สวัสดีค่ะเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ วันนี้เป็นวันครบรอบ 3 ปี 3 วัน เอ๊ะ!!!! งงใช่มั๊ยคะ ว่าครบรอบอะไร ยังไง ใคร ??????
ยุงจำกระทุ้เหล่านี้ได้มั๊ยคะ
http://pantip.com/topic/32369793 @~ ณ ห้อง ICU ฉันจะไม่ยอมตายในนั้น vs เพื่อนใหม่ที่ตั้งใจจะเลิกคบถาวร)
https://m.pantip.com/topic/32504564 @~ น้ำตามันไหล เมื่อเขาตีค่าชีวิตเราด้วยเงิน 50,000 (ห้าหมื่นบาท)
http://pantip.com/topic/32351391 @~ น้ำตามันไหล เมื่อเขาตีค่าชีวิตเราด้วยเงิน 50,000 (ห้าหมื่นบาท)
ในวันนั้น เราได้รับกำลังใจมากมาย และกำลังใจเหล่านั้นทำให้เราสามารถก้าวข้ามความอ่อนแอ และลุกขึ้นสู้ วันใดที่เรารู้สึกว่าไม่ไหว วันนั้นเราจะเปิดกระทู้เหล่านี้ แล้วมานั่งไล่อ่านคอมเม้นของทุกๆคน ทำให้เรายิ้มได้ทั้งน้ำตา และกลับมาสู้อีกครั้ง จนวันนี้ เราอยากมาแบ่งปันความหวัง กำลังใจ ให้กับเพื่อนๆทุกคน ที่กำลังหมดหวัง กำลังท้อ กำลังร้องไห้กับสิ่งที่เจออยู่ อยากให้ทุกคนรู้ว่า ตราบใดที่เรามีหวัง มันจะเป็นกำลังใจที่จะทำให้เรากล้าที่จะก้าวต่อไปเพื่อสู้กับมัน

ภาพนีเเป็นภาพแรกที่เราได้เอาตัวเองออกมาจากห้องไอซียู หลังจากที่ต้องอยู่ในนั้นนานเกือบ 1 อาทิตย์ เรายังพูดไม่ได้ ไม่มีเสียง เพิ่งถอดท่อหายใจออก แต่เรายิ้ม ยิ้มเพราะเราดีใจที่เราออกมาจากห้องนั้นได้แล้ว ไม่ต้องนอนโดดเดียวในนั้นลำพัง(ทั้งๆที่คนในนั้นเยอะมากมาย แต่เรารู้แต่เพียงว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา)

ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เราทรมานที่สุด เรานอนรพ.เกือบ 2 เดือน นอนด้วยท่าเดิม ท่าเดียว ขยับตัวไม่ได้ เราได้รับการรักษาปอดที่ฉีกทั้ง 2 ข้าง ได้รับการผ่าตัดครั้งที่ 1 (มี.ค.57) ใส่เหล็กและเข้าเฝือกที่ขาทั้งสองข้าง

และแล้วก็ถึงวันที่รอคอย เราได้กลับบ้าน ได้มากอดลูกๆที่น่ารักทั้งสอง เรามีความสุขที่สุด ลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะเลยทีเดียว

แต่ใช่ว่าเราจะออกไปไหนได้ เราไม่รู้หรอกว่าจะมีสักกี่คนที่นอนจนร่างกายแข็ง ยึด นั่งไม่ได้ ขางอไม่ได้ เราเป็นหนึ่งในนั้น เราต้องมากายภาพอีกร่วมเดือนเพื่อที่จะนั่งได้ เจ็บปวดมาก แต่เราก็ยังยิ้มได้ และในที่สุด แต่น แตน แต๊นนนน


เราก็สามารถออกมาสู้โลกภากนอกได้เป็นครั้งแรก ถึงแม้จะมาในสภาพที่ต้องนั่งวิวแชร์ แต่เรามีความสุขมาก ดีใจมากที่เราสามารถออกมานั่งดูลูกๆเราวิ่งเล่นบนสนามหญ้าอย่างมีความสุข หลังจากนั้นเราก็พยายามฝึกเดินเรื่อยมา เรามีความหวังว่ากำลังจะเดินได้ในอีกไม่ช้า แต่ .......


(ก.ย. 57) เราต้องเข้าผ่าตัดครั้งที 2 เพราะเท้าเราจิกลง ทำให้เดินไม่ได้ ครั้งนี้เราได้ย้ายมารักษาที่รพ.ศิริราช เราเข้าใจ เรายอมรับ และเรายังมีหวัง ว่าหลังจากนี้เราจะเดินได้

เราจะได้เจอพ่อกับแม่เราปีละครั้ง ครั้งละ 4 อาทิตย์เท่านั้น และครั้งนี้ พ่อเรามาทำหน้าที่เข็นวิวแชร์ให้เรา มันทำให้เราน้ำตาจะไหลทุกครั้งที่เห็นพ่อเรามาเข็นรถให้เรา (เข็นตกหลุมตกบ่อตลอดทาง อิอิ) ตลอดเวลานี้ เราเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น เราปวดมากทุกครั้งเวลาฝึกเดินฝึกยืน จนมารู้ว่า ข้อสะโพกเราเสื่อม ต้องได้รับการผ่าตัด แต่คุณหมออยากให้ลองใช้วิธีกายภาพบำบัดดู ให้การผ่าตัดเปลี่ยนสะโพกเป็นวิธีสุดท้าย


และแล้ว (ม.ค. 58) การผ่าตัดครั้ง 3 ก็เริ่มขึ้น นี่ไม่ใช่การผ่าสะโพก แต่เป็นการผ่าเข่าและข้อเท้าที่มีปัญหา ถ้าจะพูดตามตรง ปัญหาในการเดินของเรามีทั้งขาซ้ายและขาขวา จำเป็นต้องค่อยๆแก้ ค่อยๆทำเป็นขั้นตอนไป จนตอนนี้ จะครบ 1 ปีแล้ว แต่เรายังเดินไม่ได้เลย ท้อ แต่เราท้อไม่นานนะคะ เราสู้ เรายิ้ม เอาอดทน ท่องให้ขึ้นใจเลย ว่า ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม สู้ สู้ สู้

หลังจากผ่าตัดครั้งนี้ เราได้กำลังใจจากพยาบาลสาวและหล่อสุดที่รักของเรา มาคอยดูแลเรา นี่คือความสุขที่เรามี ในแต่ละวัน เราพยายามอยู่กับความสุข อยู่กับความคิดบวกๆ อยู่กับความหวัง และกำลังใจของทุกๆคน

มีความสุขบนวิวแชร์ เราทำมาแล้วนะคะ ในเมื่อยังเดินยิ้มไม่ได้ ก็นั่งยิ้มบนนี้ไปก่อน เราไม่อยากให้เวลาที่ผ่านไปมีแต่ความทุกข์ เราตั้งใจว่า เราจะเป็นคนป่วยที่ยิ้มเก่งที่สุดในโลก ภาพนี้งานวันเกิดลูกค่ะ เป่าเค้กแล้วให้ลูกกินนิดเดียว ที่เหลือแม่กินค่ะ ^^

(มิ.ย.58) การผ่าตัดครั้งที่ 4 ครั้งนี้เป็นการผ่าตัดเอาเหล็กตรงสะโพกออก เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมในการผ่าตัดใหญ่เปลี่ยนข้อสะโพก ถึงจะผ่านมา 4 ครั้งแล้ว แต่เราไม่เคยชินสักครั้งกับการที่ต้องโดนมีดหมดเฉือนลงบนเนื้อ การเจาะเลือด ฉีดยา ให้น้ำเกลือ แต่สิ่งเดียนวที่เราต้องทำคือ อดทน และผ่านมันไปให้ได้

เรายังหวังเสมอ ว่าสักวันเราจะเดินได้ จูงลูกไปเดินเล่น เดินไปอย่างคนปกติโดยไม่ต้องใช้อะไรช่วยในการเดิน เรายังหวัง และยังหวังเสมอ





ระหว่างที่เรารอด้วยความหวังนั้น เราก็พยายามใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด แม้จะต้องพกวิวแชร์ไปด้วยตลอดเวลาก็ตาม เราไปงานสัตว์เลี้ยง ไปปฏิบัติธรรม ไปเที่ยวทะเล ไปร่วมทำบุญไกลถึงเชียงราย ไม่มีสิ่งใดเป็นอุปสรรค ยกเว้น น้ำหนักที่ขึ้นๆๆๆๆๆๆ แบบเราไม่สามารถควบคุมได้ เฮ้ออออ

สอบใบขับขี่ก็ไปนะคะ ช่วงที่เกิดอุบัติเหตุ ทำให้ไม่สามารถไปต่อใบขับขี่ได้ เลยต้องสอบใหม่เลย ตอนสอบต้องเตรีบมใบรับรองแพทย์ที่ต้องให้แพทย์ผู้ทำการรักษาระบุให้ชัดเจนว่าอาการป่วยที่เป็นอยู่ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆต่อการขับขี่ กว่าจะผ่านมาได้ต้องไปขนส่งถึง 3 ครั้งเลยทีเดียวค่ะ

และแล้ว (ก.ค. 59) การผ่าตัดครั้งที่ 5 ก็มาถึง ครั้งนี้เป็นการผ่าตัดที่เรากลัวมากที่สุด เรากลัวมาก ต้องตัดกระดูกสะโพกเราออก แล้วใส่ข้อสะโพกเทียมและสะโพกเทียมไปแทน เรากังวล เรากลัว แต่ในใจเราคิดแต่ว่า เราต้องผ่านมาได้ เราจะได้เดินได้ ความหวังเราอยู่ข้างหน้าแล้ว เราต้องสู้ ผ่าครั้งนี้ไม่มีรูปแผล เพราะแผลผ่าตัดยาวตั้งแต่ต้นขาจนถึงกลางแก้มก้น และ เราก็ผ่านมันมาได้ เย้ๆๆ เราทำได้ค่ะ


หลังการผ่าตัดครั้งนี้ เราต้องทำกายภาพต่อเนื่อง เราเริ่มดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติ ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคในชีวิตเราแม้ในวันที่คนไทยทั้งประเทศเสียใจอย่างที่สุด เรายังได้ทำในสิ่งที่คนไทยทุกคนตั้งใจและพร้อมใจไป นั้นคือการไปร่วมในพระราชพิธีเคลื่อนย้ายพระบรมศพไปยังท้องสนามหลวง ร่วมลงนามถวายความอาลัยที่พระบรมมหาราชวัง ร่วมทำอาหารไปแจกให้พี่น้องประชาชนชาวไทยที่ท้องสนามหลวง ด้วยความเต็มใจทั้งหัวใจ



แต่ผ่านมายังไม่ถึง 4 เดือน (พ.ย. 59) เราต้องผ่าตัดอีกครั้ง นับเป็นการผ่าตัดครั้งที่ 6 เพื่อเป็นการแก้ไขเข่าและข้อเท้าเราให้เดินได้ดีมากยิ่งขึ้น มีคนถามเราว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายหรือยัง เราตอบได้เต็มปากโดยที่ไม่ต้องรอถามคุณหมอเลยว่า ยังค่าาาาา แต่ครั้งนี้แปลก เรากลับรู้สึกว่าเราไม่กลัว เราอยากผ่า แม้จะรู้ว่าเจ็บ แต่เราเข้าใจและเต็มใจ เริ่มรู้สึกว่าเราเข้าใกล้ความหวังเราเพื่มมากขึ้นแล้ว อีกไม่นาน

นี่ค่ะ พยาบาลที่เราจ้างมาพิเศษ ค่าจ้างแพงมากค่ะ แถมพยาบาลยังดื้อ เรียกก็ไม่ค่อยมา แต่เวลาขอขนมล่ะก้อ มาสะกิดไม่หยุดเลยล่ะค่ะ


หลังจากผ่าครั้งที่ 6 เราค่อยจอดวิวแชร์ไว้ที่บ้าน เปลี่ยนจากวอกเกอร์ 4 ขา มาเป็นไม้เท้า 3 ขา และลดลงมาเหลือขาเดียว ณ วันนี้ เราสามารถเดินได้ด้วยขาของเราเองทั้ง 2 ข้าง แม้จะยังเดินช้า เดินท่าไม่เหมือนคนอื่น แต่เราก็ดีใจ และเราเชื่อว่ามันจะค่อยๆดีขึ้น ภาพถ่ายหน้าเสาธงเป็นภาพแรกและวันแรกที่เราได้มายืนเข้าแถวร้องเพลงชาติร่วมกับเด็กๆ หลังจากที่ไม่ได้มาตรงนี้เลยเป็นเวลา เกือบ 3 ปี
และในวันที่ 25 พ.ค 60 เราจะผ่าตัดอีกครั้งเป็นครั้งที่ 7 แต่ตอนนี้ เราอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ เราอยากเดินได้แบบปกติดังเดิม อยากเดินสวยๆ ใส่รองเท้าสวยๆแบบที่เคยเป็น แต่เราทำใจเตรียมไว้แล้วว่าถ้าจะไม่เหมือนเดิม 100 % เราก็จะทำใจและยอมรับ ว่ามาถึงขนาดนี้ได้เราก็พอใจแล้ว ส่วนความหวัง ต่อให้อีกนานแค่ไหน เราก็จะยังหวัง จะยังหวังว่าอาจจะมีสักวันที่เราจะกลับมาเหมือนเดิม
เราอยากให้ทุกๆคนที่กำลังทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์จากเรื่องอะไร เราก็ขอให้ทุกคนผ่านพ้นมันไปได้ด้วยดี อย่าท้อนะคะ อาจจะนาน แต่ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เราต้องสู้ค่ะ
ปล. ตอนนี้เรายังมีปัญหาเรื่องข้อเท้า เข่า และลำตัวที่ยังไม่ตรง ยังถอดรองเท้าไม่ได้ เดินเท้าเปล่าไม่ได้แม้ในบ้านยังต้องใส่ และมีปัญหากับการหารองเท้า เราเสียเงินไปเป็นหมื่นกับการซื้อรองเท้ามาเพื่อที่จะลองใส่เดินดู และส่วนใหญ่ใส่ไม่ได้เลย ทุกวันนี้ใส่ได้แค่ฟลิปฟลอบที่เป็นแตะเท่านั้นค่ะ คัทชูหาใส่ไม่ได้เลยแม้แต่ฟลิปฟลอปเราก็ใส่ไม่ได้ ลากแตะไปทำงาน เพราะขอบรองเท้ามาโดนแผลโดนกระดูกที่เราผ่าตัด ใครมีรองเท้าอะไรแนะนำ รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะคะ
ปล. 2 พิมพ์ผิด ตกหล่นประการใด ขออภัยมาตรงนี้เลยนะคะ
ปล. 3 ผู้หญิงที่อยู่ในเกือบทุกภาพ คือแฟนเราเองค่ะ คนที่ดูแลเรามาตลอด 3 ปึ ถ้าไม่มีเขา เราคงสู้มาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ^^
จากวิวแชร์...สู่ขาที่ลุกเดิน @..แบ่งปัน ความหวัง กำลังใจ ไม่มีอะไรยากเกินกว่าเราจะก้าวเดิน
ยุงจำกระทุ้เหล่านี้ได้มั๊ยคะ
http://pantip.com/topic/32369793 @~ ณ ห้อง ICU ฉันจะไม่ยอมตายในนั้น vs เพื่อนใหม่ที่ตั้งใจจะเลิกคบถาวร)
https://m.pantip.com/topic/32504564 @~ น้ำตามันไหล เมื่อเขาตีค่าชีวิตเราด้วยเงิน 50,000 (ห้าหมื่นบาท)
http://pantip.com/topic/32351391 @~ น้ำตามันไหล เมื่อเขาตีค่าชีวิตเราด้วยเงิน 50,000 (ห้าหมื่นบาท)
ในวันนั้น เราได้รับกำลังใจมากมาย และกำลังใจเหล่านั้นทำให้เราสามารถก้าวข้ามความอ่อนแอ และลุกขึ้นสู้ วันใดที่เรารู้สึกว่าไม่ไหว วันนั้นเราจะเปิดกระทู้เหล่านี้ แล้วมานั่งไล่อ่านคอมเม้นของทุกๆคน ทำให้เรายิ้มได้ทั้งน้ำตา และกลับมาสู้อีกครั้ง จนวันนี้ เราอยากมาแบ่งปันความหวัง กำลังใจ ให้กับเพื่อนๆทุกคน ที่กำลังหมดหวัง กำลังท้อ กำลังร้องไห้กับสิ่งที่เจออยู่ อยากให้ทุกคนรู้ว่า ตราบใดที่เรามีหวัง มันจะเป็นกำลังใจที่จะทำให้เรากล้าที่จะก้าวต่อไปเพื่อสู้กับมัน
ภาพนีเเป็นภาพแรกที่เราได้เอาตัวเองออกมาจากห้องไอซียู หลังจากที่ต้องอยู่ในนั้นนานเกือบ 1 อาทิตย์ เรายังพูดไม่ได้ ไม่มีเสียง เพิ่งถอดท่อหายใจออก แต่เรายิ้ม ยิ้มเพราะเราดีใจที่เราออกมาจากห้องนั้นได้แล้ว ไม่ต้องนอนโดดเดียวในนั้นลำพัง(ทั้งๆที่คนในนั้นเยอะมากมาย แต่เรารู้แต่เพียงว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา)
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เราทรมานที่สุด เรานอนรพ.เกือบ 2 เดือน นอนด้วยท่าเดิม ท่าเดียว ขยับตัวไม่ได้ เราได้รับการรักษาปอดที่ฉีกทั้ง 2 ข้าง ได้รับการผ่าตัดครั้งที่ 1 (มี.ค.57) ใส่เหล็กและเข้าเฝือกที่ขาทั้งสองข้าง
และแล้วก็ถึงวันที่รอคอย เราได้กลับบ้าน ได้มากอดลูกๆที่น่ารักทั้งสอง เรามีความสุขที่สุด ลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะเลยทีเดียว
แต่ใช่ว่าเราจะออกไปไหนได้ เราไม่รู้หรอกว่าจะมีสักกี่คนที่นอนจนร่างกายแข็ง ยึด นั่งไม่ได้ ขางอไม่ได้ เราเป็นหนึ่งในนั้น เราต้องมากายภาพอีกร่วมเดือนเพื่อที่จะนั่งได้ เจ็บปวดมาก แต่เราก็ยังยิ้มได้ และในที่สุด แต่น แตน แต๊นนนน
เราก็สามารถออกมาสู้โลกภากนอกได้เป็นครั้งแรก ถึงแม้จะมาในสภาพที่ต้องนั่งวิวแชร์ แต่เรามีความสุขมาก ดีใจมากที่เราสามารถออกมานั่งดูลูกๆเราวิ่งเล่นบนสนามหญ้าอย่างมีความสุข หลังจากนั้นเราก็พยายามฝึกเดินเรื่อยมา เรามีความหวังว่ากำลังจะเดินได้ในอีกไม่ช้า แต่ .......
(ก.ย. 57) เราต้องเข้าผ่าตัดครั้งที 2 เพราะเท้าเราจิกลง ทำให้เดินไม่ได้ ครั้งนี้เราได้ย้ายมารักษาที่รพ.ศิริราช เราเข้าใจ เรายอมรับ และเรายังมีหวัง ว่าหลังจากนี้เราจะเดินได้
เราจะได้เจอพ่อกับแม่เราปีละครั้ง ครั้งละ 4 อาทิตย์เท่านั้น และครั้งนี้ พ่อเรามาทำหน้าที่เข็นวิวแชร์ให้เรา มันทำให้เราน้ำตาจะไหลทุกครั้งที่เห็นพ่อเรามาเข็นรถให้เรา (เข็นตกหลุมตกบ่อตลอดทาง อิอิ) ตลอดเวลานี้ เราเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น เราปวดมากทุกครั้งเวลาฝึกเดินฝึกยืน จนมารู้ว่า ข้อสะโพกเราเสื่อม ต้องได้รับการผ่าตัด แต่คุณหมออยากให้ลองใช้วิธีกายภาพบำบัดดู ให้การผ่าตัดเปลี่ยนสะโพกเป็นวิธีสุดท้าย
และแล้ว (ม.ค. 58) การผ่าตัดครั้ง 3 ก็เริ่มขึ้น นี่ไม่ใช่การผ่าสะโพก แต่เป็นการผ่าเข่าและข้อเท้าที่มีปัญหา ถ้าจะพูดตามตรง ปัญหาในการเดินของเรามีทั้งขาซ้ายและขาขวา จำเป็นต้องค่อยๆแก้ ค่อยๆทำเป็นขั้นตอนไป จนตอนนี้ จะครบ 1 ปีแล้ว แต่เรายังเดินไม่ได้เลย ท้อ แต่เราท้อไม่นานนะคะ เราสู้ เรายิ้ม เอาอดทน ท่องให้ขึ้นใจเลย ว่า ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม สู้ สู้ สู้
หลังจากผ่าตัดครั้งนี้ เราได้กำลังใจจากพยาบาลสาวและหล่อสุดที่รักของเรา มาคอยดูแลเรา นี่คือความสุขที่เรามี ในแต่ละวัน เราพยายามอยู่กับความสุข อยู่กับความคิดบวกๆ อยู่กับความหวัง และกำลังใจของทุกๆคน
มีความสุขบนวิวแชร์ เราทำมาแล้วนะคะ ในเมื่อยังเดินยิ้มไม่ได้ ก็นั่งยิ้มบนนี้ไปก่อน เราไม่อยากให้เวลาที่ผ่านไปมีแต่ความทุกข์ เราตั้งใจว่า เราจะเป็นคนป่วยที่ยิ้มเก่งที่สุดในโลก ภาพนี้งานวันเกิดลูกค่ะ เป่าเค้กแล้วให้ลูกกินนิดเดียว ที่เหลือแม่กินค่ะ ^^
(มิ.ย.58) การผ่าตัดครั้งที่ 4 ครั้งนี้เป็นการผ่าตัดเอาเหล็กตรงสะโพกออก เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมในการผ่าตัดใหญ่เปลี่ยนข้อสะโพก ถึงจะผ่านมา 4 ครั้งแล้ว แต่เราไม่เคยชินสักครั้งกับการที่ต้องโดนมีดหมดเฉือนลงบนเนื้อ การเจาะเลือด ฉีดยา ให้น้ำเกลือ แต่สิ่งเดียนวที่เราต้องทำคือ อดทน และผ่านมันไปให้ได้
เรายังหวังเสมอ ว่าสักวันเราจะเดินได้ จูงลูกไปเดินเล่น เดินไปอย่างคนปกติโดยไม่ต้องใช้อะไรช่วยในการเดิน เรายังหวัง และยังหวังเสมอ
ระหว่างที่เรารอด้วยความหวังนั้น เราก็พยายามใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด แม้จะต้องพกวิวแชร์ไปด้วยตลอดเวลาก็ตาม เราไปงานสัตว์เลี้ยง ไปปฏิบัติธรรม ไปเที่ยวทะเล ไปร่วมทำบุญไกลถึงเชียงราย ไม่มีสิ่งใดเป็นอุปสรรค ยกเว้น น้ำหนักที่ขึ้นๆๆๆๆๆๆ แบบเราไม่สามารถควบคุมได้ เฮ้ออออ
สอบใบขับขี่ก็ไปนะคะ ช่วงที่เกิดอุบัติเหตุ ทำให้ไม่สามารถไปต่อใบขับขี่ได้ เลยต้องสอบใหม่เลย ตอนสอบต้องเตรีบมใบรับรองแพทย์ที่ต้องให้แพทย์ผู้ทำการรักษาระบุให้ชัดเจนว่าอาการป่วยที่เป็นอยู่ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆต่อการขับขี่ กว่าจะผ่านมาได้ต้องไปขนส่งถึง 3 ครั้งเลยทีเดียวค่ะ
และแล้ว (ก.ค. 59) การผ่าตัดครั้งที่ 5 ก็มาถึง ครั้งนี้เป็นการผ่าตัดที่เรากลัวมากที่สุด เรากลัวมาก ต้องตัดกระดูกสะโพกเราออก แล้วใส่ข้อสะโพกเทียมและสะโพกเทียมไปแทน เรากังวล เรากลัว แต่ในใจเราคิดแต่ว่า เราต้องผ่านมาได้ เราจะได้เดินได้ ความหวังเราอยู่ข้างหน้าแล้ว เราต้องสู้ ผ่าครั้งนี้ไม่มีรูปแผล เพราะแผลผ่าตัดยาวตั้งแต่ต้นขาจนถึงกลางแก้มก้น และ เราก็ผ่านมันมาได้ เย้ๆๆ เราทำได้ค่ะ
หลังการผ่าตัดครั้งนี้ เราต้องทำกายภาพต่อเนื่อง เราเริ่มดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติ ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคในชีวิตเราแม้ในวันที่คนไทยทั้งประเทศเสียใจอย่างที่สุด เรายังได้ทำในสิ่งที่คนไทยทุกคนตั้งใจและพร้อมใจไป นั้นคือการไปร่วมในพระราชพิธีเคลื่อนย้ายพระบรมศพไปยังท้องสนามหลวง ร่วมลงนามถวายความอาลัยที่พระบรมมหาราชวัง ร่วมทำอาหารไปแจกให้พี่น้องประชาชนชาวไทยที่ท้องสนามหลวง ด้วยความเต็มใจทั้งหัวใจ
แต่ผ่านมายังไม่ถึง 4 เดือน (พ.ย. 59) เราต้องผ่าตัดอีกครั้ง นับเป็นการผ่าตัดครั้งที่ 6 เพื่อเป็นการแก้ไขเข่าและข้อเท้าเราให้เดินได้ดีมากยิ่งขึ้น มีคนถามเราว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายหรือยัง เราตอบได้เต็มปากโดยที่ไม่ต้องรอถามคุณหมอเลยว่า ยังค่าาาาา แต่ครั้งนี้แปลก เรากลับรู้สึกว่าเราไม่กลัว เราอยากผ่า แม้จะรู้ว่าเจ็บ แต่เราเข้าใจและเต็มใจ เริ่มรู้สึกว่าเราเข้าใกล้ความหวังเราเพื่มมากขึ้นแล้ว อีกไม่นาน
นี่ค่ะ พยาบาลที่เราจ้างมาพิเศษ ค่าจ้างแพงมากค่ะ แถมพยาบาลยังดื้อ เรียกก็ไม่ค่อยมา แต่เวลาขอขนมล่ะก้อ มาสะกิดไม่หยุดเลยล่ะค่ะ
หลังจากผ่าครั้งที่ 6 เราค่อยจอดวิวแชร์ไว้ที่บ้าน เปลี่ยนจากวอกเกอร์ 4 ขา มาเป็นไม้เท้า 3 ขา และลดลงมาเหลือขาเดียว ณ วันนี้ เราสามารถเดินได้ด้วยขาของเราเองทั้ง 2 ข้าง แม้จะยังเดินช้า เดินท่าไม่เหมือนคนอื่น แต่เราก็ดีใจ และเราเชื่อว่ามันจะค่อยๆดีขึ้น ภาพถ่ายหน้าเสาธงเป็นภาพแรกและวันแรกที่เราได้มายืนเข้าแถวร้องเพลงชาติร่วมกับเด็กๆ หลังจากที่ไม่ได้มาตรงนี้เลยเป็นเวลา เกือบ 3 ปี
และในวันที่ 25 พ.ค 60 เราจะผ่าตัดอีกครั้งเป็นครั้งที่ 7 แต่ตอนนี้ เราอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ เราอยากเดินได้แบบปกติดังเดิม อยากเดินสวยๆ ใส่รองเท้าสวยๆแบบที่เคยเป็น แต่เราทำใจเตรียมไว้แล้วว่าถ้าจะไม่เหมือนเดิม 100 % เราก็จะทำใจและยอมรับ ว่ามาถึงขนาดนี้ได้เราก็พอใจแล้ว ส่วนความหวัง ต่อให้อีกนานแค่ไหน เราก็จะยังหวัง จะยังหวังว่าอาจจะมีสักวันที่เราจะกลับมาเหมือนเดิม
เราอยากให้ทุกๆคนที่กำลังทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์จากเรื่องอะไร เราก็ขอให้ทุกคนผ่านพ้นมันไปได้ด้วยดี อย่าท้อนะคะ อาจจะนาน แต่ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เราต้องสู้ค่ะ
ปล. ตอนนี้เรายังมีปัญหาเรื่องข้อเท้า เข่า และลำตัวที่ยังไม่ตรง ยังถอดรองเท้าไม่ได้ เดินเท้าเปล่าไม่ได้แม้ในบ้านยังต้องใส่ และมีปัญหากับการหารองเท้า เราเสียเงินไปเป็นหมื่นกับการซื้อรองเท้ามาเพื่อที่จะลองใส่เดินดู และส่วนใหญ่ใส่ไม่ได้เลย ทุกวันนี้ใส่ได้แค่ฟลิปฟลอบที่เป็นแตะเท่านั้นค่ะ คัทชูหาใส่ไม่ได้เลยแม้แต่ฟลิปฟลอปเราก็ใส่ไม่ได้ ลากแตะไปทำงาน เพราะขอบรองเท้ามาโดนแผลโดนกระดูกที่เราผ่าตัด ใครมีรองเท้าอะไรแนะนำ รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะคะ
ปล. 2 พิมพ์ผิด ตกหล่นประการใด ขออภัยมาตรงนี้เลยนะคะ
ปล. 3 ผู้หญิงที่อยู่ในเกือบทุกภาพ คือแฟนเราเองค่ะ คนที่ดูแลเรามาตลอด 3 ปึ ถ้าไม่มีเขา เราคงสู้มาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ^^