อายุ 19 แล้ว ยังมีการไปฟ้องพ่อ ฟ้องแม่ให้จัดการปัญหาของตัวเอง
แบบนี้จะจัดการยังไงดี เหตุการณ์มีอยู่ว่า
เด็กชาย A (นามสมมุติ) อายุ 19 เป็นรุ่นพี่ที่อายุเดียวกัน มาขอลูกกญแจห้องเรียน เพื่อที่จะไปปริ้นท์งานของโรงเรียน เด็กชาย A ก็บอกเราว่าคุณครู B (นามสมมุติและยังเป็นครูประจำชั้นเด็กชาย A) ให้มาเอาลูกกุญแจห้องเรียน
เด็กชาย A : เราขอลูกกุญแจห้องเรียนหน่อยสิ จะปริ้นท์งานโรงเรียน
เราเอง : ไม่ให้แล้ว ให้ทีไรเครื่องปริ้นท์พังทุกที ให้ไปวันก่อนฉันเห็นพวกเธอปริ้นท์งานส่วนตัวกัน ปริ้นท์งานโรงเรียน 10 รอบก็ผิด 10 รอบ ผิด
อยู่ที่เดิม ส่งแบบฟอร์มใหม่ไปให้แล้วก็ยังใช้ฟอร์มเก่าอยู่นั้นแหละ
เด็กชาย A : เนี่ยะ ครู B มาบอกว่าให้เธอไปเปิดห้อง เอาลูกกุญแจมาก็ได้เดี่ยวไปเปิดเอง
เราเอง : ไม่ให้แล้ว!!!!!
เด็กชาย A : อ้าาว แล้วจะทำไงละ
เราเอง : ก็ไม่รู้สิ ก็ไปหาที่ปริ้นท์มาเองดิ คนอื่นที่ยังไม่ส่งเค้ายังมีที่ปริ้นท์มาให้เลย
.....เงียบซั๊กพัก......
เด็กชาย A : เปิดหน่อยไม่ได้หรอ
เราเอง : (ถอนหายใจ พูดแบบสะบัดคำ) พรุ่งนี้ได้มั้ย ขี้เกียจไปเปิดอะ ปิดเทอมแล้วด้วยเครื่องปริ้นท์ก็เก็บแล้ว
เราก็เถียงกับเค้าซั๊กจนเราใจอ่อนก็ให้เค้าไป ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆครู B ก็ชวนเราไปช่วยงานที่ห้องพักครู และเราก็กำลังจะไปเอาลูกกุญแจอยู่พอดีเพราะว่าลูกกุญแจตู้เสื้อผ้าเรามันอยู่ด้วยกันกับลูกกุญแจห้องเรียนอยู่ในห้องพักครูได้ซั๊กพักเด็กชาย A ก็เดินเข้ามาห้องพักครูด้วยเอกสารอะไรซั๊กอย่างนี่แหละเรามองไม่เห็น จนเด็กชาย A เดินไปหาครู B ซึ่งเรานั่งอยู่ใกล้ครู B เราก็เห็นเอกสารนั่นไม่ใช่งานโรงเรียน มันเป็นงานส่วนตัว เราก็เอะใจว่าไหนละจะปริ้นท์งานของโรงเรียนไม่ใช่หรอว่ะ เมื่อเด็กชาย A ก็เดินมาหาเราคืนลูกกุญเจอให้เรา และบอกขอบคุณมากๆ เมื่อเด็กชาย A เดินออกจากห้องพักครู เราก็ถามครู B ว่า
เราเอง : เอ๊าาาาวไหนว่าเด็กชาย A ให้มาเอาลูกกุญแจที่หนูจะปริ้นท์งานโรงเรียนไม่ใช่หรอ?
ครู B : จะปริ้นท์อะไรละฉันให้ มส.(ไม่ส่งงาน) ไปเรียบร้อยแล้วย่ะ!!
เรางงมาก เลยก็เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ครู B ฟัง สรุปก็คือ ครู B ไม่ได้เป็นคนบอกว่าให้มาเอาลูกกุญแจห้องเรียนและเด็กชาย A ก็โกหกเราว่าจะปริ้นท์งานโรงเรียนแต่จริงๆแล้ว
ปริ้นท์งานส่วนตัว
เราก็โมโหหนักมาก ก็วิ่งตามไปที่ห้องเรียน ปรากฎว่ากลับไปแล้ว เราก็ส่งแมสเซนเจอร์ไปว่า "ทำไมต้องโกหกด้วย" "ไหนบอกจะปริ้นท์งานโรงเรียน" "งานส่วนตัวหรอ" "ทำไม ไม่มีที่ปริ้นท์หรือไม่มีทางเลือก" "วันหลังจะไม่เชื่อคำพูดแกอีกละ"
"พ่อแม่ก็เลี้ยงดูมาดี แต่นิสัยแบบนี้ไม่ผ่านคะ"
เรื่องก็เกิดขึ้นเพราะพิมพ์ไปแบบใช้อารมณ์ เรายอมรับว่าเราผิดจริงๆ (สำนึกผิดเรียบร้อย)
ประมาณ สองทุ่มครึ่งเด็กชาย A ก็โทรหาเราในแมสเซนเจอร์ เราก็ไม่อยากคุยเพราะเรื่องที่ผ่านมา จากนั้น ก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามาอีกเราก็ไม่ได้รับเพราะโทรศัพท์ค้างกดรับยังไงก็ค้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาง จนเบอร์แปลกโทรมารอบที่สอง เราก็รับและปรากฏว่าเป็นแม่ของเด็กชาย A เราก็คุยกับแม่เค้าแหละคะ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า "อายุ 19 คุยกับ ป้าอายุ30-40 ต้องมีสตินะ ต้องมีสตินะ สติ สติ สติ สติ" และเราก็เล่าทุกอย่างที่เหตุการณ์ผ่านมา และแม่เค้าก็สอนเรา ตักเตือนเรา ว่าเราแบบนู้น แบบนี้จนแม่เค้าบอกว่า เค้ามีลุงเป็นตำรวจ อาจจแจ้งความเราไรงี้ตอนนั้นนึกอย่างเดียวเลยคะ ว่า
มาตรา 342 ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัย ความอ่อนแอทางจิตของผู้ถูกหลอกลวง ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สุดท้ายเราก็คุยกัน เราก็ขอโทษแม่เค้าและบอกว่า "ไม่มี่ใครโดนโกหกแล้วยิ้มหรอกคะแม่ ทุกคนต่างก็โกรธทั้งนั้น อะไรที่ทำแล้วอารมณ์เสียนั้นหมายถึงตั้งใจโดยที่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น และก็ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกคะ หนูจัดการปัญหานี้เองได้" ก็คุยๆกันจนได้ทราบว่า ไม่ใช่เราคนเดียวที่โดนแบบนี้ ยังมีอีกหลายคน
จนเราคุยโทรศัพท์กันเสร็จ เราก็ไปเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ครู B ฟัง แต่เราก็ไม่โง่นะ สมัยนี้คนหลอกลวงกันเยอะ เรามีแอพบันทึกเสียงคณะคุยโทรศัพท์กัน เราก็เปิดให้ครู B ฟัง สรุปแล้วครู B บอกว่า ฝ่ายเด็กชาย A หมิ่นประมาท เอาชื่อครู B ไปอ้างโดยที่ครู B ยังไม่ได้เป็นคนพูด
เราก็ไม่รอช้า ก็ไปถามคู่กรณีก่อนหน้านี้ว่าเหตุการณ์เป็นยังไง สรุปแล้วเหตุการณ์เหมือนกับเรา พีคตรงที่ว่าแม่เค้าก็ไปตามถึงบ้านไปเล่าไปประจานลูกของคู่กรณีจนเสียหาย แม่ของคู่กรณีก็ขอโทษแทนลูกเค้า
และเราก็ไปถามออีกหลายๆคนที่โดนแบบเรา เอาง่ายๆนะ เหมือนเหตุการณ์ของเรานี่แหละ
สรุปทั้งหมดแล้ว เราก็ผิดจริงที่เอาผู้หลักผู้ใหญ่มาเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องนี้ ก็ก็ขอโทษแม่เค้า สำนึกผิดและกรู้สึกผิดที่ทำ ตอนนั้นแม่เค้าบอกว่าจริงๆเด็กชาย A ก็ไม่อยากจะทำแบบนี้หรอก (แต่หารู้ไม่ ว่าหนูก็ไม่อยากทำหรอก) เราจะเถียงแม่เค้าก็ไม่ได้เพราะยังๆลูกเค้าก็ยังถูกเสมอ ต่อให้เราชักแม่น้ำทั้งก็เถอะ
แม่เค้าก็เป็นคนดี รักลูกตัวเองมาก นี่แหละคะ ความรักของพ่อของแม่ที่มีต่อลูก และเราก็เคยเจอแม่เค้าด้วย แม่เค้ายังชมเราเลยว่าเรานิสัยดี เป็นเด็กที่น่ารัก อยู่ด้วยแล้วมีอความสุข
แต่เอาจริงๆ ในโลกนี้ไม่มีใครมีอารมณ์ด้านเดียวหรอกนะคะ ทุกคนล้วนมีขาวมีดำ มีดีมีร้าย มีสุขมีทุกข์ ไม่มีใครดีตลอดไปแหละคะ
ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจและเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "จงทะเลาะกันด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสิน" หรือถ้าจำไม่ได้ ก็ให้นึกหน้าพี่มาช่านะคะ ขอบคุณค้ะ
อายุ 19 แล้ว ยังให้มนุษย์แม่มาจัดการชีวิตส่วนตัวอีกหรอ?????
แบบนี้จะจัดการยังไงดี เหตุการณ์มีอยู่ว่า
เด็กชาย A (นามสมมุติ) อายุ 19 เป็นรุ่นพี่ที่อายุเดียวกัน มาขอลูกกญแจห้องเรียน เพื่อที่จะไปปริ้นท์งานของโรงเรียน เด็กชาย A ก็บอกเราว่าคุณครู B (นามสมมุติและยังเป็นครูประจำชั้นเด็กชาย A) ให้มาเอาลูกกุญแจห้องเรียน
เด็กชาย A : เราขอลูกกุญแจห้องเรียนหน่อยสิ จะปริ้นท์งานโรงเรียน
เราเอง : ไม่ให้แล้ว ให้ทีไรเครื่องปริ้นท์พังทุกที ให้ไปวันก่อนฉันเห็นพวกเธอปริ้นท์งานส่วนตัวกัน ปริ้นท์งานโรงเรียน 10 รอบก็ผิด 10 รอบ ผิด
อยู่ที่เดิม ส่งแบบฟอร์มใหม่ไปให้แล้วก็ยังใช้ฟอร์มเก่าอยู่นั้นแหละ
เด็กชาย A : เนี่ยะ ครู B มาบอกว่าให้เธอไปเปิดห้อง เอาลูกกุญแจมาก็ได้เดี่ยวไปเปิดเอง
เราเอง : ไม่ให้แล้ว!!!!!
เด็กชาย A : อ้าาว แล้วจะทำไงละ
เราเอง : ก็ไม่รู้สิ ก็ไปหาที่ปริ้นท์มาเองดิ คนอื่นที่ยังไม่ส่งเค้ายังมีที่ปริ้นท์มาให้เลย
.....เงียบซั๊กพัก......
เด็กชาย A : เปิดหน่อยไม่ได้หรอ
เราเอง : (ถอนหายใจ พูดแบบสะบัดคำ) พรุ่งนี้ได้มั้ย ขี้เกียจไปเปิดอะ ปิดเทอมแล้วด้วยเครื่องปริ้นท์ก็เก็บแล้ว
เราก็เถียงกับเค้าซั๊กจนเราใจอ่อนก็ให้เค้าไป ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆครู B ก็ชวนเราไปช่วยงานที่ห้องพักครู และเราก็กำลังจะไปเอาลูกกุญแจอยู่พอดีเพราะว่าลูกกุญแจตู้เสื้อผ้าเรามันอยู่ด้วยกันกับลูกกุญแจห้องเรียนอยู่ในห้องพักครูได้ซั๊กพักเด็กชาย A ก็เดินเข้ามาห้องพักครูด้วยเอกสารอะไรซั๊กอย่างนี่แหละเรามองไม่เห็น จนเด็กชาย A เดินไปหาครู B ซึ่งเรานั่งอยู่ใกล้ครู B เราก็เห็นเอกสารนั่นไม่ใช่งานโรงเรียน มันเป็นงานส่วนตัว เราก็เอะใจว่าไหนละจะปริ้นท์งานของโรงเรียนไม่ใช่หรอว่ะ เมื่อเด็กชาย A ก็เดินมาหาเราคืนลูกกุญเจอให้เรา และบอกขอบคุณมากๆ เมื่อเด็กชาย A เดินออกจากห้องพักครู เราก็ถามครู B ว่า
เราเอง : เอ๊าาาาวไหนว่าเด็กชาย A ให้มาเอาลูกกุญแจที่หนูจะปริ้นท์งานโรงเรียนไม่ใช่หรอ?
ครู B : จะปริ้นท์อะไรละฉันให้ มส.(ไม่ส่งงาน) ไปเรียบร้อยแล้วย่ะ!!
เรางงมาก เลยก็เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ครู B ฟัง สรุปก็คือ ครู B ไม่ได้เป็นคนบอกว่าให้มาเอาลูกกุญแจห้องเรียนและเด็กชาย A ก็โกหกเราว่าจะปริ้นท์งานโรงเรียนแต่จริงๆแล้ว ปริ้นท์งานส่วนตัว
เราก็โมโหหนักมาก ก็วิ่งตามไปที่ห้องเรียน ปรากฎว่ากลับไปแล้ว เราก็ส่งแมสเซนเจอร์ไปว่า "ทำไมต้องโกหกด้วย" "ไหนบอกจะปริ้นท์งานโรงเรียน" "งานส่วนตัวหรอ" "ทำไม ไม่มีที่ปริ้นท์หรือไม่มีทางเลือก" "วันหลังจะไม่เชื่อคำพูดแกอีกละ" "พ่อแม่ก็เลี้ยงดูมาดี แต่นิสัยแบบนี้ไม่ผ่านคะ"
เรื่องก็เกิดขึ้นเพราะพิมพ์ไปแบบใช้อารมณ์ เรายอมรับว่าเราผิดจริงๆ (สำนึกผิดเรียบร้อย)
ประมาณ สองทุ่มครึ่งเด็กชาย A ก็โทรหาเราในแมสเซนเจอร์ เราก็ไม่อยากคุยเพราะเรื่องที่ผ่านมา จากนั้น ก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามาอีกเราก็ไม่ได้รับเพราะโทรศัพท์ค้างกดรับยังไงก็ค้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาง จนเบอร์แปลกโทรมารอบที่สอง เราก็รับและปรากฏว่าเป็นแม่ของเด็กชาย A เราก็คุยกับแม่เค้าแหละคะ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า "อายุ 19 คุยกับ ป้าอายุ30-40 ต้องมีสตินะ ต้องมีสตินะ สติ สติ สติ สติ" และเราก็เล่าทุกอย่างที่เหตุการณ์ผ่านมา และแม่เค้าก็สอนเรา ตักเตือนเรา ว่าเราแบบนู้น แบบนี้จนแม่เค้าบอกว่า เค้ามีลุงเป็นตำรวจ อาจจแจ้งความเราไรงี้ตอนนั้นนึกอย่างเดียวเลยคะ ว่า
มาตรา 342 ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัย ความอ่อนแอทางจิตของผู้ถูกหลอกลวง ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สุดท้ายเราก็คุยกัน เราก็ขอโทษแม่เค้าและบอกว่า "ไม่มี่ใครโดนโกหกแล้วยิ้มหรอกคะแม่ ทุกคนต่างก็โกรธทั้งนั้น อะไรที่ทำแล้วอารมณ์เสียนั้นหมายถึงตั้งใจโดยที่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น และก็ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกคะ หนูจัดการปัญหานี้เองได้" ก็คุยๆกันจนได้ทราบว่า ไม่ใช่เราคนเดียวที่โดนแบบนี้ ยังมีอีกหลายคน
จนเราคุยโทรศัพท์กันเสร็จ เราก็ไปเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ครู B ฟัง แต่เราก็ไม่โง่นะ สมัยนี้คนหลอกลวงกันเยอะ เรามีแอพบันทึกเสียงคณะคุยโทรศัพท์กัน เราก็เปิดให้ครู B ฟัง สรุปแล้วครู B บอกว่า ฝ่ายเด็กชาย A หมิ่นประมาท เอาชื่อครู B ไปอ้างโดยที่ครู B ยังไม่ได้เป็นคนพูด
เราก็ไม่รอช้า ก็ไปถามคู่กรณีก่อนหน้านี้ว่าเหตุการณ์เป็นยังไง สรุปแล้วเหตุการณ์เหมือนกับเรา พีคตรงที่ว่าแม่เค้าก็ไปตามถึงบ้านไปเล่าไปประจานลูกของคู่กรณีจนเสียหาย แม่ของคู่กรณีก็ขอโทษแทนลูกเค้า
และเราก็ไปถามออีกหลายๆคนที่โดนแบบเรา เอาง่ายๆนะ เหมือนเหตุการณ์ของเรานี่แหละ
สรุปทั้งหมดแล้ว เราก็ผิดจริงที่เอาผู้หลักผู้ใหญ่มาเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องนี้ ก็ก็ขอโทษแม่เค้า สำนึกผิดและกรู้สึกผิดที่ทำ ตอนนั้นแม่เค้าบอกว่าจริงๆเด็กชาย A ก็ไม่อยากจะทำแบบนี้หรอก (แต่หารู้ไม่ ว่าหนูก็ไม่อยากทำหรอก) เราจะเถียงแม่เค้าก็ไม่ได้เพราะยังๆลูกเค้าก็ยังถูกเสมอ ต่อให้เราชักแม่น้ำทั้งก็เถอะ
แม่เค้าก็เป็นคนดี รักลูกตัวเองมาก นี่แหละคะ ความรักของพ่อของแม่ที่มีต่อลูก และเราก็เคยเจอแม่เค้าด้วย แม่เค้ายังชมเราเลยว่าเรานิสัยดี เป็นเด็กที่น่ารัก อยู่ด้วยแล้วมีอความสุข
แต่เอาจริงๆ ในโลกนี้ไม่มีใครมีอารมณ์ด้านเดียวหรอกนะคะ ทุกคนล้วนมีขาวมีดำ มีดีมีร้าย มีสุขมีทุกข์ ไม่มีใครดีตลอดไปแหละคะ
ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจและเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "จงทะเลาะกันด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสิน" หรือถ้าจำไม่ได้ ก็ให้นึกหน้าพี่มาช่านะคะ ขอบคุณค้ะ