?? จะแก้ปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว ที่เกิดจากความไว้ใจเพื่อนยังไงดี ?? ((ขอคำแนะนำ และกำลังใจหน่อยค่ะ))

ความจริง เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้ เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้สภาพจิตใจเหมือนจะดีขึ้น แต่ก็ยังค่อนข้างมึดมน

เรื่องมันเกิดจากเพื่อนเราคนนึง เป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลาย จริงๆก็ไม่ได้ติดต่อกันเท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นเพื่อนสนิท
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อนติดต่อมาขอยืมเงิน เราก็ให้ยืมไป ไม่ได้คิดอะไร ..
ยืมแล้วก็คืน ไม่นานก็ยืมอีก ก็ยืมๆคืนๆเรื่อยมา

ความซวยมันเกิดขึ้นจากความอยากรู้อยากเห็นของเราเอง..
เราทำเพื่อนว่า "แกเอาเงินไปทำไรวะ เป็นหนี้หรอ ติดการพนันหรอ หรือทำไรไม่ดีรึเปล่า"
เพื่อนก็เล่าเรื่องธุรกิจของตัวเองให้ฟัง .. เอาจริงๆก็ไม่ใช่ของตัวเองหรอก
แต่เป็นของน้าเขา เพื่อนทำงานให้น้า

เรื่องมันมีอยู่ว่า ที่ร้านเป็นเต้นท์ รับจอดรถ จำนำรถ รีไฟแนนซ์ ขายประกัน พรบ ต่อภาษี อะไรทำนองนั้น
แล้วเวลามีรถมารีไฟแนนซ์ น้าก็จะมีนายทุนคอยให้ทุน และก็แบ่งกำไรกัน
น้าก็ให้เพื่อนเราด้วย ถ้าเพื่อนเรามีเงินไปลง เพื่อนเราด้วยความอยากมีรายได้ เลยหายืมคนนั้นคนนี้
พอได้เงินก้อนคืนจากไฟแนนซ์ ก็เอามาคืน แล้วเอากำไรไป เป็นรายได้

เพื่อนเลยถามเราว่า แกมาลงด้วยกันไหม แบ่งกำไรกัน ชั้นจะได้ไม่ต้องยืม
ด้วยความที่เป็นเพื่อนกันมานาน ก็เห็นมันทำงานให้น้ามานานแล้ว ชีวิตไม่มีอะไรสักอย่าง
ก็เข้าใจนะ ถ้าหาทุนมาได้ ก็จะมีรายได้เพิ่ม เราเลยบอกได้ๆ เลยเอาเงินเก็บที่มี ให้ไป
แรกๆก็ 80,000 100,000 200,000 ราวๆนี้ แต่ไม่ได้เอาลงบ่อยๆ มาๆหยุดๆ เพราะรถไม่ได้มีตลอด
เพื่อนบอกว่า ได้คอมจากไฟแนนซ์ 8% ได้จากลูกค้า 3% ได้ค่าจัดจากลูกค้า 3000-4000 แบ่งให้เรา 5%
เราก็โอเค ยังไงก็ได้ โอนมาแล้วกัน

หลังๆ เพื่อนก็เริ่มมาสนิทสนามด้วยเยอะ คุยเยอะ ทักทุกวัน ชวนคุยไปเรื่อยถึงไม่ได้เอาเงิน
ด้วยความที่เพื่อนๆจะรู้ว่าเราเป็นคนปากหมา แต่ใจดี เป็นคนไม่คิดอะไรมาก
หลังๆ เงินเก็บที่เรามี เราก็ให้ไปหมด รวมถึงเงินของเอ (เพื่อนสนิทเรา) ด้วย เพื่อนเราจะอ้อนตลอด
"แก มีอีกเปล่าๆ ช่วยหน่อยดิ อยากได้" "ได้ทุนจากแกดีหวะ ชั้นสบายใจมากเลย เริ่มลืมตาอ้าปากได้บ้างแล้ว"
เราก็เออๆ ตามนั้น เป็นคนไม่ค่อยพูดเยอะ ทักมาถามมีไหมๆ มีเราก็บอกมี ม่มีเราก็บอกไม่มี
แต่เพื่อนก็พยายามช่วยคุยตลอด เราก็เห็นเพื่อนชีวิตดีขึ้น ก็ดีใจ จะได้มีอะไรเป็นของตัวเอง จะได้มีเงินดูแลลูก

หลังๆก็เริ่มหนักขึ้น นอกจากทำงานประจำ เรายังทำทัวร์ ขายตั๋วเครื่องบิน
เวลาลูกค้าจองตั๋ว หรือให้เราจัดทัวร์ เราจะมีเงินก้อน เราก็ให้เพื่อนเอาไปลงก่อน
ถึงรอบดิวบัตรเครดิต หรือถึงเวลาต้องจ่ายเราก็จะบอกเพื่อน ขอทุนส่วนนี้คืน

เพื่อนก็เอาเงินเราไปหมุนเรื่อยๆ เราก็โอนไปเรื่อยๆ ก็ด้วยความโลภด้วยแหละ คงไม่โทษใคร
จนหลังๆ เราขอทุนคืนถี่ๆ เพราะมันถึงรอบดิวแล้ว และเราก็ไม่มีเงินให้เพื่อนเพิ่ม
เพื่อนเราไม่ยอมโอนเงินคืนมาสักที บอกว่าลูกค้าไม่ยอมมาเอาเช็ค บราๆ
จนสุดท้ายความแตก ... เพื่อนเราไม่ได้เอาเงินไปทำธุรกิจ แต่เอาไปหมุนใช้เอง
โดยเอาเงินเรากับเอไป รวมแล้ว 1,320,000 บาท ซึ่งมันเป็นเงินเรากับเอจริงๆแค่ 400,000

ทำให้เรามีหนี้ก้อนโต เอช๊อคแทบเสียสติ เพราะเขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบต้องมีเงินสำรอง
บัตรเครดิตมีเพียบ เอาไว้ใช้เฉพาะที่มีโปรส่วนลด หรือรูดตั๋วเครื่องบินให้ลูกค้า
ถ้ายอดใช้จ่ายปกติจริงๆ ใช้แค่เดือนละ 2-3 พันเท่านั้น

แต่ตอนนี้ ไม่ใช่แค่เงินเราทั้งสองคนไม่เหลือเลย แต่เรามีหนี้คน และหนี้บัตร รวมๆแล้วเกือบล้าน
เราสองคนช่วยกันหาเงิน จากการขายทรัพย์สินที่มี จ่ายหนี้ไปได้บางส่วน และกู้เงินมาได้ 100,000 มาจ่ายหนี้คนอื่น

ตอนนี้เรามีหนี้บัตรเครดิตรวมแล้ว ประมาณ 450,000 บาท
หนี้จากสินเชื่อ 100,000 บาท แบ่งจ่ายเดือนละประมาณ 12,000x9 เดือน
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ บัตรเครดิตพวกนี้ ไม่ใช่ของเรา เป็นบัตรของเอ
ซึ่งเอไว้ใจ ให้เราจัดการเรื่องพวกนี้ เรารู้สึกเหมือนเราทำชีวิตเอพัง

เอแบ่งรับหนี้ส่วนหนึ่งที่มีระหว่างคน โดยแฟนเอยื่นมือมาช่วย ส่วนเรารับหนี้ส่วนของบัตรเครดิต
ซึ่ง เอจะไม่ยอมเสียเครดิตเด็ดขาด และเราเองก็ทำใจไม่ได้ ถ้าจะทำเอพังรอบสอง
เรากลัวเอ จะทนรับความกดดันนี้ไม่ไหว เขาเหมือนคนเสียสติไปเลย

เอบอกกับเราว่า ชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน เขาไม่เคยหวังที่จะรวย ไม่ต้องการหน้าที่การงานใหญ่โต
เขาใช้ชีวิตแบบราบรื่น ไม่อยากได้ ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ไม่เป็นหนี้ ขอแค่นี้ก็พอแล้ว
แต่เราเคยเป็นหนี้มาก่อน เคยผ่านเรื่องพวกนี้มาแล้ว ภูมิค้มกันเราเลยดีกว่า
ตอนรู้เรื่อง เอฟูมฟายแทบบ้า เขาบอกกับเราว่า เขาเชื่อว่าเราจะพาเขาผ่านเรื่องนี้ไปได้
เพราะเขามึดแปดด้าน ในใจหวังแค่ว่า พ่อแม่จะไม่เจ็บไข้ เพราะเขาไม่มีเงินเลย
แต่แล้วพ่อเขาก็ป่วยหนัก ใช้เงินรักษาหลายแสน แม่ก็อิดโรยมาก กับการเฝ้าพ่อ
เอได้แต่เงียบ บอกเรื่องนี้กับใครไม่ได้ เขายิ่งสติแตกเหมือนคนบ้าหนักกว่าเดิม

เรายิ่งเครียดยิ่งกดดัน ก้มหน้าก้มตาหาเงินให้ทันจ่ายขั้นต่ำบัตรในสินเดือน
เรามีผ่อนรถ ผ่อนหนี้เก่าติดอยู่อีกสามเดือนถึงจะหมด รวมหนี้ใหม่เข้าไปด้วย
จ่ายกันแค่ขั้นต่ำ ก็ปาเข้าไปเดือนละเกือบ 8 หมื่น

ปัญหาคือ เรื่องเกิดหลังจากเราออกจากงานประจำได้ไม่กี่วัน
เราคิดว่า ความรู้ ประสบการณ์ที่ทำงานมา เราจะออกมาทำธุรกิจของตัวเองให้โตสักที
และจะไปสอบทำงานราชการ รัฐวิสาหกิจ แต่มันเกิดเรื่องสักก่อน
จะเอาเวลามาปันธุรกิจก็คงไม่ได้ เพราะงานแต่ละโปรเจคกว่าจะจบ
กว่าจะได้เงิน ก็รอไปหลายเดือน แต่หนี้ต้องจ่ายบัตรทุกอาทิตย์

เราจึงตัดสินใจขับ uber ขับตั้งแต่เช้าจนดึก และดร็อปเรียนปริญญาโทไป
ตอนแรกเราก็แทบเสียสติ เพราะมันไม่ใช่แค่เงินหมด เราเหลือเรียนอีกเทอมเดียวก็จบแล้ว สุดท้ายก็ต้องหยุด
งานที่ตั้งใจจะทำ ก็ต้องทิ้งไปก่อน ... เราบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอก หนี้ไม่กี่แสน วันนึงก็หมด
คนอื่นมีหนี้หลายล้าน ยังผ่านมันมากได้

แต่ที่เราเครียดคือ .. เราไม่มีสิทธิ์จัดการหนี้ก้อนนี้เอง ถ้าเป็นหนี้ตัวเองเราคงไปคุยกับธนาคาร
ขอยืดระยะเวลาจ่าย เพื่อให้ยอดต่อเดือนมันหายใจได้โล่งกว่านี้ เพราะเราไม่มีปัญญาไปกู้
เมื่อสามปีที่แล้ว เราเคยเป็นเด็กใช้เงินไม่คิด มีหนี้ ติดบูโรไป กว่าจะหลุดมาได้ วันนี้เจออีกแล้ว
ที่ผ่านมา เราใช้บัตรเดือนละไม่กี่พัน จ่ายเต็มตลอด บัตรเอาไว้ใช้แค่ตั๋วเครื่องบิน กับโรงแรมเป็นหลัก

เราพยายามคุยกับเอ ว่าเราควรไปคุยกับธนาคารนะ แต่เอไม่ยอม ยิ่งพูดยิ่งจิตตก
เอพยายามจะหาเงินจากการหยิบยืม แต่เราเกรงว่า การยืมด้วยความไว้ใจ โดยไม่ได้บอกว่าเอาไปทำไร
มีความสามารถในการชำระคืนเดือนเท่าไหร่ แบบที่เอจะทำ มันจะส่งผลเสีย
เพราะมันจะกลายเป็นว่า วันนี้เอาเงินก้อนจากหนึ่งมาจ่ายปิดบัตร พอถึงเวลาคืนไปยืมสอง แล้วก็ต่อเป็นสาม สี่ ห้า

เราเลยคุยกันว่า ทางออกที่ดีที่สุด เราควรจะไปกู้พวกสินเชื่อ มาปิดบัตรไหม แล้วผ่อนสัก 3 ปี
แต่ก็คงปิดบัตรได้ไม่เกิน 2 แสน แต่เราอยากได้สัก 3-4 แสน แต่โชคยังพอเข้าข้าง
เอบอกว่า เอมีคอนโดที่มีโฉนดอยู่ เอาไปกู้ธนาคารดีไหม มาปิดบัตรให้หมด แบบนี้เราผ่อนไหว
เพราะเอก็พอจะรู้ว่า ยอดต่อเดือนสูง เราไม่ไหวแน่ๆ และพอรู้ว่าต้องหยุดเรียนด้วย เอยิ่งรู้สึกแย่

แต่วันนี้โทรไปถามธนาคาร ธนาคารแจ้งว่า จะเอามายื่นสินทรัพย์ต้องมีมูลค่าเกิน 1 ล้านบาทขึ้นไป
เราเลยรู้สึกโค่ดหมดหวังเลย จะทำยังไงต่อไปดี ถ้าตัวเลือกที่มีไม่มากนัก กับภาระหนี้ประมาณนี้ เราควรทำยังไงดี

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
สำหรับเรื่องเพื่อนที่เอาเงินไปค่ะ พอหลังจากความแตก ก็คือ เขาทำแบบนี้กับหลายคน

คือก่อนหน้านี้เขาทำธุรกิจกับแม่เขา แล้วผิดพลาด เป็นหนี้นายทุนราวๆ สามแสนและเขาให้ดอกเบี้ยนายทุน 10%
เขาเลยไปขอกู้อีกคนมา ให้ 10% ไปจ่ายนายทุนคนแรก พอครบกำหนดคนที่สอง เขาก็ไปเอาคนที่ สาม สี่ ห้า หกมาเรื่อยๆ
สรุปคือ เงินที่เอาจากเรากับเอไป คือเขาเอาไปจ่ายดอกพวกนายทุนต่างๆ ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีเราเข้ามา เขาไปขอกู้คนนั้นคนนี้
เสนอดอกเบี้ยสูงๆให้ เพื่อที่จะได้เงินมาจ่ายคนนั้นคนนี้ เขาทำแบบนี้มาเกือบปี ก่อนจะมาตัดสินใจขอยืมเงินเรา
เขาชอบพูดเป็นนัยๆตลอดว่า ทำกับแกดีหวะ ชั้นไม่เครียดเลย แต่ไม่เคี้ยว ไม่เคยกดขี่ ตอนนั้นเราฟังก็เฉยๆ
คือเราเป็นคนแบว่า ไม่ต้องพูดเยอะ จะเอาอะไร อ๋อ เออ ได้ จบ ไม่ต้องสาธยาย
มันเลยทำให้เราให้เงินไปง่ายๆ ทั้งยังเอาเงินจากตรงอื่นมาให้อีกด้วย เพราะสงสารเพื่อน เป็นเพื่อนอยากมีเงิน อยากมีรายได้

สรุปว่า ณ ตั้งแต่วันเกิดเรื่อง เราก็คุยกับเพื่อนว่า งั้นเอางี้ จิงๆแกทำงานอะไร มีรายได้ยังไง คือเขาไม่มีรายได้
มีแค่เงินหมุนไปหมุนมาในชีวิต เราก็พยายามหาอาชีพ หาทางออกให้เขาสารพัด ให้ผ่อนจ่ายหนี้ทางเรา ทางเจ้าหนี้อื่นๆ
ไปเรียกมาคุยนะ หยุดดอกเบี้ย และทะยอยคืนเขา ทุกอย่างก็เหมือนจะดี แต่นั้นก็คือความโง่ของเราเองอีก
ที่ไปใจดีกับคนที่ทำร้ายเรา คือพอเอาเข้าจริงๆ เพื่อนเราก็ไม่ยอมทำอะไรเลย ไปหายืมคนนั้นคนนี้ แต่ก็ไม่มีใครให้หรอก
เราก็บอก แกทำงานสิ แกกะสามีแก ช่วยกันทำ วันนึงก็หมดหนี้ อย่าหวังพึ่งใคร แต่พอถึงเวลาเขาก็อ้างสารพัด
บอกว่าต้นทุนคนเราไม่เท่ากัน ชั้นทำไม่ได้ ชั้นไม่เก่ง ชั้นบราๆๆๆๆ เราก็เริ่มโมโหแล้ว อะไรวะ งานที่เราทำใช้แรงงาน ใช้ความขยัน
เราไม่ได้เอาวุฒิ เอาประสบการณ์ทางวิชาชีพไปทำงานเลย ตอนนี้ทำทุกอย่างที่สุจริตและได้เงินมาจ่ายหนี้ ทำจนไม่ได้กิน
มันคือความรับผิดชอบ แต่ทำไมเพื่อนเราไม่ทำเลย เราก็เลยช่างมันเถอะ ก็รวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆ ให้ทนายเตรียมฟ้อง
เพราะเป็นคดีฉ่อโกง อ๋อออ เพื่อนเราไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรคะ พ่อแม่ไม่มี โตมาด้วยตา ตาก็เสียไปแล้ว ไม่มีใครที่ไหน

เมื่อสามวันก่อนเราติดต่อเพื่อนไป จึงได้รู้ว่า ตอนนี้เพื่อนถูกฝากขังอยู่ที่ศาล หลายคดี ไม่ใช่แค่ฉ่อโกง มีรับของโจร มีอะไรอีกไม่รู้
เรื่องมันก็ประมาณนี้หละคะ ที่ไม่ได้กล่าวถึงเพื่อนว่าเพื่อนไปไหน ยังไง เพราะมองว่ามันก็ได้เท่านี้แหละ
ฟ้องไป ติดคุกไป ปัญหาที่เกิดตอนนี้คือ จะจัดการหนี้สินยังไงดี ให้ไม่มีปัญหากระทบกับเอ

เพราะเอ เป็นเพื่อนสนิทเรา เงินที่เอามาลงตรงนี้ เอให้เราช่วยดูแลจัดการ เพราะเอไว้ใจเรา
มองว่าเราทำไรก็ทำเหอะ เราเก่ง เอเชื่อและไว้ใจ เพราะเอบอกเราทำไรไม่เป็นนอกจากทำงาน
อะไรที่เทอคิดว่าดี เทอทำเหอะ เราว่าตามนั้น

มันก็เลยกลายเป็นว่า ที่เราเครียด เรากดดัน เพราะเราเป็นคนพาเอมาตกนรกนี้ด้วยนั้นเอง
เป็นหนี้ หนี้ที่ก่อเอง คงไม่กลัวเพราะเคยผ่านมันมาแล้ว แต่เป็นหนี้ โดยเป็นการก่อหนี้ในชื่อคนอื่น มันเครียดมากๆเลยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่