้ากับน้องๆได้ไหม ชีวิตนี้ทำตัวแย่ๆ มาตลอด อยู่ๆมีครูบาอาจารย์ที่ท่านเชื่อใจเราแค่ว่าเพราะเราเป็นศิษย์ ผมจึงเปลี่ยนแปลงตัวตั้งใจเรียนเรื่อยมา ก็เลยจบป.ตรีแบบชิลๆด้วยเกรดหรู ไฮโซบ้านนอก
ไปทำงานสักพักผมก็สอบทุนป.โททุนสายการศึกษา(แต่ก่อนเป็นป.บัณฑิตก่อนหน้านั้นอีกก็อีกระบบหนึง)ที่คนเขาเคยเกลียดว่าไปแย่งที่คนสอบบรรจุเป็นครู(จนถึงตอนนี้ยังเกลียดอยู่ไหมครับ ไม่ทราบจริงๆ) ทุนเดียวกันแต่เลือกได้หลายมหาลัยครับแต่ผมลงที่ม.ใกล้ที่ทำงานไปสมัครง่ายดี เป็นม.สีเขียวที่เคยทำผมช้ำใจนั่นแหละ มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้จักศาสตร์ของความเป็นครู จบประวัติคร่าวๆ รึเปล่า?

คนที่เรียนด้วยกันแต่ละคนจบสายวิทย์ม.ดังทั้งนั้น นับหัวคนจบเกียรตินิยมอาจจะเยอะกว่าคนที่ไม่ได้นะครับ (อาจารย์ที่ม.ชอบพูดว่าเด็กทุนอย่างพวกผมนี่เป็นครีมแปลว่าเข้มข้น หัวกะทิ อะไรทำนองนั้น) คนเก่งวิชาการมารวมกันมาเรียนศาสตร์การสอน ที่เราเจอด่านแรกคือธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ จะบอกว่าทั้งหมดที่มาเรียนรู้เรื่องนี้น้อยมาก จะสอนวิทย์แต่ไม่รู้ว่าวิทย์เป็นยังไง ทุกคนมุ่งไปที่ความรู้ในเรื่องวิชาการหมดโดย skip หัวใจหลักไป ผมเองก็ไม่รู้ครับ ผมพึ่งย้อนดูหนังสือเรียนมันถูกใส่ไว้ในวิทย์ม.1 (นี่ข้าเคยเรียนหรือไงวะ ไม่เคยจำได้) จากตรงนี้เรารู้จักแก่นของวิทยาศาสตร์ความเป็นมาของความรู้ทั้งหลาย จึงย้อนไปหาว่าความรู้ได้มายังไง ซึ่งมันก็ย้อนไปหาคำว่า inquiry หรือสืบเสาะหาความรู้(แบบนักวิทยาศาสตร์) จากตรงนี้คือวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สอนรูปแบบต่างๆ ให้สอดคล้องกับ inquiry ตรงนี้สำคัญมากครับเราจะได้ตรงนี้จากศาสตร์การสอน

ทำไมต้อง inquiry? เด็กบ้าวิชาการมารวมกัน ในช่วงแรก เรามีความเห็นว่า เสียเวลามากกับกิจกรรมอะไรพวกนี้ เราแค่สอนเหมือนที่เราเคยติวเด็ก (หลายคนเป็นติวเตอร์ตอนเรียนป.ตรีครับ บางคนตอนเรียนโทก็มีไปสอนหารายได้พิเศษมั่ง แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาเพราะเรียนหนัก) เราบอกให้เขารู้ อธิบายความเชื่อมโยง เด็กเรียนรู้ เด็กสอบได้ เร็วและทุกคนได้ประโยชน์ นี่คือทำไมการกวดวิชาถึงประสบผลสำเร็จ แต่ผมจะเล่าว่ามันมีข้อเสียอย่างไรในย่อหน้าถัดไป

กว่านักวิทยาศาสตร์จะได้ความรู้มา เขาทำอะไรมาบ้าง เขาต้องมีสิ่งไหนบ้าง สิ่งแรกที่นักวิทยาศาสตร์มีทุกคนคือกระบวนการคิดขั้นสูง ผมขออ้างอิงกระบวนการคิดจาก bloom taxonony(แบบปรับแล้ว) เริ่มจากต่ำไปหาสูงดังนี้ จำ เข้าใจ นำไปใช้ วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างสิ่งใหม่ เพราะงั้นเป้าหมายที่ควรจะเป็นของการเรียนวิทย์คือพยายามให้เด็กไปถึงกระบวนการคิดขั้นสูงๆ ยิ่งสูงสุดคือสร้างสิ่งใหม่ยิ่งดี ตรงนี้เป็นจุดสำคัญมากเพราะในยุคก่อนเราเรียนแบบท่องจำนกแก้วนกขุนทองเพราะไม่รู้จึงต้องให้รู้ อยู่ในต่ำสุดของกระบวนการคิดเลย และวิธีนี้ยังติดมาถึงปัจจุบันให้ใครๆ ด่าครูเล่นว่าสอนแบบนกแก้วนกขุนทอง สอนไม่ได้เรื่อง ซึ่งต้องดูนะครับว่าสอนอะไร เด็กรู้อะไรบ้าง ไม่ใช่สักแต่ว่าด่าครูนะครับ (แต่ครูบางคนก็ควรพิจารณาตนเองด้วยนะครับว่าเขาด่าเพราะเราควรถูกด่าหรือเปล่า) พอมาเป็นติวเตอร์ที่คนไทยเราชาบูธุรกิจกวดวิชาอันรุ่งเรือง หลังจากกวดวิชาจากเด็กโง่เป็นเด็กฉลาด? ติวเตอร์เป็นคน 1.มีความเข้าใจในเนื้อหาวิชาการนั้นๆ 2.รู้ว่าจะออกสอบยังไงกับทำยังไงเด็กถึงจะสอบได้  เพราะความแน่นของเนื้อหาเขาเข้าใจถึงจุดเชื่อมโยงของเนื้อหาเป็นอย่างดี บอกให้หมดเลยครับ เด็กจำได้และเข้าใจด้วย ส่งเด็กไปที่กระบวนการคิดขั้นที่ 2 สวยๆ คือเข้าใจ การสอบเน้นที่วิชาการใครรู้ใครเข้าใจมันก็ต้องทำข้อสอบได้แหละ และการฝึกให้เด็กทำโจทย์เหมือนกับที่ผมเรียนซ้ำๆนั้นแหละ เวลาทำอะไรซ้ำๆ เราจะชำนาญครับ แล้วที่เหลือล่ะ นำไปใช้ วิเคราะห์ ประเมิน สร้างสรรค์สิ่งใหม่ เจ้า 3 ตัวนี้ถูกทิ้งไปหน้าตาเฉยเลยเพราะถึงมีก็ใช่ว่าจะช่วยให้สอบได้ เราจึงมองแค่ว่าเด็กฉลาดคือเด็กที่สอบได้

มาที่นโยบายคุณหมอ คุณหมอใช้โมเดลคนเก่ง(วิชาการ) มาสอนเด็ก เราจะไปแค่ขั้นเข้าใจเหมือนที่ติวเตอร์ทำครับ เพราะเขาขาดวิธีการสอนที่เน้นให่นักเรียนเกิดการคิดขึ้นสูง ตามความเห็นของคนนอกวงการแพทย์ของผม (หากผมเข้าใจผิดขออภัย และจะดีมากหากท่านในวงการแพทย์ให้ความกระจ่างว่าผมเข้าใจคลาดเคลื่อนและคลาดเคลื่อนอย่างไร) นักศึกษาแพทย์เรียนหนักมากอ่านหนังสือหนักมาก นี่คือนักเรียนจำนวนน้อยที่สุดและถือว่าเก่งที่สุดของประเทศต้องพบเจอ อาจารย์หมอเก่งไหม ผมไม่สงสัยครับว่าวิชาการแน่นปั๊ก แต่ท่านสอนอย่างไร? ทำไมเด็กที่ถือว่าสุดยอดที่อยู่ในมือของท่านจึงต้องไปอ่านหนังสือแทบเป็นแทบตาย วิชาชีพของท่านต้องเน้นไปที่วิชาการแน่น(จำ-เข้าใจ)และลงมือปฏิบัติดีเยี่ยมเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่หมายถึงผิดพลาดหนึ่งครั้งเท่ากับชีวิตคนหนึ่งคนหรือมากกว่า (ผมบอกว่าเน้นนะครับ ไม่ได้บอกว่าท่านไม่ได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูงเลย เพราะหมอก็ต้องวิเคราะห์อาการป่วยหรือทำวิจัยซึ่งเป็นกระบวนการคิดขั้นสูง) ด้วยวิธีการเดียวกันนี้ผมมองเห็นว่าครูที่ไม่ผ่านศาสตร์การสอนก็จะทำได้เพียงจำและเข้าใจเพราะเขาไม่ได้มีวิธีการสอนอื่นในมือ (ตลอดชีวิตผมก็พึ่งมาเจอมารู้ตอนเรียนครูนี่แหละ ถ้าไม่รู้จักคงจัด powerpoint สอนกันยาวๆ 555) นี่คือความสำคัญของวิธีการสอนว่าทำไมจึงสำคัญ นอกจากนี้บริบทของการสอนยังต่างกันมาก คุณคิดว่าจะมีนักเรียนสักกี่%ที่อ่านหนังสือแบบนักเรียนหมอ สมัยมัธยมของผมนี่ไม่เคยอ่านก่อนสอบเลยครับ เอาแค่เด็กมาเรียนครบก็ยังยากแล้วครับแล้วสารพัดปัญหาของเด็กที่ครูต้องรับมือ และอีกอย่างที่สำคัญมากคือความหลากหลายของนักเรียนที่ครูต้องสอน(ผมคิดว่าว่านักเรียนแพทย์นี่มัน pattern เดียวกันเลยนะ แถมเก่งด้วย น่าจะสอนง่ายจัง ไม่ต้องไปสอนเลยก็อาจทำข้อสอบได้ 5555) คุณจะให้เด็กทุกคนเด่นที่เนื้อหา มีความจำเข้าใจเป็นเลิศทั้งๆที่โตมาเขาอาจเป็นช่างไฟ ช่างแอร์ นักฎหมาย รมต. นายก ถามหน่อยถ้าผมเป็นนักเรียนที่อยากเป็นทนายผมจำเป็นต้องรู้เรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีไปทำไม เราจะเห็นคำถามมากมายว่าเรื่องนี้เรื่องนั้นเรียนแล้วไม่ได้เอาไปใช้ในชีวิตจริง เออแต่ก็รู้เพราะเรียนเอาไปสอบ

นโยบายรัฐบาล thailand 4.0 ที่เราจะเน้นไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่มจากสิ่งที่มี ผมเองก็สงสัยนะว่าเราจะไปที่จุดนั้นได้อย่างไรหากประเทศของเรามีแต่คนที่เนื้อหาแน่นปั๊กคือคนเก่ง โดยที่เราไม่ได้ใส่ใจเลยหรือว่าเราต้องการคนที่มีกระบวนการคิดขั้นสูงมาคิดอะไรใหม่ๆป้อนนโยบาย(ของคนที่ชอบบอกคนอื่นว่าหัดคิดซะบ้าง) เรามุ่งเน้นแต่ให้คนเก่งเนื้อหาเพื่อไปสอบเป็นหมอ เป็นวิศวะ (อย่าโกรธกันนะที่ยกตย.เป็นวิชาชีพของท่าน แต่ท่านก็รู้ว่านี่คือสายที่ popular มากในสังคมไทย) แล้วอาชีพอื่นล่ะ แล้วนักเรียนที่เขาไม่สามารถไปถึงจุดนั้นเขาจะอยู่อย่างไรในเมื่อเขารู้เนื้อหาแบบงูๆปลาๆแต่ขาดกระบวนการคิดขั้นสูง ประเทศไทยจะไปถึง 4.0 อย่างไรหากคนไทยยังคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ไม่เป็น ตายละผมคงคิดไกลไป เอาแค่ให้วิเคราะห์และประเมินได้ก็น่าจะยากอยู่ครับ เช่น อ.เจต(ที่ดังๆ)ออกมาเฉลยว่าปริศนานี้มาจากบลาๆๆๆ ก่อนที่ท่านจะมาเฉลยเราเชื่อไปละว่ามันคือรอยเท้าพยานาค มันคือผีลากเตียง นี่คือสถานการณ์ของสังคมไทย เชื่ออะไรง่ายไปหมดไม่ต้องคิดวิเคราะห์กันเลย หรือเนเน่คุงบอกว่าการบวงสรวงไหว้โน่นนี่นั่นปัญญาอ่อน คิดไปคิดมามันก็จริงนะใช่ว่าบวงสรวงแล้วจะเรียนจบ (ขอบคุณเนเน่ที่ทำให้ผมฉุกคิด) แต่นี่มันเป็นเรื่องความเชื่อที่ค่อนไปทางศาสนาครับ ขนาดที่ตปท.ครูสอนชีวะสอนเรื่องวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอาจถูกผปค.ล่าแม่มดได้ เพราะงั้นต้องแยกนะครับว่าศาสนาความเชื่อเราจะไม่เอากระบวนการคิดเข้าไปยุ่ง (เหมือนกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์จะไม่ยุ่งเรื่องนี้เพราะพิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์) มันเป็นเรื่องของการทำแล้วสบายใจเหมือนกับเลี้ยงแมวเลี้ยงแฮมนั้นแหละ ผมก็เลี้ยงนะแฮมเปลืองเงินใช่เหตุแต่ผมมีความสุขความสบายใจที่ได้เลี้ยง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโง่ที่ทำโดยตรรกะผิดเพี้ยนแต่เราเราเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกและสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น

แล้วทำไมครูสอนจริงไม่ได้เหมือนติวเตอร์หรือคนที่วิชาการแน่นๆมาสอน?
พูดมาซะสวยหรูกระบวนการคิด 5 ขั้น แต่เอาเข้าจริงแค่ขั้นจำยังไปไม่รอด ตามข้างบนครับ 2.เพราะความหลากหลายของนักเรียนมันเป็นเรื่องยากมากที่ครูจะสนองความต้องการของนักเรียนทุกคนไปพร้อมๆ กัน ในสมัยนี้ในรร.ใหญ่ๆก็ 40 คนต่อห้องละ เด็กเก่งสอนวิธีไหนมันก็เก่งครับ(ถ้าพูดถึงเนื้อหานะ) เด็กฉลาดสอนยังไงมันก็ฉลาดครับ(ถ้าพูดถึงกระบวนการคิด) แต่ครูไม่สามารถทิ้งเด็กที่อยู่ลำดับท้ายๆ ได้ เด็กเก่งเด็กฉลาดไปกวดวิชามันจึงได้ผลดี ออกมาเป็นรูปธรรมทำข้อสอบได้ 3.งานสอนของครูไม่ใช่งานหลักครับ แต่มันเป็นงานลำดับท้ายๆเลยทั้งที่น่าจะเป็นงานที่มีความสำคัญสูงสุด ครูถูกดึงไปทำหน้าที่ทุกอย่างในโรงเรียนโดยเฉพาะงานกระดาษที่น่าจะกินไป 70-80% ท่านคิดว่าเราจะสอนอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ 4.ครูใหม่ถูกไฟแรงกลืนโดยครูที่ไฟมอดแล้ว(ไม่ขออธิบายเพราะมันแล้วแต่คนจริงๆ) ปัญหามากมีที่ครูต้องเจอ 5.ครูเป็นติวเตอร์จนเสียงานโรงเรียน(แค่บางคนนะครับ เงินมันต้องใช้เพราะครูเป็นหนี้เยอะ แต่หลายท่านทำพอเลี้ยงชีพก็ว่ากันไป ไม่อยากวิจารณ์เพราะแต่ละท่านก็ต่างคิดต่างความจำเป็น) 6.นโยบายเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ครูทำตัวไม่ถูก พอเริ่มจะทำเป็นก็เปลี่ยนอีกแล้ว อันนี้เรื่องใหญ่เลย ผมก็จะรอดูว่าลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้เอย stemเอย ของดีๆทั้งนั้นจะไปได้สักเท่าไหร่ ครูไปอบรมมาแปปเดียวเปลี่ยนอีกแล้ว ทำให้ขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


ต่อด้านล่าง สุดท้ายสำหรับคนอึดตั้งใจอ่านบทความง่อยๆ ของผม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่