จากกระทู้แรกจนมาถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลา 3 ปี แล้วที่เราใช้ชีวิตซิงเกิ้ลมัมแบบเต็มตัว
3 ปีที่ผ่านมา ชีวิตเรามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก โดยมันมีจุดเริ่มมาจากมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไป
พอมาถึงจุดนี้ เวลาเราได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาชีวิตคู่ ปัญหาทางใจของแม่เลี้ยงเดี่ยว เราเองอดที่จะอยากแบ่งปันไม่ได้ ว่าการต้องกลายสภาพมาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มันก็ไม่ได้มีแต่แง่มุมที่เลวร้ายเสมอไป และด้านดีที่เกิดขึ้นมามากมาย ก็เกิดมาจากการที่ได้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวนี่ล่ะ
ถ้าให้เราเปรียบเทียบไทม์ไลน์ชีวิตกับสภาวะของวัตถุสักอย่างหนึ่ง เรามองว่าชีวิตเราเหมือนกับวัตถุที่ถูกทุบจนแหลกสลาย ก่อนที่จะต้องไปผ่านกับกระบวนการบางอย่าง จากนั้น เราก็หลอมรวมให้ กลายเป็นวัตถุที่มีสมบัติแบบใหม่ รูปร่างใหม่ และเราก็ดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความรู้สึกใหม่
แต่แน่นอนล่ะ บนโลกนี้ย่อมไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ จากการเลิกราเราก็ได้รับผลกระทบทางมุมมองโดยเฉพาะมุมมองที่มีต่อผู้ชายที่ชัดเจนมากขึ้น ระแวดระวังมากขึ้น ประวิงเวลาและระยะห่างมากขึ้น การตกลงปลงใจศึกษาดูใจกินระยะเวลายาวนานขึ้น และที่ฟังดูตลกร้ายก็คือ ผู้หญิงที่ผ่านการมีสามีและลูกมาแล้ว กลับรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองเพิ่มขึ้น เลือกมากขึ้น ใช่..และเราก็ไม่ได้มองว่ามันผิดหรือน่าหัวเราะแต่อย่างใด ที่เราไม่ได้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ตกลงปลงใจหรือปล่อยให้ใครเดินเข้ามาจนถึงจิตใจของเราได้ง่าย และสำหรับบางคนก็จะเหมือนไม่ว่าจะเดินไกลเท่าไหร่ก็เหมือนว่ายังเดินถึงตรงที่เดิม ซึ่งมันกิจกรรมที่สร้างความเพลิดเพลินให้กับเราได้เหมือนกัน กับการที่นั่งมองคนที่พยายามจะเดินเข้ามาถอนตัวออกไป ทีละคน ทีละคน มันช่าง..เหมือนกับการวิจัยชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่ง ที่ช่วยพิสูจน์สมมุติฐานที่เราตั้งไว้ทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ชาย!
นึกย้อนกลับไปถึงตัวเองเมื่อหลายๆ ปีก่อน เราเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมือนจะได้เป็นแม่บ้านใจกล้าสามีเกรงกลัว แต่ถ้าเราออกมาเป็นผู้ดูหนังเรื่องเก่าที่เราแสดง มันช่างเป็นตัวละครที่แสนน่ารังเกียจในละครเรื่องหนึ่ง ผู้หญิงที่วิ่งตามผู้ชาย ตามหึงหวง ต้องคอยราวีผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาเกาะแกะสามีของตัวเอง และช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิตก็คือช่วงเวลาที่นอนรอสามีกลับบ้านด้วยความคิดวกวนวิตกจริตไปต่างๆ นานา "เค้าจะไปกับผู้หญิงคนอื่นไหม" "เค้าจะกลับมาเมื่อไหร่" "เค้ากำลังทำอะไร" "เค้าไปอยู่ที่ไหน" "เค้า..จะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า!" แทบทุกคืนมีเพียงสองสิ่งที่ทำได้คือนอนลืมตากับลุกขึ้นมองหน้าต่างทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถ ตลอดทั้งคืนได้แต่ร้องไห้สลับกับผลอยหลับไป เพื่อนๆ ของเค้าต่างบอกว่าเราเป็นผู้หญิงน่ารำคาญ บางคนพยายามแนะนำผู้หญิงหน้าใหม่ๆ ให้กับสามีของเรา บางคนเวลาเจอเราก็ทำหน้า้หมือนเห็นผี อืม..ก็เข้าใจนะ เพราะว่าเราก็ดุซะขนาดนั้น
ในฤดูหนาวของช่วง 5-6 ปีที่แล้ว ยิ่งเค้ามีพฤติกรรมออกห่างจากเราเท่าไหร่ พฤติกรรมการขยับเข้าไปใกล้เค้าของเราก็ยิ่งน่ารังเกียจมากเท่านั้น จากการโทรจิกเพิ่มเป็นขับรถตะเวนออกไปตามหา โดยทุกครั้งเวลาที่ออกไปตามสามี ลูกตัวน้อยๆ ของเราที่กำลังหลับอย่างอุตุก็ต้องถูกควักออกมาจากเตียงอุ่นๆ มานั่งในรถที่เย็นเฉียบ และต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อดูพ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างหนัก บางครั้งก็ลงไม้ลงมือกัน แต่อย่าเพิ่งเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้เลยนะ เพราะทุกครั้งผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ก็จะเป็นคนที่ใช้ความรุนแรงกับสามีตัวโตคนนั้นเสมอ ยกเว้นคืนหนึ่ง เค้าเมามาหนักและสิ่งที่เค้าทำต้องทำให้เราไม่กล้ากับเค้าไปอีกนานก็คือ เค้าเอามีดทุกเล่มที่มีในครัวออกมา เราวิ่งหนีแล้วรีบล็อคประตูห้องนอนด้วยความหวาดกลัว ได้ยินเสียงมีดปักลงบนประตูไม้บางๆ ทีละเล่ม ทีละเล่ม
กาลครั้งหนึ่ง..ความรัก
3 ปีที่ผ่านมา ชีวิตเรามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก โดยมันมีจุดเริ่มมาจากมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไป
พอมาถึงจุดนี้ เวลาเราได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาชีวิตคู่ ปัญหาทางใจของแม่เลี้ยงเดี่ยว เราเองอดที่จะอยากแบ่งปันไม่ได้ ว่าการต้องกลายสภาพมาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มันก็ไม่ได้มีแต่แง่มุมที่เลวร้ายเสมอไป และด้านดีที่เกิดขึ้นมามากมาย ก็เกิดมาจากการที่ได้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวนี่ล่ะ
ถ้าให้เราเปรียบเทียบไทม์ไลน์ชีวิตกับสภาวะของวัตถุสักอย่างหนึ่ง เรามองว่าชีวิตเราเหมือนกับวัตถุที่ถูกทุบจนแหลกสลาย ก่อนที่จะต้องไปผ่านกับกระบวนการบางอย่าง จากนั้น เราก็หลอมรวมให้ กลายเป็นวัตถุที่มีสมบัติแบบใหม่ รูปร่างใหม่ และเราก็ดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความรู้สึกใหม่
แต่แน่นอนล่ะ บนโลกนี้ย่อมไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ จากการเลิกราเราก็ได้รับผลกระทบทางมุมมองโดยเฉพาะมุมมองที่มีต่อผู้ชายที่ชัดเจนมากขึ้น ระแวดระวังมากขึ้น ประวิงเวลาและระยะห่างมากขึ้น การตกลงปลงใจศึกษาดูใจกินระยะเวลายาวนานขึ้น และที่ฟังดูตลกร้ายก็คือ ผู้หญิงที่ผ่านการมีสามีและลูกมาแล้ว กลับรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองเพิ่มขึ้น เลือกมากขึ้น ใช่..และเราก็ไม่ได้มองว่ามันผิดหรือน่าหัวเราะแต่อย่างใด ที่เราไม่ได้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ตกลงปลงใจหรือปล่อยให้ใครเดินเข้ามาจนถึงจิตใจของเราได้ง่าย และสำหรับบางคนก็จะเหมือนไม่ว่าจะเดินไกลเท่าไหร่ก็เหมือนว่ายังเดินถึงตรงที่เดิม ซึ่งมันกิจกรรมที่สร้างความเพลิดเพลินให้กับเราได้เหมือนกัน กับการที่นั่งมองคนที่พยายามจะเดินเข้ามาถอนตัวออกไป ทีละคน ทีละคน มันช่าง..เหมือนกับการวิจัยชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่ง ที่ช่วยพิสูจน์สมมุติฐานที่เราตั้งไว้ทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ชาย!
นึกย้อนกลับไปถึงตัวเองเมื่อหลายๆ ปีก่อน เราเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมือนจะได้เป็นแม่บ้านใจกล้าสามีเกรงกลัว แต่ถ้าเราออกมาเป็นผู้ดูหนังเรื่องเก่าที่เราแสดง มันช่างเป็นตัวละครที่แสนน่ารังเกียจในละครเรื่องหนึ่ง ผู้หญิงที่วิ่งตามผู้ชาย ตามหึงหวง ต้องคอยราวีผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาเกาะแกะสามีของตัวเอง และช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิตก็คือช่วงเวลาที่นอนรอสามีกลับบ้านด้วยความคิดวกวนวิตกจริตไปต่างๆ นานา "เค้าจะไปกับผู้หญิงคนอื่นไหม" "เค้าจะกลับมาเมื่อไหร่" "เค้ากำลังทำอะไร" "เค้าไปอยู่ที่ไหน" "เค้า..จะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า!" แทบทุกคืนมีเพียงสองสิ่งที่ทำได้คือนอนลืมตากับลุกขึ้นมองหน้าต่างทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถ ตลอดทั้งคืนได้แต่ร้องไห้สลับกับผลอยหลับไป เพื่อนๆ ของเค้าต่างบอกว่าเราเป็นผู้หญิงน่ารำคาญ บางคนพยายามแนะนำผู้หญิงหน้าใหม่ๆ ให้กับสามีของเรา บางคนเวลาเจอเราก็ทำหน้า้หมือนเห็นผี อืม..ก็เข้าใจนะ เพราะว่าเราก็ดุซะขนาดนั้น
ในฤดูหนาวของช่วง 5-6 ปีที่แล้ว ยิ่งเค้ามีพฤติกรรมออกห่างจากเราเท่าไหร่ พฤติกรรมการขยับเข้าไปใกล้เค้าของเราก็ยิ่งน่ารังเกียจมากเท่านั้น จากการโทรจิกเพิ่มเป็นขับรถตะเวนออกไปตามหา โดยทุกครั้งเวลาที่ออกไปตามสามี ลูกตัวน้อยๆ ของเราที่กำลังหลับอย่างอุตุก็ต้องถูกควักออกมาจากเตียงอุ่นๆ มานั่งในรถที่เย็นเฉียบ และต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อดูพ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างหนัก บางครั้งก็ลงไม้ลงมือกัน แต่อย่าเพิ่งเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้เลยนะ เพราะทุกครั้งผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ก็จะเป็นคนที่ใช้ความรุนแรงกับสามีตัวโตคนนั้นเสมอ ยกเว้นคืนหนึ่ง เค้าเมามาหนักและสิ่งที่เค้าทำต้องทำให้เราไม่กล้ากับเค้าไปอีกนานก็คือ เค้าเอามีดทุกเล่มที่มีในครัวออกมา เราวิ่งหนีแล้วรีบล็อคประตูห้องนอนด้วยความหวาดกลัว ได้ยินเสียงมีดปักลงบนประตูไม้บางๆ ทีละเล่ม ทีละเล่ม