ภาพยนตร์ "I AM NOT MADAME BOVARY อย่าคิดหลอกเจ้"
20 เมษายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

#
เรื่องย่อภาพยนตร์
.10 ปีก่อน หลีสั่วเหลียน และสามี คินอู๋เฮ ได้ทำการ ‘หย่า’ แบบปลอมๆ เพื่อที่จะได้อพาร์ตเมนต์หลังที่ 2 ที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้ให้สำหรับคนโสด แต่ 6 เดือนหลังจากนั้น คินอู๋เฮ กลับไปแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนอื่น ทำให้ หลีสั่วเหลียน โกรธมากและตัดสินใจฟ้องศาล ทว่าคดีนี้เธอพ่ายแพ้หมดรูป เพราะผู้พิพากษา มองว่าทั้งคู่หย่าขาดจากกันอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว
.ด้วยความไม่พอใจต่อการตัดสินของศาล หลีสั่วเหลียน จึงยื่นเรื่องขออุทธรณ์คดี แต่ยื่นเรื่องกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ เธอพบว่าคงมีแต่วิธีเดียวเท่านั้นนั่นคือต้องให้ คิน เป็นฝ่ายยืนยันว่าการหย่าครั้งนั้นเป็นการหย่าปลอม อย่างไรก็ตามเธอกลับโดนสามีเก่ากล่าวหาว่าเป็นผู้หญิง

เพราะเธอ ‘ไม่บริสุทธิ์’ มาก่อนทั้งคู่แต่งงานกัน เมื่อโดนกล่าวหากลับแบบนี้ ทำให้เธอตัดสินใจที่จะกลับไปต่อสู้ในชั้นศาลอีกครั้งเพื่อทวงเอาเกียรติยศของตัวเองกลับคืนมา
.เธอเริ่มขึ้นศาลจากศาลระดับเขต ค่อย ๆ ไต่ระดับสู่ศาลในตัวเมือง ก่อนจะไปฟ้องศาลที่ปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศ เวลาไปที่นั่น จ้าวดาตือ พ่อครัวที่ตกหลุมรักเธอมาตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันจะเป็นคนคอยดูแลเธอ หลีสั่วเหลียน คิดการใหญ่ถึงขั้นจะร้องเรียนขอให้ปลดผู้พิพากษาศาลระดับต่าง ๆ ที่เคยตัดสินคดีความของเธอ รวมถึงนายกเทศมนตรีให้ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเธอให้เหตุผลว่าพวกเขาดูและคดีนี้อย่างไม่เป็นธรรม
.แต่เวลาผ่านไป 10 ปี คดีของเธอก็ยังไม่สิ้นสุด และยังไม่สามารถทวงชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ศรีกลับมาได้เสียที หลี่ ยังคงเดินทางมาปักกิ่งทุกปี แต่จู่ ๆ อาจ้าว ซึ่งกลายเป็นพ่อหม้ายแล้ว กลับขอร้องให้เธอยุติเรื่องราวทั้งหมด หลี่ โกรธมากเมื่อรู้ว่าทางการพยายามบีบเขาหยุดเธอและทำให้เธอถอนฟ้อง
.ในขณะเดียวกัน 10 ปีผ่านไป ผู้พิพากษาหวัง ได้ไต่เต้าจากผู้พิพากษาศาลธรรมดา ๆ กลายมาเป็นประธานศาลสูงสุด เขาได้รับมอบหมายให้หาทางปิดคดีของ หลี่สั่วเหลียน ลงให้ได้ และคอยจับตาดูเธอทุกย่างก้าวยามเธอเดินทางมาปักกิ่ง
.วันหนึ่ง หลี่ ได้พบกับท่านหวังโดยบังเอิญ โดยเขาถูกไล่ออกเนื่องจากการดูแลคดีเธอ เขาถามเธอว่าเพราะเหตุใดเธอถึงต้องกัดไม่ปล่อยถึงเพียงนี้ เธอตอบว่า ตอนที่สามีเธอแต่งงานใหม่ เป็นช่วงเดียวกับที่เธอตั้งครรภ์พอดี เธอไม่ได้สู้เพียงเพื่อตัวเอง แต่เธอสู้เพื่อลูกที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกด้วย
#
เบื้องหลังงานสร้าง
เมื่อเฝิงเสี่ยวกัง ได้อ่านนิยายเรื่อง I Am Not Pan Jinlian ของ หลิวเฉินยุน เมื่อ 4 ปีก่อนซึ่งเล่าเรื่องของ หลีสั่วเหลียน สาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดประเวณี หลังจากเธอถูกตัดสินว่าเป็นฝ่ายแพ้ หลีสั่วเหลียน ก็เริ่มออกเดินทางเพื่อทวงคืนความยุติธรรม เธอเดินทางไปปักกิ่งเพื่อพิสูจน์ว่าการหย่าของเธอกับสามีนั้นเป็นการหย่าปลอมๆ เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมา หลังอ่านจบสิ่งแรกที่เขาคิดก็คือ “เรื่องราวของมันเหมาะสำหรับเอาไปทำเป็นหนังอย่างยิ่ง!”
ผู้กำกับเฝิงเสี่ยวกัง เชื่อว่า งานวรรณกรรมตัดขาด แต่มันควรจะสะท้อนโลกแห่งความเป็นจริง “ผมรู้สึกสนุกเสมอเวลาได้อ่านงานเขียนของ หลิวเฉินยุน ผู้คนจำนวนมากเขียนเรื่องราวของประเทศจีนในแง่ร้ายอยู่เยอะ แต่หลิวมักจะถ่ายทอดเรื่องราวออกมาในมุมตลก ซึ่งผมคิดว่ามันทำให้เรื่องดูสมจริงครับ”
ขณะเดียวกัน หลิวเฉินยุน ก็กล่าวว่า I Am Not Pan Jinlian คือนิยายที่พาคนอ่านไปสำรวจความพิศดารของชีวิตมนุษย์ในปัจจุบัน มันไม่ใช่แค่คดีธรรมดา แต่มันเป็นเรื่องของ เหตุผล ที่อยู่เบื้องหลัง
เฝิง กล่าวว่า “ในโลกนี้มีอารมณ์ขัน ความตลกอยู่ 3 ประเภท ได้แก่อารมณ์ขันจากภาษา อารมณ์ขันจากเรื่องราว และอารมณ์ขันจากนัยยะที่แฝงด้วยเรื่องของศีลธรรมจรรยา สำหรับ I Am Not Madame Bovary ของผมนี้ถือเป็นหนังที่อยู่ในประเภทที่ 3 ครับ”
เฝิงเสี่ยวกัง อยากให้หนังของเขาเป็นหนังที่มีคุณค่าต่อสังคม ชวนให้คนดูได้คิดต่อหลังจากหัวเราะจนท้องแข็ง แม้ว่าเขาจะหาทางเล่าเรื่องด้วยวิธีการแบบใหม่ จากคำวิจารณ์ที่กล่าวชื่นชมอย่างสูงแสดงให้เห็นว่า สไตล์การเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ เปิดเผยความจริงที่ถูกฝังอยู่ของเฝิงนั้นได้ผล
การเล่าเรื่องของ I Am Not Madame Bovary ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ หนังถูกนำเสนอผ่านเฟรมภาพกลม ๆ ที่ทิ้งระยะห่างจากคนดูและให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกต่อเรื่องราว คนดูถูกบังคับให้มองดูเรื่องราวอย่างไร้ซึ่งอคติ และสัมผัสถึงความเป็นจริงอันเจ็บปวด ภายใต้หน้าฉากที่ดูประหลาดและเต็มไปด้วยตลกเสียดสี
สำหรับความคิดที่จะถ่ายทอดหนังเรื่องนี้ผ่านเฟรมภาพรูปวงกลมนั้น เป็นไอเดียของผู้กำกับเฝิงเอง “ภาพวาดแบบปัญญาชนดั้งเดิม (Literati Painting) ช่วงสมัยซ่ง ส่วนใหญ่มักเป็นภาพแนวแลนด์สเคป ด้วยเรื่องราวที่เล่าจะเล่านั้นค่อนข้างมีความเป็นจีนสูง เราเลยอยากเล่าหนังเรื่องนี้ให้ออกมาในสไตล์จีนครับ”
เมื่อเฝิงหาโลเคชั่นสำหรับถ่ายทำ เขาพบว่าพื้นที่เหล่านั้นมักขาดลักษณะเด่น “องค์ประกอบของสถานที่แต่ละที่นั้นรกมาก ๆ แต่ละที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างดี ซึ่งมันทำให้คนเป็นผู้กำกับและอดีตนักวาดภาพอย่างผมรู้สึกเสียใจมาก ๆ เลยครับ” แต่ด้วยการจัดวางองค์ประกอบภาพให้เหมาะกับเฟรมภาพวงกลม ทำให้เขาสามารถจำกัดสิ่งที่เขาไม่อยากให้โผล่เข้ามาในหนังเขาได้เยอะทีเดียว และทำให้คนดูสนใจตัวละครมากขึ้นด้วย ตอนแรกที่เขาอธิบายสิ่งที่จะทำกับผู้กำกับภาพ หลัวปัน เขาตื่นเต้นมากทีเดียว “
ถ้าคุณกล้าทำหนังแบบนี้ล่ะก็ ผู้กำกับภาพจะต้องรักคุณโคตร ๆ เลยล่ะ!”
เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผู้กำกับจะทำนั้นสามารถเป็นไปได้ ทีมงานจึงถ่ายทำฟุตเตจความยาว 10 นาทีขึ้นมาโดยใช้แสตนด์อิน และลองถ่ายทำทั้งตอนกลางวัน กลางคืน ถ่ายทั้งฉากภายในและนอกอาคาร แม้ว่าตอนแรกผู้เขียนบทอย่าง หลิวเฉินยุน จะไม่ชอบไอเดียนี้เลยก็ตาม เขาเชื่อว่าแค่ความเข้มข้นของเนื้อเรื่องก็น่าจะเพียงพอในตัวของมันเองแล้วโดยไม่ต้องให้ผู้กำกับใส่ลูกเล่นอะไรเพิ่มเติม
ผู้กำกับเฝิงเสี่ยวกัง กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “I Am Not Pan Jinlian เป็นนิยายที่ยอดเยี่ยม ไม่อย่างนั้นผมคงไม่คิดจะนำมาสร้างเป็นหนังหรอกครับ ผมเพียงแค่อยากหาวิธีนำเสนอมันออกมาในรูปแบบของผมเท่านั้น”
หลังจากต่อรองกันอยู่นาน เฝิงจึงยินยอมถ่ายหนังเรื่องนี้โดยใช้ขนาดภาพ 2 แบบ นั่นคือแบบวงกลม และแบบธรรมดาที่ใช้อัตราส่วน 1:2.66 แต่มันก็ทำให้การถ่ายทำเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะพวกเขาอุตส่าห์วางแผนไว้นานแล้วว่าจะถ่ายหนังออกมาแบบวงกลม เลยต้องมาเสียเวลาในการจัดองค์ประกอบภาพใหม่เสมอ
ตอนแรก พวกเขายังวางแผนว่าจะถ่ายหนังเรื่องนี้ให้เห็นคอนทราสต์ที่ตัดกันอย่างชัดเจน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ เลยต้องปรับโทนเรื่องให้เป็นสีเทา เพื่อให้มันเข้ากับความเป็นภาพเขียนในยุคซ่ง แต่ถ้าเกิดสามารถทำให้เกิดคอนทราสต์ได้ล่ะก็ จะสามารถทำให้วัตถุในภาพเปลี่ยนรูปได้ ต่อมา ภาพแบบวงกลมทำให้พวกเขาไม่สามารถถ่ายในระยะใกล้ได้ แล้วยังไม่สามารถใช้กล้องมือถือถ่ายได้อีก พวกเขาต้องจัดองค์ประกอบของภาพให้ตัวละครอยู่กึ่งกลางเฟรม การถ่ายทำแบบนี้ก่อให้เกิดสุนทรียศาสตร์แบบใหม่ขึ้นมา เฝิงและหลัว ใช้เลนส์ 25, 35 และ 50 มม. ในการถ่ายทำ ตอนแรกพวกเขากะใช้เพียงแค่เลนส์แบบเดียวเท่านั้น แต่เพราะพวกเขามองว่าการตัดต่อแบบ Jump Cut จะทำให้เกิดความสับสนงุนงง เลยไม่ได้ถ่ายทำแต่ละฉากออกมาให้มีหลายมุมภาพมากนัก
นอกจากการทำเฟรมภาพเป็นวงกลมจะทำให้เหมือนกับเป็นภาพเขียนในยุคสมัยก่อน มันยังทำให้คนดูรู้สึกเหมือนกำลังถ้ำมองเหตุการณ์ และถึงเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในวงกลม แต่มันก็ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรอบข้างซึ่งคนดูไม่สามารถมองเห็นได้อีก มันจึงก่อให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างไม่จบไม่สิ้น เมื่อคนดูหลงทาง พวกเขาขาดข้อมูลที่ครบถ้วนและรอบด้าน คนดูก็เหมือนกับตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับ หลีสั่วเหลียน เสียเองด้วย
#
คำวิจารณ์
+ “ถือเป็นการเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบบกฎหมายอันไม่ยุติธรรมได้อย่างทะเยอทะยาน ถือเป็นหนังที่ผสมฟอร์มและเนื้อหาได้อย่างลงตัว” – FIPRESCI
+ “I Am Not Madame Bovary มีงานด้านภาพที่สวยงามและเลิศเลอ หนังเล่าเรื่องด้วยภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์ผ่านเฟรมภาพวงกลมซึ่งดูเหมือนแว่นขยาย ...
+ หนังยังมีส่วนผสมของ Scarlett Letter, เรื่องของกลุ่ม Keystone Cops รวมถึงภาพวาดแลนด์สเคปขนาดเล็ก และการหักมุมของหนังยังน่าชื่นชมแบบเดียวกับในงานเขียนของ โทมัส ฮาร์ดี้ ด้วย ...
+ หนังยังมีความโดดเด่นที่การแสดงของ ฟ่าน ปิงปิง ภาพกลมๆ ของหนังแสดงให้เห็นการกระทำและการจัดองค์ประกอบอันฉลาดหลักแหลม ราวกับเป็นภาพเขียนจีนในยุคก่อน” – Screen Daily
+ “ถือเป็นงานที่น่าชื่นชมและเต็มไปด้วยความกล้าหาญอย่างมากของคนทำหนังผู้มีชื่อเสียงชาวจีน” - Cinema Scope
+ “หนังเรื่องนี้มีเคมีที่ลงตัวอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ ซึ่งทำให้มุกตลกที่เหมือนไม่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำงานของเหล่าข้าราชการ ออกมาดูสนุกสนาน ... ฟ่าน ปิงปิง แสดงให้เห็นว่าเธอคือนักแสดงตลกที่มีพรสวรรค์” – The Hollywood Reporter
+ “หนังน่าดึงดูดใจเสมอ I Am Not Madame Bovary ถือเป็นหนังที่น่าเบิกบานใจ ...
นอกเหนือจาความตลกที่ใส่เข้ามาอย่างโดดเด่น คือความเปี่ยมสีสันของสถานที่ เช่นเดียวกับดนตรีประกอบของ ตู้เหว่ย” - Variety
Credit : Mongkol Cinema
พลาดไม่ได้ผลงานใหม่ของนักแสดงสาวหน้าสวย 'ฟ่าน ปิงปิง' กับภาพยนตร์เรื่อง "I AM NOT MADAME BOVARY อย่าคิดหลอกเจ้"
20 เมษายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
# เรื่องย่อภาพยนตร์
.10 ปีก่อน หลีสั่วเหลียน และสามี คินอู๋เฮ ได้ทำการ ‘หย่า’ แบบปลอมๆ เพื่อที่จะได้อพาร์ตเมนต์หลังที่ 2 ที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้ให้สำหรับคนโสด แต่ 6 เดือนหลังจากนั้น คินอู๋เฮ กลับไปแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนอื่น ทำให้ หลีสั่วเหลียน โกรธมากและตัดสินใจฟ้องศาล ทว่าคดีนี้เธอพ่ายแพ้หมดรูป เพราะผู้พิพากษา มองว่าทั้งคู่หย่าขาดจากกันอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว
.ด้วยความไม่พอใจต่อการตัดสินของศาล หลีสั่วเหลียน จึงยื่นเรื่องขออุทธรณ์คดี แต่ยื่นเรื่องกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ เธอพบว่าคงมีแต่วิธีเดียวเท่านั้นนั่นคือต้องให้ คิน เป็นฝ่ายยืนยันว่าการหย่าครั้งนั้นเป็นการหย่าปลอม อย่างไรก็ตามเธอกลับโดนสามีเก่ากล่าวหาว่าเป็นผู้หญิง
.เธอเริ่มขึ้นศาลจากศาลระดับเขต ค่อย ๆ ไต่ระดับสู่ศาลในตัวเมือง ก่อนจะไปฟ้องศาลที่ปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศ เวลาไปที่นั่น จ้าวดาตือ พ่อครัวที่ตกหลุมรักเธอมาตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันจะเป็นคนคอยดูแลเธอ หลีสั่วเหลียน คิดการใหญ่ถึงขั้นจะร้องเรียนขอให้ปลดผู้พิพากษาศาลระดับต่าง ๆ ที่เคยตัดสินคดีความของเธอ รวมถึงนายกเทศมนตรีให้ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเธอให้เหตุผลว่าพวกเขาดูและคดีนี้อย่างไม่เป็นธรรม
.แต่เวลาผ่านไป 10 ปี คดีของเธอก็ยังไม่สิ้นสุด และยังไม่สามารถทวงชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ศรีกลับมาได้เสียที หลี่ ยังคงเดินทางมาปักกิ่งทุกปี แต่จู่ ๆ อาจ้าว ซึ่งกลายเป็นพ่อหม้ายแล้ว กลับขอร้องให้เธอยุติเรื่องราวทั้งหมด หลี่ โกรธมากเมื่อรู้ว่าทางการพยายามบีบเขาหยุดเธอและทำให้เธอถอนฟ้อง
.ในขณะเดียวกัน 10 ปีผ่านไป ผู้พิพากษาหวัง ได้ไต่เต้าจากผู้พิพากษาศาลธรรมดา ๆ กลายมาเป็นประธานศาลสูงสุด เขาได้รับมอบหมายให้หาทางปิดคดีของ หลี่สั่วเหลียน ลงให้ได้ และคอยจับตาดูเธอทุกย่างก้าวยามเธอเดินทางมาปักกิ่ง
.วันหนึ่ง หลี่ ได้พบกับท่านหวังโดยบังเอิญ โดยเขาถูกไล่ออกเนื่องจากการดูแลคดีเธอ เขาถามเธอว่าเพราะเหตุใดเธอถึงต้องกัดไม่ปล่อยถึงเพียงนี้ เธอตอบว่า ตอนที่สามีเธอแต่งงานใหม่ เป็นช่วงเดียวกับที่เธอตั้งครรภ์พอดี เธอไม่ได้สู้เพียงเพื่อตัวเอง แต่เธอสู้เพื่อลูกที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกด้วย
# เบื้องหลังงานสร้าง
เมื่อเฝิงเสี่ยวกัง ได้อ่านนิยายเรื่อง I Am Not Pan Jinlian ของ หลิวเฉินยุน เมื่อ 4 ปีก่อนซึ่งเล่าเรื่องของ หลีสั่วเหลียน สาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดประเวณี หลังจากเธอถูกตัดสินว่าเป็นฝ่ายแพ้ หลีสั่วเหลียน ก็เริ่มออกเดินทางเพื่อทวงคืนความยุติธรรม เธอเดินทางไปปักกิ่งเพื่อพิสูจน์ว่าการหย่าของเธอกับสามีนั้นเป็นการหย่าปลอมๆ เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมา หลังอ่านจบสิ่งแรกที่เขาคิดก็คือ “เรื่องราวของมันเหมาะสำหรับเอาไปทำเป็นหนังอย่างยิ่ง!”
ผู้กำกับเฝิงเสี่ยวกัง เชื่อว่า งานวรรณกรรมตัดขาด แต่มันควรจะสะท้อนโลกแห่งความเป็นจริง “ผมรู้สึกสนุกเสมอเวลาได้อ่านงานเขียนของ หลิวเฉินยุน ผู้คนจำนวนมากเขียนเรื่องราวของประเทศจีนในแง่ร้ายอยู่เยอะ แต่หลิวมักจะถ่ายทอดเรื่องราวออกมาในมุมตลก ซึ่งผมคิดว่ามันทำให้เรื่องดูสมจริงครับ”
เฝิง กล่าวว่า “ในโลกนี้มีอารมณ์ขัน ความตลกอยู่ 3 ประเภท ได้แก่อารมณ์ขันจากภาษา อารมณ์ขันจากเรื่องราว และอารมณ์ขันจากนัยยะที่แฝงด้วยเรื่องของศีลธรรมจรรยา สำหรับ I Am Not Madame Bovary ของผมนี้ถือเป็นหนังที่อยู่ในประเภทที่ 3 ครับ”
เฝิงเสี่ยวกัง อยากให้หนังของเขาเป็นหนังที่มีคุณค่าต่อสังคม ชวนให้คนดูได้คิดต่อหลังจากหัวเราะจนท้องแข็ง แม้ว่าเขาจะหาทางเล่าเรื่องด้วยวิธีการแบบใหม่ จากคำวิจารณ์ที่กล่าวชื่นชมอย่างสูงแสดงให้เห็นว่า สไตล์การเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ เปิดเผยความจริงที่ถูกฝังอยู่ของเฝิงนั้นได้ผล การเล่าเรื่องของ I Am Not Madame Bovary ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ หนังถูกนำเสนอผ่านเฟรมภาพกลม ๆ ที่ทิ้งระยะห่างจากคนดูและให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกต่อเรื่องราว คนดูถูกบังคับให้มองดูเรื่องราวอย่างไร้ซึ่งอคติ และสัมผัสถึงความเป็นจริงอันเจ็บปวด ภายใต้หน้าฉากที่ดูประหลาดและเต็มไปด้วยตลกเสียดสี
เมื่อเฝิงหาโลเคชั่นสำหรับถ่ายทำ เขาพบว่าพื้นที่เหล่านั้นมักขาดลักษณะเด่น “องค์ประกอบของสถานที่แต่ละที่นั้นรกมาก ๆ แต่ละที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างดี ซึ่งมันทำให้คนเป็นผู้กำกับและอดีตนักวาดภาพอย่างผมรู้สึกเสียใจมาก ๆ เลยครับ” แต่ด้วยการจัดวางองค์ประกอบภาพให้เหมาะกับเฟรมภาพวงกลม ทำให้เขาสามารถจำกัดสิ่งที่เขาไม่อยากให้โผล่เข้ามาในหนังเขาได้เยอะทีเดียว และทำให้คนดูสนใจตัวละครมากขึ้นด้วย ตอนแรกที่เขาอธิบายสิ่งที่จะทำกับผู้กำกับภาพ หลัวปัน เขาตื่นเต้นมากทีเดียว “ถ้าคุณกล้าทำหนังแบบนี้ล่ะก็ ผู้กำกับภาพจะต้องรักคุณโคตร ๆ เลยล่ะ!”
เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผู้กำกับจะทำนั้นสามารถเป็นไปได้ ทีมงานจึงถ่ายทำฟุตเตจความยาว 10 นาทีขึ้นมาโดยใช้แสตนด์อิน และลองถ่ายทำทั้งตอนกลางวัน กลางคืน ถ่ายทั้งฉากภายในและนอกอาคาร แม้ว่าตอนแรกผู้เขียนบทอย่าง หลิวเฉินยุน จะไม่ชอบไอเดียนี้เลยก็ตาม เขาเชื่อว่าแค่ความเข้มข้นของเนื้อเรื่องก็น่าจะเพียงพอในตัวของมันเองแล้วโดยไม่ต้องให้ผู้กำกับใส่ลูกเล่นอะไรเพิ่มเติม
หลังจากต่อรองกันอยู่นาน เฝิงจึงยินยอมถ่ายหนังเรื่องนี้โดยใช้ขนาดภาพ 2 แบบ นั่นคือแบบวงกลม และแบบธรรมดาที่ใช้อัตราส่วน 1:2.66 แต่มันก็ทำให้การถ่ายทำเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะพวกเขาอุตส่าห์วางแผนไว้นานแล้วว่าจะถ่ายหนังออกมาแบบวงกลม เลยต้องมาเสียเวลาในการจัดองค์ประกอบภาพใหม่เสมอ
ตอนแรก พวกเขายังวางแผนว่าจะถ่ายหนังเรื่องนี้ให้เห็นคอนทราสต์ที่ตัดกันอย่างชัดเจน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ เลยต้องปรับโทนเรื่องให้เป็นสีเทา เพื่อให้มันเข้ากับความเป็นภาพเขียนในยุคซ่ง แต่ถ้าเกิดสามารถทำให้เกิดคอนทราสต์ได้ล่ะก็ จะสามารถทำให้วัตถุในภาพเปลี่ยนรูปได้ ต่อมา ภาพแบบวงกลมทำให้พวกเขาไม่สามารถถ่ายในระยะใกล้ได้ แล้วยังไม่สามารถใช้กล้องมือถือถ่ายได้อีก พวกเขาต้องจัดองค์ประกอบของภาพให้ตัวละครอยู่กึ่งกลางเฟรม การถ่ายทำแบบนี้ก่อให้เกิดสุนทรียศาสตร์แบบใหม่ขึ้นมา เฝิงและหลัว ใช้เลนส์ 25, 35 และ 50 มม. ในการถ่ายทำ ตอนแรกพวกเขากะใช้เพียงแค่เลนส์แบบเดียวเท่านั้น แต่เพราะพวกเขามองว่าการตัดต่อแบบ Jump Cut จะทำให้เกิดความสับสนงุนงง เลยไม่ได้ถ่ายทำแต่ละฉากออกมาให้มีหลายมุมภาพมากนัก
นอกจากการทำเฟรมภาพเป็นวงกลมจะทำให้เหมือนกับเป็นภาพเขียนในยุคสมัยก่อน มันยังทำให้คนดูรู้สึกเหมือนกำลังถ้ำมองเหตุการณ์ และถึงเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในวงกลม แต่มันก็ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรอบข้างซึ่งคนดูไม่สามารถมองเห็นได้อีก มันจึงก่อให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างไม่จบไม่สิ้น เมื่อคนดูหลงทาง พวกเขาขาดข้อมูลที่ครบถ้วนและรอบด้าน คนดูก็เหมือนกับตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับ หลีสั่วเหลียน เสียเองด้วย
# คำวิจารณ์
+ “ถือเป็นการเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบบกฎหมายอันไม่ยุติธรรมได้อย่างทะเยอทะยาน ถือเป็นหนังที่ผสมฟอร์มและเนื้อหาได้อย่างลงตัว” – FIPRESCI
+ “I Am Not Madame Bovary มีงานด้านภาพที่สวยงามและเลิศเลอ หนังเล่าเรื่องด้วยภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์ผ่านเฟรมภาพวงกลมซึ่งดูเหมือนแว่นขยาย ...
+ หนังยังมีส่วนผสมของ Scarlett Letter, เรื่องของกลุ่ม Keystone Cops รวมถึงภาพวาดแลนด์สเคปขนาดเล็ก และการหักมุมของหนังยังน่าชื่นชมแบบเดียวกับในงานเขียนของ โทมัส ฮาร์ดี้ ด้วย ...
+ หนังยังมีความโดดเด่นที่การแสดงของ ฟ่าน ปิงปิง ภาพกลมๆ ของหนังแสดงให้เห็นการกระทำและการจัดองค์ประกอบอันฉลาดหลักแหลม ราวกับเป็นภาพเขียนจีนในยุคก่อน” – Screen Daily
+ “ถือเป็นงานที่น่าชื่นชมและเต็มไปด้วยความกล้าหาญอย่างมากของคนทำหนังผู้มีชื่อเสียงชาวจีน” - Cinema Scope
+ “หนังเรื่องนี้มีเคมีที่ลงตัวอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ ซึ่งทำให้มุกตลกที่เหมือนไม่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำงานของเหล่าข้าราชการ ออกมาดูสนุกสนาน ... ฟ่าน ปิงปิง แสดงให้เห็นว่าเธอคือนักแสดงตลกที่มีพรสวรรค์” – The Hollywood Reporter
+ “หนังน่าดึงดูดใจเสมอ I Am Not Madame Bovary ถือเป็นหนังที่น่าเบิกบานใจ ...
นอกเหนือจาความตลกที่ใส่เข้ามาอย่างโดดเด่น คือความเปี่ยมสีสันของสถานที่ เช่นเดียวกับดนตรีประกอบของ ตู้เหว่ย” - Variety
Credit : Mongkol Cinema