คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 95
สวัสดีครับ
ก่อนอื่นเลย ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาคอมเม้นท์จากใจจริงนะครับไม่คิดว่าจะมีคนสนใจกระทู้มากมายขนาดนี้ เพราะกระทู้นี้ยาวมากจริงๆ
เรื่องของเรื่องตอนที่เราเขียนคอนเทนต์นี้ เกิดจากงานหลักเราตันครับ เราไม่สามารถเขียนไปต่อได้ เลยตั้งใจเบรกด้วยการหาคอนเทนต์เบาๆสบายๆลองเขียนแก้เครียดดู จึงเกิดออกมาเป็นกระทู้นี้ ที่ดูจะขาดๆเกินๆไปบ้างในบ้างแง่มุม ตรงนี้ต้องขอขอบคุณสำหรับท่านที่เข้ามาเสริมข้อมูล และขออภัยในความบกพร่องต่อหน้าที่ของเราด้วยจริงๆครับ
ส่วนเรื่องที่หลายๆท่านแนะนำเข้ามา ผมไม่ได้นิ่งนอนใจและเก็บไปคิดรวมทั้งทบทวนและต่อยอดความเข้าใจใน ‘ตัวเอง’ เพื่อพัฒนาศักยภาพต่อไป
ต้องขอขอบคุณจริงๆสำหรับคำแนะนำทั้งติและชมครับ
ทั้งนี้จากคอมเม้นท์ทั้งหมด ผมขออนุญาตชี้แจงบางเรื่องนะครับ เช่นเรื่องที่ผมเปลี่ยนงานบ่อย ขออนุญาตเรียนตรงนี้ว่าจริงๆแล้วในทั้งหมด 10 งาน มีเพียงแค่ 2 งานเท่านั้นที่ผมออกเพราะคิดว่าผม ‘ไม่สามารถยอมรับได้’ ซึ่งผมคิดแบบนั้นจริงๆครับ ผมเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมที่ทำงานไม่ได้ ผมเปลี่ยนสังคมได้ แต่ผมเปลี่ยนงานได้ อย่างที่ผมบอกครับ การทนอยู่ต่อไปไม่ได้หมายความว่าอคติที่เกิดขึ้นไม่ว่าจากสาเหตุอะไรก็ตามแต่มันจะลดลงได้ และ/หรือ ผมจะสามารถก้าวหน้าในเส้นทางนี้ได้ เพราะสุดท้ายแล้วอนาคตที่ต้องเลือกเดิน ตัวผมเองที่ต้องเป็นคนรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง
ส่วนงานอื่นๆจะเห็นว่าเป็นงานที่จบเป็นจ็อบๆไปนะครับ ผมไม่ได้ทิ้งงานไม่ว่าจะงานอะไรก็ตามแต่ เช่นงานสอนพิเศษ ผมก็สอนจนกระทั้งผมรู้สึกว่าผมไม่อยากสอนเพราะตามเหตุผลที่ว่าไว้ในพาร์ทนั้น นอกเหนือจากนั้นคือออกเพราะมันไม่คุ้มที่เขาจะจ้างผม (เช่นงานนิติฯ) ผมรู้สึกว่าถ้าเราต้องจ่ายออกไป เราสมควรได้รับสิ่งตอบกลับมาในมูลค่าที่เท่ากันหรือมากกว่า การที่มีคนจ่ายผมมาและผมจ่ายเขากลับไปได้น้อย เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมมองว่ามันไม่เวิร์กเลยเดินออกมาครับ (เพราะผมทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพด้วย ตรงนี้คือสิ่งสำคัญที่เราต้องให้น้ำหนักกับตัวนายจ้างเอง)
ส่วนเรื่องที่ว่าผมโทษแต่อย่างอื่น และคิดว่าตัวเองไม่สามารถก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้ ในส่วนแรกนั้นผมมองว่ามันเป็นปัจจัยหนึ่งในองค์ประกอบของกำแพงที่เป็นความจริง เป็นอุปสรรคแบบหนึ่งที่ทำให้เวย์ของผมมันยากขึ้น แต่ยากไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้ และผมค่อนข้างเชื่อว่าผมจะสามารถผ่านมันไปให้ได้ในเวย์ของผมครับ ส่วนเรื่องที่คิดว่าตัวเองไม่สามารถยกระดับไปได้มากกว่านี้ จริงๆผมพอมองลู่ทางและสร้างฐานรวมทั้งที่ยั่งเท้าให้ตัวเองคร่าวๆแล้วครับ ณ ปัจจุบันมันอาจจะยังไม่มั่นคง แต่ผมเชื่อมั่นว่าในอนาคต ผมจะสามารถผลักดันและพัฒนามันเพื่อต่อยอดตัวผมได้ครับ
ในส่วนของกระทู้เอง หากมีข้อผิดพลาดประการใดหรือผมแสดงคำพูดหรือกิริยาที่ไม่เหมาะสมตรงไหน
ผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ขอบคุณมากๆอีกครั้งจริงๆครับสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกคำแนะนำ มันจะไม่สูญเปล่าแน่นอนครับ
ก่อนอื่นเลย ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาคอมเม้นท์จากใจจริงนะครับไม่คิดว่าจะมีคนสนใจกระทู้มากมายขนาดนี้ เพราะกระทู้นี้ยาวมากจริงๆ
เรื่องของเรื่องตอนที่เราเขียนคอนเทนต์นี้ เกิดจากงานหลักเราตันครับ เราไม่สามารถเขียนไปต่อได้ เลยตั้งใจเบรกด้วยการหาคอนเทนต์เบาๆสบายๆลองเขียนแก้เครียดดู จึงเกิดออกมาเป็นกระทู้นี้ ที่ดูจะขาดๆเกินๆไปบ้างในบ้างแง่มุม ตรงนี้ต้องขอขอบคุณสำหรับท่านที่เข้ามาเสริมข้อมูล และขออภัยในความบกพร่องต่อหน้าที่ของเราด้วยจริงๆครับ
ส่วนเรื่องที่หลายๆท่านแนะนำเข้ามา ผมไม่ได้นิ่งนอนใจและเก็บไปคิดรวมทั้งทบทวนและต่อยอดความเข้าใจใน ‘ตัวเอง’ เพื่อพัฒนาศักยภาพต่อไป
ต้องขอขอบคุณจริงๆสำหรับคำแนะนำทั้งติและชมครับ
ทั้งนี้จากคอมเม้นท์ทั้งหมด ผมขออนุญาตชี้แจงบางเรื่องนะครับ เช่นเรื่องที่ผมเปลี่ยนงานบ่อย ขออนุญาตเรียนตรงนี้ว่าจริงๆแล้วในทั้งหมด 10 งาน มีเพียงแค่ 2 งานเท่านั้นที่ผมออกเพราะคิดว่าผม ‘ไม่สามารถยอมรับได้’ ซึ่งผมคิดแบบนั้นจริงๆครับ ผมเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมที่ทำงานไม่ได้ ผมเปลี่ยนสังคมได้ แต่ผมเปลี่ยนงานได้ อย่างที่ผมบอกครับ การทนอยู่ต่อไปไม่ได้หมายความว่าอคติที่เกิดขึ้นไม่ว่าจากสาเหตุอะไรก็ตามแต่มันจะลดลงได้ และ/หรือ ผมจะสามารถก้าวหน้าในเส้นทางนี้ได้ เพราะสุดท้ายแล้วอนาคตที่ต้องเลือกเดิน ตัวผมเองที่ต้องเป็นคนรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง
ส่วนงานอื่นๆจะเห็นว่าเป็นงานที่จบเป็นจ็อบๆไปนะครับ ผมไม่ได้ทิ้งงานไม่ว่าจะงานอะไรก็ตามแต่ เช่นงานสอนพิเศษ ผมก็สอนจนกระทั้งผมรู้สึกว่าผมไม่อยากสอนเพราะตามเหตุผลที่ว่าไว้ในพาร์ทนั้น นอกเหนือจากนั้นคือออกเพราะมันไม่คุ้มที่เขาจะจ้างผม (เช่นงานนิติฯ) ผมรู้สึกว่าถ้าเราต้องจ่ายออกไป เราสมควรได้รับสิ่งตอบกลับมาในมูลค่าที่เท่ากันหรือมากกว่า การที่มีคนจ่ายผมมาและผมจ่ายเขากลับไปได้น้อย เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมมองว่ามันไม่เวิร์กเลยเดินออกมาครับ (เพราะผมทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพด้วย ตรงนี้คือสิ่งสำคัญที่เราต้องให้น้ำหนักกับตัวนายจ้างเอง)
ส่วนเรื่องที่ว่าผมโทษแต่อย่างอื่น และคิดว่าตัวเองไม่สามารถก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้ ในส่วนแรกนั้นผมมองว่ามันเป็นปัจจัยหนึ่งในองค์ประกอบของกำแพงที่เป็นความจริง เป็นอุปสรรคแบบหนึ่งที่ทำให้เวย์ของผมมันยากขึ้น แต่ยากไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้ และผมค่อนข้างเชื่อว่าผมจะสามารถผ่านมันไปให้ได้ในเวย์ของผมครับ ส่วนเรื่องที่คิดว่าตัวเองไม่สามารถยกระดับไปได้มากกว่านี้ จริงๆผมพอมองลู่ทางและสร้างฐานรวมทั้งที่ยั่งเท้าให้ตัวเองคร่าวๆแล้วครับ ณ ปัจจุบันมันอาจจะยังไม่มั่นคง แต่ผมเชื่อมั่นว่าในอนาคต ผมจะสามารถผลักดันและพัฒนามันเพื่อต่อยอดตัวผมได้ครับ
ในส่วนของกระทู้เอง หากมีข้อผิดพลาดประการใดหรือผมแสดงคำพูดหรือกิริยาที่ไม่เหมาะสมตรงไหน
ผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ขอบคุณมากๆอีกครั้งจริงๆครับสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกคำแนะนำ มันจะไม่สูญเปล่าแน่นอนครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ประเทศไทยในสายตาเด็กยากไร้คนนึง
จริงๆแล้วผมเคยทำงานมามากกว่านี้และมีบางงานที่ผมให้ดีเทคไปไม่ครบ แต่เอาเถอะ ถ้าผมมีแรงขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ผมอาจจะมาต่อกระทู้อีกรอบ เพราะผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขียนมาขนาดนี้จะมีใครอ่านจบไหม?
สุดท้ายแล้วจะเหลืออีกหนึ่งพาร์ที่เป็นพาร์แห่งการบ่นของผมแล้วครับ....
ประเทศไทยในสายตาเด็กยากไร้คนนึง (พาร์ทนี้ค่อนข้างบ่นแบบบ่นจริงๆจังๆ และอ่าจจะอ่านแล้วงงๆในบางจังหวะ ข้ามได้ข้ามครับ)
ในฐานะคนที่จนแบบหาเช้ากินค่ำมาตั้งแต่เกิด สมัยเด็กๆผมถูกปลูกฝั่งให้รักการศึกษา เพื่อที่จะสามารถเรียนจบมาประกอบสัมมาวิชาชีพที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและต่อคนในครอบครัวได้
แต่ยิ่งโตขึ้นผมยิ่งรู้สึกชัดมากขึ้น
ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นคนที่จมน้ำแล้วพยายามตะเกียดตะกายว่ายขึ้นฝั่ง หากแต่พอจะว่ายขึ้นได้ผมก็โดนกดหัวลงไปในน้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก จนผมหมดลมหายใจหายไปโง่ๆแบบนั้นในบ่อน้ำบ่อน้อย...
สำหรับผมแล้ว ผมไม่เคยรู้สึกว่าประเทศไทยมีอะไรซัพพอร์ทคนชนชั้นล่างเลยแม้แต่น้อย
หากการศึกษาเป็นเครื่องมืออย่างเดียวที่จะสามารถยกระดับฐานะและชีวิตคนๆหนึ่งให้ดีขึ้นมาได้ ผมก็ขอพูดตามตรงเลยว่า การศึกษาไทยไม่เคยเอื้อประโยชน์ให้คนชนชั้นล่างเลยแม้แต่น้อย ข้อสอบที่เอื้อผลประโยชน์ให้สถาบันกวดวิชา เงินค่าสอบที่ต้องจ่ายไปในแต่ล่ะสนาม ความยุ่งยากของการรวมคะแนนเพื่อยื่นต่อในระดับมหาวิทยาลัย ทุกอย่างมีช่องโหว่และทุกคนต่างมองข้ามมันไปอย่างสุดความสามารถ
ทุกคนต่างบอกให้ผมดิ้นรนและพยายาม พยายามดิ้นรนต่อสู้กับความอยุติธรรมที่ถูกตัดสินตั้งแต่คุณเกิดมา แค่เกิดมาก็แบ่งแยกแล้ว แค่เกิดมาก็แตกต่างแล้ว หนึ่งสมองสองมือเหรอ ? ตลกจัง ไม่ใช่ทุกอย่างที่พูดออกมาสวยหรูแล้วมันจะเป็นจริงนิ หนึ่งสมองที่ไม่ได้รับการคัดเกลา กับสองมือที่ไม่มีอะไรเลยจะสามารถพาคุณไปถึงไหนได้เหรอ? แค่ความพยายามมันไม่ได้ตอบได้ทุกสิ่ง คุณจะบอกว่าถ้าคุณพยายามมากพอคุณจะสามารถเดินไปถึงดวงจันทร์ได้เหรอ?
เหมือนเจ้าปลาหน้าโง่กับลิงน้อยที่คิดว่าแค่ตัวเองปีนต้นไม้แล้วทุกอย่างมันจะจบสิ้นนั้นแหละ ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น การศึกษาคือการทับถม การทับถมที่ใช้เวลาและใช้ต้นทุนในการสร้างมันขึ้นมา การตกตะกอนของทุกๆสิ่งและปัจจัยเร้ารอบๆตัวคุณ มันไม่ใช่สิ่งที่แค่บอกว่า “พยายามเข้านะ” “สู้ๆนะ” แล้วจะสามารถผ่านมันไปได้ ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาๆหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้สวยงามเหมือนฝัน
ผมเคยคุยกับคุณหมอคนหนึ่ง มีเรื่องหนึ่งที่เราคิดเห็นตรงกัน
สำหรับประเทศไทยเรา ถ้าคุณอยากก้าวผ่านและสามารถยกระดับชีวิตตัวคุณเองได้คุณต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่จีเนียสเข้าขั้นก็ต้องมีทาเล้นท์ที่แกร่งกล้ามากพอจะสร้างอะไรสักอย่างให้กับคุณได้
ซึ่งถ้าทั้งหมดนั้นไม่ได้ติดตัวคุณมาตั้งแต่เกิด...
จะจีเนียสได้ >>> มีต้นทุนที่ดี มีการปลูกฝั่ง มีการรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย มีการซัพพอร์ทอย่างถึงกึ่น
จะมีทาเล้นท์ได้ >>> ไม่ว่าจะเป็นทาเลนท์แบบไหนล้วนแล้วแต่ต้องใช้ ‘ต้นทุน’
จะวาดรูปเหรอ ? ไหนอุปกรณ์และเวลาล่ะ
เล่นดนตรี ? เครื่องดนตรีราคาเท่าไหร่ ไหนเวลาล่ะ?
เล่นกีฬา ? ค่าชุดค่าอุปกรณ์
อ้าว เหลือทางไหนให้กูเดินไปต่อได้บ้างวะ ? 555555555555
การสอบแข่งขันก็เหมือนกัน ทุกอย่างมันไม่แฟร์เกมมาตั้งแต่ต้นแล้ว
มหาวิทยาลัยดีๆไม่ได้คอนเฟิร์มว่าคุณจะสามารถมีชีวิตที่ดีได้
แต่มหาวิทยาลัยดีๆช่วยเพิ่ม ‘สังคม’ ที่ดี ที่สามารถพยุงคุณให้ไปต่อได้ที่สามารถแชร์อะไรสักอย่างกับคุณได้
เหมือนอย่างเรื่องงานด้านบนที่ผมเล่ามา
หลายครั้งหลายหนเหลือเกินที่ผมได้มันมาเพราะผมพยายามหาเส้นทางให้กับตัวเองก้าวเดิน เพราะผมรู้สึกว่าแค่ความพยายามมันไม่ช่วยอะไร
จริงๆเรื่องที่มีผลกับชีวิตเรามากที่สุดคือเรื่องการเมืองด้วยซ้ำ แต่ทุกคนกลับผลักไสมันออกไปแล้วมองเห็นเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตทุกวันนี้เป็นอะไรหรือแบบไหน มันก็มีส่วนหรือเป็นปัจจัยหนึ่งแท้ๆที่ทำให้เกิดผลต่างๆกับชีวิตคุณ ซึ่งเอาเข้าจริงๆมันก็ว่ากันไม่ได้หรอก
ถ้า ‘ท้องยังหิว’ ยังจะสามารถมองเห็นอะไรได้อีก
ผมจะพอเพียงได้ยังไงในเมื่อผมยังมีไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำสำหรับสิ่งที่คนๆหนึ่งควรจะได้รับ...
ผมหมดหวัง สองตาของผมมองไม่เห็นทางออกด้วยซ้ำว่าควรจะไปทางไหนดี
ไม่ว่าจะผมหรือส่วนรวม ยิ่งโต ยิ่งรู้ ยิ่งเหนื่อยที่จะปฏิเสธความเป็นจริง
เหนื่อยกับความจริงบางอย่างที่แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ได้
แต่ลึกๆข้างในจริงๆแล้วผมก็ยังไม่หมดความหวังหรอก
ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถสร้างหรือเปลี่ยนแปลงมันได้ภายในเวลาแค่ไม่กี้ปีหรือกี่สิบปี
นับกันจริงๆประเทศเราก็ยังไม่ถึงสองสามร้อยปีด้วยซ้ำกว่าจะมาถึงทุกวันนี้...
เราไม่จำเป็นต้องคาดหวัง...แต่เราต้องมีความหวัง
ผมเสียใจที่ผมอาจจะไม่ได้เห็นสิ่งที่ตัวเองอยากเห็นในชั่วชีวิตของผม
แต่ผมก็ดีใจเช่นกันที่ยังได้ส่งต่อคบเพลิงที่มีชื่อว่า ‘ความหวัง’ นี้ต่อไปเรื่อยๆ
ขอแค่คบเพลิงคบเพลิงนี้ยังจุดไฟได้ต่อไป
ผมเชื่อว่าสักวันสิ่งที่ผมคาดหวังมันจะเกิดขึ้นจริง
แต่พูดก็พูดเถอะ เอาตามตรงผมยังมองไม่ออกสักเท่าไหร่ว่าจะหาลู่ทางไหนไปจากที่นี้ได้ แต่เวลาที่เหลือหลังจากนี้อีก 4 ปี ผมจะพยายามดิ้นรนอีกสักเฮือกหนึ่งในการไขว้คว้าหาทุกสิ่งที่ทำให้ผมสามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้
ผมหวังไว้แบบนั้นล่ะนะ
ขอบคุณที่อ่านกระทู้ของผมจนหมด เอาเข้าจริงๆก็ไม่คิดหรอกว่าใครจะอ่านมันจบ
หากแต่ถ้ามีคนอ่านมันจบจริงๆก็ขอขอบคุณจากใจ
เพราะผมเองก็ใช้ทั้งหัวใจของผมในการเล่าเรื่องราวต่างๆเช่นกัน
จริงๆแล้วผมเคยทำงานมามากกว่านี้และมีบางงานที่ผมให้ดีเทคไปไม่ครบ แต่เอาเถอะ ถ้าผมมีแรงขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ผมอาจจะมาต่อกระทู้อีกรอบ เพราะผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขียนมาขนาดนี้จะมีใครอ่านจบไหม?
สุดท้ายแล้วจะเหลืออีกหนึ่งพาร์ที่เป็นพาร์แห่งการบ่นของผมแล้วครับ....
ประเทศไทยในสายตาเด็กยากไร้คนนึง (พาร์ทนี้ค่อนข้างบ่นแบบบ่นจริงๆจังๆ และอ่าจจะอ่านแล้วงงๆในบางจังหวะ ข้ามได้ข้ามครับ)
ในฐานะคนที่จนแบบหาเช้ากินค่ำมาตั้งแต่เกิด สมัยเด็กๆผมถูกปลูกฝั่งให้รักการศึกษา เพื่อที่จะสามารถเรียนจบมาประกอบสัมมาวิชาชีพที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและต่อคนในครอบครัวได้
แต่ยิ่งโตขึ้นผมยิ่งรู้สึกชัดมากขึ้น
ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นคนที่จมน้ำแล้วพยายามตะเกียดตะกายว่ายขึ้นฝั่ง หากแต่พอจะว่ายขึ้นได้ผมก็โดนกดหัวลงไปในน้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก จนผมหมดลมหายใจหายไปโง่ๆแบบนั้นในบ่อน้ำบ่อน้อย...
สำหรับผมแล้ว ผมไม่เคยรู้สึกว่าประเทศไทยมีอะไรซัพพอร์ทคนชนชั้นล่างเลยแม้แต่น้อย
หากการศึกษาเป็นเครื่องมืออย่างเดียวที่จะสามารถยกระดับฐานะและชีวิตคนๆหนึ่งให้ดีขึ้นมาได้ ผมก็ขอพูดตามตรงเลยว่า การศึกษาไทยไม่เคยเอื้อประโยชน์ให้คนชนชั้นล่างเลยแม้แต่น้อย ข้อสอบที่เอื้อผลประโยชน์ให้สถาบันกวดวิชา เงินค่าสอบที่ต้องจ่ายไปในแต่ล่ะสนาม ความยุ่งยากของการรวมคะแนนเพื่อยื่นต่อในระดับมหาวิทยาลัย ทุกอย่างมีช่องโหว่และทุกคนต่างมองข้ามมันไปอย่างสุดความสามารถ
ทุกคนต่างบอกให้ผมดิ้นรนและพยายาม พยายามดิ้นรนต่อสู้กับความอยุติธรรมที่ถูกตัดสินตั้งแต่คุณเกิดมา แค่เกิดมาก็แบ่งแยกแล้ว แค่เกิดมาก็แตกต่างแล้ว หนึ่งสมองสองมือเหรอ ? ตลกจัง ไม่ใช่ทุกอย่างที่พูดออกมาสวยหรูแล้วมันจะเป็นจริงนิ หนึ่งสมองที่ไม่ได้รับการคัดเกลา กับสองมือที่ไม่มีอะไรเลยจะสามารถพาคุณไปถึงไหนได้เหรอ? แค่ความพยายามมันไม่ได้ตอบได้ทุกสิ่ง คุณจะบอกว่าถ้าคุณพยายามมากพอคุณจะสามารถเดินไปถึงดวงจันทร์ได้เหรอ?
เหมือนเจ้าปลาหน้าโง่กับลิงน้อยที่คิดว่าแค่ตัวเองปีนต้นไม้แล้วทุกอย่างมันจะจบสิ้นนั้นแหละ ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น การศึกษาคือการทับถม การทับถมที่ใช้เวลาและใช้ต้นทุนในการสร้างมันขึ้นมา การตกตะกอนของทุกๆสิ่งและปัจจัยเร้ารอบๆตัวคุณ มันไม่ใช่สิ่งที่แค่บอกว่า “พยายามเข้านะ” “สู้ๆนะ” แล้วจะสามารถผ่านมันไปได้ ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาๆหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้สวยงามเหมือนฝัน
ผมเคยคุยกับคุณหมอคนหนึ่ง มีเรื่องหนึ่งที่เราคิดเห็นตรงกัน
สำหรับประเทศไทยเรา ถ้าคุณอยากก้าวผ่านและสามารถยกระดับชีวิตตัวคุณเองได้คุณต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่จีเนียสเข้าขั้นก็ต้องมีทาเล้นท์ที่แกร่งกล้ามากพอจะสร้างอะไรสักอย่างให้กับคุณได้
ซึ่งถ้าทั้งหมดนั้นไม่ได้ติดตัวคุณมาตั้งแต่เกิด...
จะจีเนียสได้ >>> มีต้นทุนที่ดี มีการปลูกฝั่ง มีการรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย มีการซัพพอร์ทอย่างถึงกึ่น
จะมีทาเล้นท์ได้ >>> ไม่ว่าจะเป็นทาเลนท์แบบไหนล้วนแล้วแต่ต้องใช้ ‘ต้นทุน’
จะวาดรูปเหรอ ? ไหนอุปกรณ์และเวลาล่ะ
เล่นดนตรี ? เครื่องดนตรีราคาเท่าไหร่ ไหนเวลาล่ะ?
เล่นกีฬา ? ค่าชุดค่าอุปกรณ์
อ้าว เหลือทางไหนให้กูเดินไปต่อได้บ้างวะ ? 555555555555
การสอบแข่งขันก็เหมือนกัน ทุกอย่างมันไม่แฟร์เกมมาตั้งแต่ต้นแล้ว
มหาวิทยาลัยดีๆไม่ได้คอนเฟิร์มว่าคุณจะสามารถมีชีวิตที่ดีได้
แต่มหาวิทยาลัยดีๆช่วยเพิ่ม ‘สังคม’ ที่ดี ที่สามารถพยุงคุณให้ไปต่อได้ที่สามารถแชร์อะไรสักอย่างกับคุณได้
เหมือนอย่างเรื่องงานด้านบนที่ผมเล่ามา
หลายครั้งหลายหนเหลือเกินที่ผมได้มันมาเพราะผมพยายามหาเส้นทางให้กับตัวเองก้าวเดิน เพราะผมรู้สึกว่าแค่ความพยายามมันไม่ช่วยอะไร
จริงๆเรื่องที่มีผลกับชีวิตเรามากที่สุดคือเรื่องการเมืองด้วยซ้ำ แต่ทุกคนกลับผลักไสมันออกไปแล้วมองเห็นเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตทุกวันนี้เป็นอะไรหรือแบบไหน มันก็มีส่วนหรือเป็นปัจจัยหนึ่งแท้ๆที่ทำให้เกิดผลต่างๆกับชีวิตคุณ ซึ่งเอาเข้าจริงๆมันก็ว่ากันไม่ได้หรอก
ถ้า ‘ท้องยังหิว’ ยังจะสามารถมองเห็นอะไรได้อีก
ผมจะพอเพียงได้ยังไงในเมื่อผมยังมีไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำสำหรับสิ่งที่คนๆหนึ่งควรจะได้รับ...
ผมหมดหวัง สองตาของผมมองไม่เห็นทางออกด้วยซ้ำว่าควรจะไปทางไหนดี
ไม่ว่าจะผมหรือส่วนรวม ยิ่งโต ยิ่งรู้ ยิ่งเหนื่อยที่จะปฏิเสธความเป็นจริง
เหนื่อยกับความจริงบางอย่างที่แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ได้
แต่ลึกๆข้างในจริงๆแล้วผมก็ยังไม่หมดความหวังหรอก
ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถสร้างหรือเปลี่ยนแปลงมันได้ภายในเวลาแค่ไม่กี้ปีหรือกี่สิบปี
นับกันจริงๆประเทศเราก็ยังไม่ถึงสองสามร้อยปีด้วยซ้ำกว่าจะมาถึงทุกวันนี้...
เราไม่จำเป็นต้องคาดหวัง...แต่เราต้องมีความหวัง
ผมเสียใจที่ผมอาจจะไม่ได้เห็นสิ่งที่ตัวเองอยากเห็นในชั่วชีวิตของผม
แต่ผมก็ดีใจเช่นกันที่ยังได้ส่งต่อคบเพลิงที่มีชื่อว่า ‘ความหวัง’ นี้ต่อไปเรื่อยๆ
ขอแค่คบเพลิงคบเพลิงนี้ยังจุดไฟได้ต่อไป
ผมเชื่อว่าสักวันสิ่งที่ผมคาดหวังมันจะเกิดขึ้นจริง
แต่พูดก็พูดเถอะ เอาตามตรงผมยังมองไม่ออกสักเท่าไหร่ว่าจะหาลู่ทางไหนไปจากที่นี้ได้ แต่เวลาที่เหลือหลังจากนี้อีก 4 ปี ผมจะพยายามดิ้นรนอีกสักเฮือกหนึ่งในการไขว้คว้าหาทุกสิ่งที่ทำให้ผมสามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้
ผมหวังไว้แบบนั้นล่ะนะ
ขอบคุณที่อ่านกระทู้ของผมจนหมด เอาเข้าจริงๆก็ไม่คิดหรอกว่าใครจะอ่านมันจบ
หากแต่ถ้ามีคนอ่านมันจบจริงๆก็ขอขอบคุณจากใจ
เพราะผมเองก็ใช้ทั้งหัวใจของผมในการเล่าเรื่องราวต่างๆเช่นกัน
ความคิดเห็นที่ 12
เด็กรุ่นใหม่ไม่ทนงานจริงเหรอ?
เป็นคำถามที่ผมโดนถามบ่อย ส่วนตัวผมมักจะถามกลับไปว่า “แล้วทำไมต้องทน?”
ถ้าปัญหาไม่ได้เกิดจากเรา แต่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่มันอันคอนโทรล เราต้องทนอยู่ต่อไปเพราะอะไรล่ะครับ
งานหนักผลตอบแทนคุ้มยังทนได้ แต่งานหนักผลตอบแทนไม่คุ้มเสียสุขภาพจิตก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะทนไปทำไม
ผมว่าตรงนี้ hr ก็ต้องถอยกลับมาดูด้วยเหมือนกันว่าเด็กมันไม่ทนงานจริงๆหรือมันไม่สมควรจะทน
เป็นคำถามที่ผมโดนถามบ่อย ส่วนตัวผมมักจะถามกลับไปว่า “แล้วทำไมต้องทน?”
ถ้าปัญหาไม่ได้เกิดจากเรา แต่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่มันอันคอนโทรล เราต้องทนอยู่ต่อไปเพราะอะไรล่ะครับ
งานหนักผลตอบแทนคุ้มยังทนได้ แต่งานหนักผลตอบแทนไม่คุ้มเสียสุขภาพจิตก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะทนไปทำไม
ผมว่าตรงนี้ hr ก็ต้องถอยกลับมาดูด้วยเหมือนกันว่าเด็กมันไม่ทนงานจริงๆหรือมันไม่สมควรจะทน
ความคิดเห็นที่ 3
มาสคอต
- คุณสมบัติของผู้สมัครงาน
ต่อจากตรงนี้ age จะเริ่มฟิกล่ะครับ อย่างงานใส่มาสคอตเขาขอเป็นผู้ชายอายุระหว่าง 18-30 ส่วนสูงบางที่ก็กำหนด บางที่ก็ไม่กำหนด งานมาสคอตงานแรกที่ผมไปเขาฟิกไว้ว่าขอ 170 เซนติเมตรขึ้นไป ดีว่าบวกลบแล้วผมผ่านเกณฑ์ ก็คุยไลน์คุยอะไรตกลงกันเรียบร้อยครับ ตรงนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย
- สถานที่ปฏิบัติงาน
ที่เคยเจอมาในห้างก็มีครับ เคสนี้เป็นเคสที่ผมไปครั้งแรกเนี้ยแหละ บูธเชียร์ขายนมผงตามห้าง พออินเมจิ้นภาพออกไหมครับ? อารมณ์น้อง ๆ ผู้หญิงหนึ่งคนตั้งบูธแล้วก็จะมีแจกตัวอย่างให้ชิม ๆ ก็จะมีป้า ๆ บางท่าน(หรือหลาย ๆ ท่าน)วนเวียนรถเข็นไปมารอของฟรีออกมาตั้ง นั้นแหละครับผมไปประจำการตรงนั้น ยืนโยกไปโยกมาเพื่อดึงดูดเด็ก ๆ ให้สนใจบูธนมผงของเราครับ
- รูปแบบและลักษณะงานที่ทำพร้อมเงื่อนไขต่าง ๆ
นอกจากข้อกำหนดเรื่องอายุและส่วนสูงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมโดนย้ำเสมอ ๆ คือ ห้าม ถอด ชุด หรือ หัว มาสคอต ออก ให้ เด็กๆ เห็น เด็ด ขาด !!! (จะเว้นวรรคทำไมหนักหนาวะ ...เหนื่อย แฮ่กๆ) ผม
ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้ รู้แค่ว่าจินตนาการของเด็กๆสำคัญกว่าอากาศหายใจของพวกเรา ถึงขนาดกำชับว่าถ้าพลาดออกมีหักตังค์นะครับ นั้นแปลว่าเขาซีเรียสมากจริงๆ (ซึ่งผมก็ซีเรียสตามเพราะเงินจะถูกหักไม่ด๊ายยย)
ลักษณะงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นการใส่มาสคอตแล้วเดินไปเดินมาเนี้ยแหละครับ ถ้าใครโชคดีมาก ๆ ก็จะถูกหวยครับ ลูกค้าให้เต้นประกอบเพลง ให้เต้นเลยนะเว้ย !!!
นึกสภาพตามผมนะคุณ ผมใส่ชุดกันความร้อน (ออกไปจากข้างใน )อย่างดี (ดีมากแบบแมร่ง กูนึกว่าอยู่ในเตาอบ เปิดออกมานี้เอาไปเสิร์ฟได้เลยอ่ะ) หัวมาสคอสที่หนักประมาณสองโลเป็นอย่างน้อย (ใครแมร่งเป็นคนต้นคิดวะว่ามาสคอตต้องหัวโตๆ) รองเท้าที่ใส่คู่กับชุด คล้ายๆรองเท้าใส่สำหรับเดินในบ้านแต่หนักและหนากว่ามากๆจนร้อนไปทั้งอุ้งเท้า
เวลาทำงานก็ตามแต่เขานัดครับ ถ้าทำในห้างส่วนมากก็ตามเวลาเปิด-ปิด ที่เราแจกแซมปิ้งอ่ะครับ แต่ตรงนี้แล้วแต่ว่าตกลงกันมายังไงมากกว่า อย่างบูธนมผงที่ผมไปเจอมา คือผมเดินวนรอบๆเซลขายของครึ่งชั่ว/รอบอ่ะครับ มีพักเบรกให้กินข้าวกินปลาประมาณชั่วโมงหนึ่งแล้วก็มาทำงานต่อ
หน้าที่ของเราคือดึงดูดครับ ทำยังไงก็ได้ในคนที่พบเห็นคุณ คิดว่าคุณน่ารักให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะกับเด็กๆ (แม้ภายในชุดคุณจะชุ่มด้วยเหงื่อเสมือนอาบน้ำแล้วไม่ได้เช็ดตัวก็เถอะ)
- เรื่องราวที่เจอในระหว่างการทำงาน
ตอนไปทำงานที่ห้างไม่เท่าไหร่ครับ เคสนั้นผมทำงาน รับเงินแล้วจบไปด้วยดี ต้องขอบคุณพี่คนนั้นจริงๆที่ส่งต่อผมให้มาทำงานนี้ เหนื่อยนะ แต่สนุกดีครับ ได้ลองเป็นคนในระบบดูแล้วก็สนุกดี ได้รับรู้อะไรหลายๆอย่างดีครับ
แต่เคสที่ฝั่งใจผมมากที่สุดคือเคสที่งานเปิดตัวโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่งครับ จำได้ว่าวันนั้นผมใส่ชุดปอนๆเข้างานไปแล้วโดนมองด้วยสายตาแบบ....เธอเข้าผิดรึเปล่า? คือผมเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง เหมือนตัวประหลาดที่คนมองแล้วมองอีก
ยิ่งช่วงพักเบรกที่ผมออกมาทานข้าว มีคนเดินมาบอกผมว่า “น้อง ช่วยไปทานข้าวที่ด้านหลังได้ไหมครับ?” พร้อมชี้นิ้วไปทางห้องเก็บของหรืออะไรสักอย่างนี้ล่ะที่ไม่มีใครเข้าไป
วินาทีนั้นคือ ผมอยากกลับบ้าน ผมอยากกลับไปหาพ่อหาแม่เลย คือมันเป็นครั้งแรกที่เราโดน Judge แรงแบบแรงมากจริงๆ คือเราแต่งตัวได้แย่มากถึงขนาดไล่เราไปกินข้าวในห้องเก็บของอ่ะ อารมณ์ตอนนั้นมันดาวน์มาก แต่ผมกลับไปไม่ได้เพราะลูกค้ายังไม่จ่ายเงิน พอนึกถึงเงินแล้วทุกอย่างมันฮึ้บเลย มันแบบ เอออ กูมาที่นี้ทำไมวะ? กูมาเพื่อเงินไง กูมาทำงาน ท่องในใจว่า เงิน เงิน และเงิน
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกว่า การเป็นคนจนเป็นเรื่องเลวร้ายมากพอจะทำให้ใครหลายๆคนสามารถ Judge คุณได้ทั้งวัจนะภาษาและอวัจภาษา การไม่มีเงินทำให้คุณสามารถกลายเป็นพลเมืองชั้นสองได้หากคุณไม่มีภาพลักษณ์ที่ดีมากพอ
และเป็นครั้งแรกที่ผมบอกกับตัวเองว่า กลับไปผมจะหาทางทำยังไงก็ได้ ให้หลุดพ้นจากสภาวะตรงนี้ให้จงได้...
- ผลตอบแทน
ผมกลับไปคิดถึงเรื่องนี้หลายครั้ง ถามตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเราควรมองยังไง โอเค เราต้องแยกก่อน พูดกันตามตรง วันนั้นผมอาจจะแต่งตัวแย่จริงๆ กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดมิ๊กกี้เม้าส์โง่ๆอาจจะไม่เหมาะสมกับงานอะไรแบบนั้น และทั้งหมดทั้งมวลนั้น มันไม่ผิดอะไรถ้าเขาจะ Judge ผมจากภายนอก มันเป็นสิทธิ์ที่เขาสามารถทำได้
เช่นเดียวกัน ทั้งหมดนั้นคือความคิด ความรู้สึกของผมเอง “เพียงฝ่ายเดียว” ซึ่งมันไม่มีน้ำหนัก หรือไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าพวกเขาคิดแบบนั้นจริง ๆ แม้กระทั้งประโยคที่เขาขอร้องให้ผมไปกินข้าวในห้องเก็บของ มองในมุมเจ้าภาพแล้ว มันจะผิดอะไรถ้าเขาอยากจะให้งานของเขามันออกมาดูดีในความคิดของเขา ซึ่งนั้นมันไม่ผิดอะไรเลยนะ ถ้าถึงวันที่เป็นเราที่ยืนอยู่ตรงจุดนั้น เราจะทำแบบเขารึเปล่า? ผมยังไม่สามารถตอบตัวเองได้
จริงๆแล้วอาจจะเป็นตัวผมเองก็ได้ที่เป็นคน Judge พวกเขาจากแค่สายตาและกิริยาที่มันไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นบวกหรือลบกันแน่
ไม่จำเป็นต้องเข้าข้างใคร ไม่จำเป็นต้องเข้าข้างตัวเองหรือคนเหล่านั้น มันเป็นแค่เรื่องที่ผ่านไปแล้วและจบไปแล้ว เราทำได้แค่มองมันเป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่งในชีวิตที่เคยเกิดขึ้นจริงและจบลงไปแล้ว
ไม่ต้องก้าวผ่านมันไปก็ได้ แค่อย่าให้สิ่งที่จบลงไปแล้ววกกลับมาทำร้ายเราก็พอ
ผมคิดแบบนั้นนะ....
- ความคุ้มค่าในการทำงาน
งานหนักให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเสมอ...ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงเสมอไปหรอกนะประโยคนี้ มันมีปัจจัยหลายๆอย่างเข้ามาข้องเกี่ยว แต่ถ้านับงานนี้งานเดียวก็ต้องบอกว่าจริงครับ
ทนร้อน ทนเหนื่อย ได้มา 1000/ครั้งครับ สำหรับผมแล้ว มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำมาถึงสามเท่าก็นับว่าคุ้มค่าแล้วฮะ
ผลพลอยได้อีกอย่างจากงานมาสคอตคือผมรู้สึกว่าน้ำหนักตัวลดลงไปทั้งกายและใจครับ มันก็เป็นอารมณ์ที่พีคไปอีกแบบนะ กับการได้กลายเป็นคนที่สร้างรอยยิ้มให้กับคนอื่น รอยยิ้มของเด็กๆ ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในขณะนั้นครับ
- คุณสมบัติของผู้สมัครงาน
ต่อจากตรงนี้ age จะเริ่มฟิกล่ะครับ อย่างงานใส่มาสคอตเขาขอเป็นผู้ชายอายุระหว่าง 18-30 ส่วนสูงบางที่ก็กำหนด บางที่ก็ไม่กำหนด งานมาสคอตงานแรกที่ผมไปเขาฟิกไว้ว่าขอ 170 เซนติเมตรขึ้นไป ดีว่าบวกลบแล้วผมผ่านเกณฑ์ ก็คุยไลน์คุยอะไรตกลงกันเรียบร้อยครับ ตรงนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย
- สถานที่ปฏิบัติงาน
ที่เคยเจอมาในห้างก็มีครับ เคสนี้เป็นเคสที่ผมไปครั้งแรกเนี้ยแหละ บูธเชียร์ขายนมผงตามห้าง พออินเมจิ้นภาพออกไหมครับ? อารมณ์น้อง ๆ ผู้หญิงหนึ่งคนตั้งบูธแล้วก็จะมีแจกตัวอย่างให้ชิม ๆ ก็จะมีป้า ๆ บางท่าน(หรือหลาย ๆ ท่าน)วนเวียนรถเข็นไปมารอของฟรีออกมาตั้ง นั้นแหละครับผมไปประจำการตรงนั้น ยืนโยกไปโยกมาเพื่อดึงดูดเด็ก ๆ ให้สนใจบูธนมผงของเราครับ
- รูปแบบและลักษณะงานที่ทำพร้อมเงื่อนไขต่าง ๆ
นอกจากข้อกำหนดเรื่องอายุและส่วนสูงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมโดนย้ำเสมอ ๆ คือ ห้าม ถอด ชุด หรือ หัว มาสคอต ออก ให้ เด็กๆ เห็น เด็ด ขาด !!! (จะเว้นวรรคทำไมหนักหนาวะ ...เหนื่อย แฮ่กๆ) ผม

ลักษณะงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นการใส่มาสคอตแล้วเดินไปเดินมาเนี้ยแหละครับ ถ้าใครโชคดีมาก ๆ ก็จะถูกหวยครับ ลูกค้าให้เต้นประกอบเพลง ให้เต้นเลยนะเว้ย !!!
นึกสภาพตามผมนะคุณ ผมใส่ชุดกันความร้อน (ออกไปจากข้างใน )อย่างดี (ดีมากแบบแมร่ง กูนึกว่าอยู่ในเตาอบ เปิดออกมานี้เอาไปเสิร์ฟได้เลยอ่ะ) หัวมาสคอสที่หนักประมาณสองโลเป็นอย่างน้อย (ใครแมร่งเป็นคนต้นคิดวะว่ามาสคอตต้องหัวโตๆ) รองเท้าที่ใส่คู่กับชุด คล้ายๆรองเท้าใส่สำหรับเดินในบ้านแต่หนักและหนากว่ามากๆจนร้อนไปทั้งอุ้งเท้า
เวลาทำงานก็ตามแต่เขานัดครับ ถ้าทำในห้างส่วนมากก็ตามเวลาเปิด-ปิด ที่เราแจกแซมปิ้งอ่ะครับ แต่ตรงนี้แล้วแต่ว่าตกลงกันมายังไงมากกว่า อย่างบูธนมผงที่ผมไปเจอมา คือผมเดินวนรอบๆเซลขายของครึ่งชั่ว/รอบอ่ะครับ มีพักเบรกให้กินข้าวกินปลาประมาณชั่วโมงหนึ่งแล้วก็มาทำงานต่อ
หน้าที่ของเราคือดึงดูดครับ ทำยังไงก็ได้ในคนที่พบเห็นคุณ คิดว่าคุณน่ารักให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะกับเด็กๆ (แม้ภายในชุดคุณจะชุ่มด้วยเหงื่อเสมือนอาบน้ำแล้วไม่ได้เช็ดตัวก็เถอะ)
- เรื่องราวที่เจอในระหว่างการทำงาน
ตอนไปทำงานที่ห้างไม่เท่าไหร่ครับ เคสนั้นผมทำงาน รับเงินแล้วจบไปด้วยดี ต้องขอบคุณพี่คนนั้นจริงๆที่ส่งต่อผมให้มาทำงานนี้ เหนื่อยนะ แต่สนุกดีครับ ได้ลองเป็นคนในระบบดูแล้วก็สนุกดี ได้รับรู้อะไรหลายๆอย่างดีครับ
แต่เคสที่ฝั่งใจผมมากที่สุดคือเคสที่งานเปิดตัวโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่งครับ จำได้ว่าวันนั้นผมใส่ชุดปอนๆเข้างานไปแล้วโดนมองด้วยสายตาแบบ....เธอเข้าผิดรึเปล่า? คือผมเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง เหมือนตัวประหลาดที่คนมองแล้วมองอีก
ยิ่งช่วงพักเบรกที่ผมออกมาทานข้าว มีคนเดินมาบอกผมว่า “น้อง ช่วยไปทานข้าวที่ด้านหลังได้ไหมครับ?” พร้อมชี้นิ้วไปทางห้องเก็บของหรืออะไรสักอย่างนี้ล่ะที่ไม่มีใครเข้าไป
วินาทีนั้นคือ ผมอยากกลับบ้าน ผมอยากกลับไปหาพ่อหาแม่เลย คือมันเป็นครั้งแรกที่เราโดน Judge แรงแบบแรงมากจริงๆ คือเราแต่งตัวได้แย่มากถึงขนาดไล่เราไปกินข้าวในห้องเก็บของอ่ะ อารมณ์ตอนนั้นมันดาวน์มาก แต่ผมกลับไปไม่ได้เพราะลูกค้ายังไม่จ่ายเงิน พอนึกถึงเงินแล้วทุกอย่างมันฮึ้บเลย มันแบบ เอออ กูมาที่นี้ทำไมวะ? กูมาเพื่อเงินไง กูมาทำงาน ท่องในใจว่า เงิน เงิน และเงิน
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกว่า การเป็นคนจนเป็นเรื่องเลวร้ายมากพอจะทำให้ใครหลายๆคนสามารถ Judge คุณได้ทั้งวัจนะภาษาและอวัจภาษา การไม่มีเงินทำให้คุณสามารถกลายเป็นพลเมืองชั้นสองได้หากคุณไม่มีภาพลักษณ์ที่ดีมากพอ
และเป็นครั้งแรกที่ผมบอกกับตัวเองว่า กลับไปผมจะหาทางทำยังไงก็ได้ ให้หลุดพ้นจากสภาวะตรงนี้ให้จงได้...
- ผลตอบแทน
ผมกลับไปคิดถึงเรื่องนี้หลายครั้ง ถามตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเราควรมองยังไง โอเค เราต้องแยกก่อน พูดกันตามตรง วันนั้นผมอาจจะแต่งตัวแย่จริงๆ กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดมิ๊กกี้เม้าส์โง่ๆอาจจะไม่เหมาะสมกับงานอะไรแบบนั้น และทั้งหมดทั้งมวลนั้น มันไม่ผิดอะไรถ้าเขาจะ Judge ผมจากภายนอก มันเป็นสิทธิ์ที่เขาสามารถทำได้
เช่นเดียวกัน ทั้งหมดนั้นคือความคิด ความรู้สึกของผมเอง “เพียงฝ่ายเดียว” ซึ่งมันไม่มีน้ำหนัก หรือไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าพวกเขาคิดแบบนั้นจริง ๆ แม้กระทั้งประโยคที่เขาขอร้องให้ผมไปกินข้าวในห้องเก็บของ มองในมุมเจ้าภาพแล้ว มันจะผิดอะไรถ้าเขาอยากจะให้งานของเขามันออกมาดูดีในความคิดของเขา ซึ่งนั้นมันไม่ผิดอะไรเลยนะ ถ้าถึงวันที่เป็นเราที่ยืนอยู่ตรงจุดนั้น เราจะทำแบบเขารึเปล่า? ผมยังไม่สามารถตอบตัวเองได้
จริงๆแล้วอาจจะเป็นตัวผมเองก็ได้ที่เป็นคน Judge พวกเขาจากแค่สายตาและกิริยาที่มันไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นบวกหรือลบกันแน่
ไม่จำเป็นต้องเข้าข้างใคร ไม่จำเป็นต้องเข้าข้างตัวเองหรือคนเหล่านั้น มันเป็นแค่เรื่องที่ผ่านไปแล้วและจบไปแล้ว เราทำได้แค่มองมันเป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่งในชีวิตที่เคยเกิดขึ้นจริงและจบลงไปแล้ว
ไม่ต้องก้าวผ่านมันไปก็ได้ แค่อย่าให้สิ่งที่จบลงไปแล้ววกกลับมาทำร้ายเราก็พอ
ผมคิดแบบนั้นนะ....
- ความคุ้มค่าในการทำงาน
งานหนักให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเสมอ...ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงเสมอไปหรอกนะประโยคนี้ มันมีปัจจัยหลายๆอย่างเข้ามาข้องเกี่ยว แต่ถ้านับงานนี้งานเดียวก็ต้องบอกว่าจริงครับ
ทนร้อน ทนเหนื่อย ได้มา 1000/ครั้งครับ สำหรับผมแล้ว มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำมาถึงสามเท่าก็นับว่าคุ้มค่าแล้วฮะ
ผลพลอยได้อีกอย่างจากงานมาสคอตคือผมรู้สึกว่าน้ำหนักตัวลดลงไปทั้งกายและใจครับ มันก็เป็นอารมณ์ที่พีคไปอีกแบบนะ กับการได้กลายเป็นคนที่สร้างรอยยิ้มให้กับคนอื่น รอยยิ้มของเด็กๆ ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในขณะนั้นครับ
ความคิดเห็นที่ 2
แจกใบปลิว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- คุณสมบัติของผู้สมัครงาน
ข้อนี้ age และเพศไม่ฟิกอีกเช่นกันครับ แต่ส่วนมากเขาอยากจะได้ผู้หญิงไปแจกมากกว่า ด้วยเหตุผลที่ว่า “ผู้หญิงน่าจำแจกใบปลิวง่ายกว่าผู้ชาย” เอาเป็นว่าผมจับผลัดจับพลูเข้าไปทำแล้วผลงานมันดี เลยมีเจ้าประจำที่จ้างกันต่อเรื่อยๆ อารมณ์ยืนงานยาวๆไปได้เกือบเดือนหรือสองเดือนเลยครับ (นั้นทำให้ผมรู้สึกว่าเออ กูควรตั้งใจทำทุกๆงานให้ออกมาดีนะ เพื่ออะไรแบบนี้ล่ะครับ)
- สถานที่ปฏิบัติงาน
ส่วนมากผมมักจะดวงดี (?) ได้แจกตามห้างครับ ข้อดีอย่างหนึ่งคืออากาศครับ ไงๆก็ดีกว่ายืนตากแดดแน่ๆ และเช่นเคย เมื่อมีด้านดีๆแล้วมันก็ต้องมีด้านไม่ดีตามมาด้วยเช่นกันเพราะห้างสรรพสินค้าในวันเสาร์อาทิตย์นี้ยังกะมีของฟรีแจก คนเยอะมากกกก มากจนเกิดเหตุการณ์หลายๆอย่างตามมาเลยล่ะครับ....
- รูปแบบและลักษณะงานที่ทำพร้อมเงื่อนไขต่างๆ
ยูนิฟอร์มแบบเดียวกับชุดโบกธงครับ นี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผมเลือกงานแจกใบปลิวด้วยเช่นกัน เพราะมันไม่ต้องเสียค่าอะไรเพิ่มอีกนอกจากค่าเดินทางกับค่ากิน
ปกติแล้วไม่ว่าจะเจ้าไหนก็มักจะมีข้อบังคับไว้ว่าต้องแจกให้ได้เกิน 1500 ใบ / วัน ...อ่านไม่ผิดครับ ผมไม่ได้ใส่เลข 0 เกินไปด้วย วันหนึ่งวันที่ไปทำงานเราต้องพยายามหรือทำให้ได้เกินมากกว่า 1500 ใบต่อวัน ซึ่งไอ้การจะแจกขยะในสายตาคนอื่นให้เขารับไปเนี้ย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
และส่วนมากผมมักจะได้เจ้าที่เป็นบัตรเครดิตสองพยางค์เจ้าหนึ่ง หน้าที่ของผมอีกอย่างคือการแม็กกระดาษสีขาวเล็กๆติดกับแผ่นหน้าสุดของใบปลิวครับ สาเหตุคือแต่ล่ะสาขาก็จะมีชื่อตัวแทนสาขา ตัวแทนติดต่อไม่เหมือนกัน เราก็ต้องมานั่งไล่แม็กกันแบบนี้ล่ะครับก่อนจะเอาไปแจกได้ ต้องให้คอนแท็กกับลูกค้าไว้ติดต่อกับเอเจนฯ
ผมเคยถามพี่เขาเหมือนกันนะ ว่าถ้าลูกค้ารับใบปลิวจากเราแล้วเดินไปประมาณสองก้าวถ้าเกิดเขาเอาทิ้งลงถังขยะ แบบนั้นจะมีใครว่าเราไหม พี่ท่านหนึ่งเคยให้คำตอบว่า
“ไม่ว่าอะไร หน้าที่ของเธอมีแค่แจกใบปลิวให้ลูกค้ารับ ‘ถึงมือ’ นอกเหนือจากนั้น เขาจะเอาไปทำอะไรหรือปาทิ้งที่ไหน นั้นนอกเหนือจากหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ”
ก็ดูแฟร์ดีไปอีกแบบแหะ...
- เรื่องราวที่เจอในระหว่างการทำงาน
วันแรกที่ผมไปแจก หลงทางครับ ผมหอผมอยู่แถวบางซื่อแต่สถานทีๆผมต้องไปแจกนี้ต้องนั่งรถประมาณเกือบสองชั่วโมงอ่ะ จำได้ว่าช่วงนั้นผมกับเบอร์ถามสายรถเมล์แถบจะกลายเป็นคนรู้จักกัน ถ้าไม่มีพี่ๆคอยบอกทางรับรองว่าคนที่เดินหลงทางในพารากอนแบบผมไม่มีทางไปถึงที่ทำงานแน่นอน ฮ่า
ผมเริ่มทำงานตั้งแต่ 10.00 นาฬิกา ตามเวลาห้างเปิด ยาวจนถึง 17.00 นาฬิกา ผมแจกได้ไม่ถึงพันใบครับ เป็นครั้งแรกที่เราซีเรียสมากเพราะทำงานได้ไม่ตรงตามเป้าที่เขาตั้งไว้ ก็คุยกับพี่เขาว่าเออ พรุ่งนี้เราจะพยายามแจกในส่วนของวันนี้ให้หมดด้วยนะ จริงๆพี่เขาไม่ได้ตำหนิเราหรอก เพียงแต่ผมจะเป็นคนสไตล์ประมาณนี้มากกว่า คือรู้สึกว่าถ้าทำงานไม่ได้ตามเป้าที่เราวางไว้แล้วมันจะรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ
ผมกลับไปทำการบ้านว่าวันนี้เราทำอะไรพลาดไป ทำไมถึงไม่ค่อยมีคนรับใบปลิวเราเลย เลยรู้สึกว่า เห้ยย เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่นะ เราต้องมองในมุมผู้บริโภค ผู้รับสารสิ ว่าเด็กแจกใบปลิวแบบไหนวะที่เราไม่อยากจะรับกระดาษจากมัน และเด็กแจกใบปลิวแบบไหนที่ต่อให้เรารู้ว่าเราไม่รับบัตรเครดิตหรือเรามีบัตรอยู่แล้ว แต่เราก็ยังอยากรับกระดาษที่เรามองว่าเป็นขยะไปอยู่
วันต่อมา ผมพยายามปรับเปลี่ยนวิธีการแจกใหม่ จากไปดักรอที่หน้าประตูทางเข้าออก ผมก็ขยับตัวออกมาอีกนิดให้มีพื้นที่เดินผ่าน ช่วงแรกๆผมยอมรับครับ ผมอาย ผมไม่กล้าส่งเสียงแบบ “พี่ครับ รบกวนรับใบปลิวหน่อยนะครับ” อะไรแบบนี้ แต่หลังๆมาความอยากเอาชนะมีมากกว่าความอาย คือมันอายจริงๆนะเวลามีคนมอง แต่ในเมื่อมันคืองาน เราก็ต้องเดอะโชว์มัสโกออน
“สวัสดีครับ ข้อมูลบัตรสินเชื่อ xxx ลองรับไปดูก่อนได้นะครับ ขอบคุณครับ”
กระชับ นุ่มนวล สุภาพ และ น่าสนใจ ผมพยายามทำให้ได้ตามที่ตัวเองตั้งเป้าไว้
สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือการดึงความสนใจจากคนที่เขาเดินผ่านไปผ่านมาให้ช่วยรับใบปลิวจากเรา จะด้วยอะไรหลายๆอย่างก็ดี หรือวันนั้นเป็นวันเฮงของผมก็เป็นได้ ผมแจกใบปลิวที่เหลือจากเมื่อวาน รวมถึงของวันนี้ได้หมดเกลี้ยงก่อนครึ่งวันตอนเช้า (สถิติที่ยังไม่ถูกเท่าลายแม้กระทั้งปัจจุบันนี้ก็ยังทำแบบนั้นไม่ได้อีกเลย)
แต่เพราะมีการฟิกเวลาไว้แล้วว่าจะสามารถกลับบ้านได้ตอนกี่โมง ผมเลยถือโอกาสแถมโบนัสซะเลย (ติดลม) ผมกลับไปขนใบปลิวจากในสต็อกแจกมาแจกซะหมดเกลี้ยงก่อนจะเดินกลับไปหาพี่เขา
“ใบปลิวในกล่องหายไปไหนหมดอ่ะหนู” พี่เขาถาม
“อ้อ ผมแจกของเมื่อวานกับวันนี้หมดแล้ว เลยเอาไปแจกเพิ่มอ่ะครับพี่ หมดเกลี้ยงเลยครับ” ผมยิ้มตอบ คิดในใจ เป็นไงล่ะเห็นฝีมือผมยัง
...แต่ปรากฏว่าผลมันตรงข้ามกับที่ผมคิดไว้
“เราแน่ใจนะว่าเราไม่ได้เอาไปทิ้งที่ไหน” เสียงเข้ม
ผมเริ่มหน้าเสียแล้วครับตอนนั้น จำได้ว่าใจแป๋วมาก นี่กูทำอะไรผิดพลาดลงไปแล้วสินะ
“แจกหมดแล้วครับ แจกหมดแล้วจริงๆไม่ได้เอาไปทิ้งไหนเลย ถ้าไม่เชื่อพี่ลองไปเปิดกล้องดูก็ได้ครับ”
ไอ้ความที่เราไม่ได้โกหกอ่ะเนาะ เราก็คิดว่าเออ นี้ล่ะการยืนยันของเรา ข้องใจมากก็ให้กล้องช่วยตอบแทนเลย ตอนนั้นความรู้สึกเรามันตีกันไปหมด มันทั้งรู้สึกแย่ รู้สึกโกรธ และรู้สึกว่าโง่ที่พยายามทำอะไรแบบนั้น
ผมไม่คิดเลยครับว่ามันจะซีเรียสมากถึงขนาดนั้น กับการที่ผมสามารถแจกใบปลิวสามพันกว่าใบหมดได้ภายในเวลาค่อนวัน
พอยืนยันไปแบบนั้นพี่เขาก็ดูจะเชื่อเรามากขึ้น ก่อนเขาจะอธิบายเหตุผลให้เราฟัง
“มันเคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น เด็กแจกใบปลิวแจ้งว่าแจกหมดแล้ว แต่พอไปค้นกลับเจอในถังขยะเป็นปึ้งๆ แล้วทางข้างบน(หัวหน้าของพี่เขา)ซีเรียสกับเรื่องนี้ พี่เลยซีเรียสไปด้วย” เขาบอก
พี่เขาไม่ได้ขอโทษผมนะ แต่พอสงบสติอารมณ์ได้กลับไปอ่านเรื่องนี้อีกรอบตอนที่เราเขียน เราก็ต้องยอมเข้าใจเขานะว่าเขามีสิทธิ์ที่จะคิดหรือสงสัยแบบนั้น
- ผลตอบแทน
ผมบังเอิญได้กลับไปแจกใบปลิวที่นี้อีกครั้งในอีกสองสัปดาห์ต่อมา วีคนี้คือพี่เขาดูเตรียมพิสูจน์มากว่าที่ผมพูดมันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม อาจจะเป็นโชคดีของผมด้วยก็ได้ที่วันนั้นคนยังคงมาห้างเสมือนมีของแจกฟรี ผมแจกใบปลิวได้จริงๆแบบที่พี่เขาเห็นกับตาตัวเอง ปกติเวลาทำงานมันจะต้องมีการถ่ายรูปตอนแจกอยู่แล้วนะครับ
ผมได้รับคำ “ขอโทษ” โดยไม่ต้องเอ่ยปากอะไร นั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับผมนะ
บางครั้ง ....คำพูดหรือเหตุการณ์บางอย่าง มันสามารถฝั่งเราได้จริงๆครับ นั้นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องคิดทุกครั้งก่อนจะพูดอะไรสักอย่างออกไป เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าก้อนหินที่เราโยนลงไปในสระเล็กๆนั้นมันจะ deep ได้ถึงขนาดไหน มันจะส่งผลอย่างไรต่อคนๆหนึ่ง
ผมรู้สึกว่าผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง มันเป็นผลตอบแทนที่อาจจับต้องไม่ได้แต่ผมรู้สึกว่ามันมีแวลูในตัวมันเอง
แต่ที่จับต้องได้ก็มีนะ .....
“เออ ปกติแล้วนอกจากงานแจกใบปลิวแล้วเราทำงานอะไรอีกไหม?” พี่เขาถามหลังจากผ่านเหตการณ์ด้านบนมาสักพัก
“จริงๆก็เคยโบกธงครับ แต่มีงานอะไรให้ทำก็ทำอ่ะ จะไปขายไตแล้วพี่//หัวเราะ”
“เราสนใจใส่มาสคอตไหม? เงินดีนะแต่งานหนัก”
“ลองดูก็ได้ครับ” พูดไปโดยที่ตอนนั้นก็ยังงงๆว่ามาสคอตนี้มันงานอะไร(วะ)? คือไม่รู้หรอก แต่งานอ่ะเนาะ อะไรทำได้ก็ทำไปก่อน
- ความคุ้มค่าในการทำงาน
ก็อย่างที่บอกครับ ผมเลือกงานนี้เพราะไม่ต้องการเผชิญหน้ากับแดด แม้ราคาจะสนนตกที่ 400/ วัน แต่ก็ไม่โดนหักภาษี บวกลบคูณหารค่ารถแล้วผมพอมีเหลือเก็บเหมือนกันครับ และสิ่งที่ได้มาอีกอย่างคือเรื่องที่ผมเจอครับ
เรื่องที่ผมเจอนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้ผมบอกตัวเองได้หนึ่งอย่าง คือผมจะไม่ทำงานแบบเป็นประวัติเสีย ๆ หรือกลายเป็นเคสแย่ ๆ ให้ใครเอาไปคอมแพรได้อีก จะไม่ทำให้คนอื่นมาเดือนร้อนกับการกระทำของเราทั้งๆที่เขาไม่มีส่วนผิดอะไรด้วยเลย (เช่นผมที่โดนเฉย เพราะเพียงแค่มีใครบางคนเคยทำเรื่องแย่ๆแบบนั้นเอาไว้)
การทำงานจริงๆ ช่วยขัดเกลาอะไรให้ผมได้อีกเยอะเลยจริงๆ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- คุณสมบัติของผู้สมัครงาน
ข้อนี้ age และเพศไม่ฟิกอีกเช่นกันครับ แต่ส่วนมากเขาอยากจะได้ผู้หญิงไปแจกมากกว่า ด้วยเหตุผลที่ว่า “ผู้หญิงน่าจำแจกใบปลิวง่ายกว่าผู้ชาย” เอาเป็นว่าผมจับผลัดจับพลูเข้าไปทำแล้วผลงานมันดี เลยมีเจ้าประจำที่จ้างกันต่อเรื่อยๆ อารมณ์ยืนงานยาวๆไปได้เกือบเดือนหรือสองเดือนเลยครับ (นั้นทำให้ผมรู้สึกว่าเออ กูควรตั้งใจทำทุกๆงานให้ออกมาดีนะ เพื่ออะไรแบบนี้ล่ะครับ)
- สถานที่ปฏิบัติงาน
ส่วนมากผมมักจะดวงดี (?) ได้แจกตามห้างครับ ข้อดีอย่างหนึ่งคืออากาศครับ ไงๆก็ดีกว่ายืนตากแดดแน่ๆ และเช่นเคย เมื่อมีด้านดีๆแล้วมันก็ต้องมีด้านไม่ดีตามมาด้วยเช่นกันเพราะห้างสรรพสินค้าในวันเสาร์อาทิตย์นี้ยังกะมีของฟรีแจก คนเยอะมากกกก มากจนเกิดเหตุการณ์หลายๆอย่างตามมาเลยล่ะครับ....
- รูปแบบและลักษณะงานที่ทำพร้อมเงื่อนไขต่างๆ
ยูนิฟอร์มแบบเดียวกับชุดโบกธงครับ นี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผมเลือกงานแจกใบปลิวด้วยเช่นกัน เพราะมันไม่ต้องเสียค่าอะไรเพิ่มอีกนอกจากค่าเดินทางกับค่ากิน
ปกติแล้วไม่ว่าจะเจ้าไหนก็มักจะมีข้อบังคับไว้ว่าต้องแจกให้ได้เกิน 1500 ใบ / วัน ...อ่านไม่ผิดครับ ผมไม่ได้ใส่เลข 0 เกินไปด้วย วันหนึ่งวันที่ไปทำงานเราต้องพยายามหรือทำให้ได้เกินมากกว่า 1500 ใบต่อวัน ซึ่งไอ้การจะแจกขยะในสายตาคนอื่นให้เขารับไปเนี้ย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
และส่วนมากผมมักจะได้เจ้าที่เป็นบัตรเครดิตสองพยางค์เจ้าหนึ่ง หน้าที่ของผมอีกอย่างคือการแม็กกระดาษสีขาวเล็กๆติดกับแผ่นหน้าสุดของใบปลิวครับ สาเหตุคือแต่ล่ะสาขาก็จะมีชื่อตัวแทนสาขา ตัวแทนติดต่อไม่เหมือนกัน เราก็ต้องมานั่งไล่แม็กกันแบบนี้ล่ะครับก่อนจะเอาไปแจกได้ ต้องให้คอนแท็กกับลูกค้าไว้ติดต่อกับเอเจนฯ
ผมเคยถามพี่เขาเหมือนกันนะ ว่าถ้าลูกค้ารับใบปลิวจากเราแล้วเดินไปประมาณสองก้าวถ้าเกิดเขาเอาทิ้งลงถังขยะ แบบนั้นจะมีใครว่าเราไหม พี่ท่านหนึ่งเคยให้คำตอบว่า
“ไม่ว่าอะไร หน้าที่ของเธอมีแค่แจกใบปลิวให้ลูกค้ารับ ‘ถึงมือ’ นอกเหนือจากนั้น เขาจะเอาไปทำอะไรหรือปาทิ้งที่ไหน นั้นนอกเหนือจากหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ”
ก็ดูแฟร์ดีไปอีกแบบแหะ...
- เรื่องราวที่เจอในระหว่างการทำงาน
วันแรกที่ผมไปแจก หลงทางครับ ผมหอผมอยู่แถวบางซื่อแต่สถานทีๆผมต้องไปแจกนี้ต้องนั่งรถประมาณเกือบสองชั่วโมงอ่ะ จำได้ว่าช่วงนั้นผมกับเบอร์ถามสายรถเมล์แถบจะกลายเป็นคนรู้จักกัน ถ้าไม่มีพี่ๆคอยบอกทางรับรองว่าคนที่เดินหลงทางในพารากอนแบบผมไม่มีทางไปถึงที่ทำงานแน่นอน ฮ่า
ผมเริ่มทำงานตั้งแต่ 10.00 นาฬิกา ตามเวลาห้างเปิด ยาวจนถึง 17.00 นาฬิกา ผมแจกได้ไม่ถึงพันใบครับ เป็นครั้งแรกที่เราซีเรียสมากเพราะทำงานได้ไม่ตรงตามเป้าที่เขาตั้งไว้ ก็คุยกับพี่เขาว่าเออ พรุ่งนี้เราจะพยายามแจกในส่วนของวันนี้ให้หมดด้วยนะ จริงๆพี่เขาไม่ได้ตำหนิเราหรอก เพียงแต่ผมจะเป็นคนสไตล์ประมาณนี้มากกว่า คือรู้สึกว่าถ้าทำงานไม่ได้ตามเป้าที่เราวางไว้แล้วมันจะรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ
ผมกลับไปทำการบ้านว่าวันนี้เราทำอะไรพลาดไป ทำไมถึงไม่ค่อยมีคนรับใบปลิวเราเลย เลยรู้สึกว่า เห้ยย เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่นะ เราต้องมองในมุมผู้บริโภค ผู้รับสารสิ ว่าเด็กแจกใบปลิวแบบไหนวะที่เราไม่อยากจะรับกระดาษจากมัน และเด็กแจกใบปลิวแบบไหนที่ต่อให้เรารู้ว่าเราไม่รับบัตรเครดิตหรือเรามีบัตรอยู่แล้ว แต่เราก็ยังอยากรับกระดาษที่เรามองว่าเป็นขยะไปอยู่
วันต่อมา ผมพยายามปรับเปลี่ยนวิธีการแจกใหม่ จากไปดักรอที่หน้าประตูทางเข้าออก ผมก็ขยับตัวออกมาอีกนิดให้มีพื้นที่เดินผ่าน ช่วงแรกๆผมยอมรับครับ ผมอาย ผมไม่กล้าส่งเสียงแบบ “พี่ครับ รบกวนรับใบปลิวหน่อยนะครับ” อะไรแบบนี้ แต่หลังๆมาความอยากเอาชนะมีมากกว่าความอาย คือมันอายจริงๆนะเวลามีคนมอง แต่ในเมื่อมันคืองาน เราก็ต้องเดอะโชว์มัสโกออน
“สวัสดีครับ ข้อมูลบัตรสินเชื่อ xxx ลองรับไปดูก่อนได้นะครับ ขอบคุณครับ”
กระชับ นุ่มนวล สุภาพ และ น่าสนใจ ผมพยายามทำให้ได้ตามที่ตัวเองตั้งเป้าไว้
สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือการดึงความสนใจจากคนที่เขาเดินผ่านไปผ่านมาให้ช่วยรับใบปลิวจากเรา จะด้วยอะไรหลายๆอย่างก็ดี หรือวันนั้นเป็นวันเฮงของผมก็เป็นได้ ผมแจกใบปลิวที่เหลือจากเมื่อวาน รวมถึงของวันนี้ได้หมดเกลี้ยงก่อนครึ่งวันตอนเช้า (สถิติที่ยังไม่ถูกเท่าลายแม้กระทั้งปัจจุบันนี้ก็ยังทำแบบนั้นไม่ได้อีกเลย)
แต่เพราะมีการฟิกเวลาไว้แล้วว่าจะสามารถกลับบ้านได้ตอนกี่โมง ผมเลยถือโอกาสแถมโบนัสซะเลย (ติดลม) ผมกลับไปขนใบปลิวจากในสต็อกแจกมาแจกซะหมดเกลี้ยงก่อนจะเดินกลับไปหาพี่เขา
“ใบปลิวในกล่องหายไปไหนหมดอ่ะหนู” พี่เขาถาม
“อ้อ ผมแจกของเมื่อวานกับวันนี้หมดแล้ว เลยเอาไปแจกเพิ่มอ่ะครับพี่ หมดเกลี้ยงเลยครับ” ผมยิ้มตอบ คิดในใจ เป็นไงล่ะเห็นฝีมือผมยัง
...แต่ปรากฏว่าผลมันตรงข้ามกับที่ผมคิดไว้
“เราแน่ใจนะว่าเราไม่ได้เอาไปทิ้งที่ไหน” เสียงเข้ม
ผมเริ่มหน้าเสียแล้วครับตอนนั้น จำได้ว่าใจแป๋วมาก นี่กูทำอะไรผิดพลาดลงไปแล้วสินะ
“แจกหมดแล้วครับ แจกหมดแล้วจริงๆไม่ได้เอาไปทิ้งไหนเลย ถ้าไม่เชื่อพี่ลองไปเปิดกล้องดูก็ได้ครับ”
ไอ้ความที่เราไม่ได้โกหกอ่ะเนาะ เราก็คิดว่าเออ นี้ล่ะการยืนยันของเรา ข้องใจมากก็ให้กล้องช่วยตอบแทนเลย ตอนนั้นความรู้สึกเรามันตีกันไปหมด มันทั้งรู้สึกแย่ รู้สึกโกรธ และรู้สึกว่าโง่ที่พยายามทำอะไรแบบนั้น
ผมไม่คิดเลยครับว่ามันจะซีเรียสมากถึงขนาดนั้น กับการที่ผมสามารถแจกใบปลิวสามพันกว่าใบหมดได้ภายในเวลาค่อนวัน
พอยืนยันไปแบบนั้นพี่เขาก็ดูจะเชื่อเรามากขึ้น ก่อนเขาจะอธิบายเหตุผลให้เราฟัง
“มันเคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น เด็กแจกใบปลิวแจ้งว่าแจกหมดแล้ว แต่พอไปค้นกลับเจอในถังขยะเป็นปึ้งๆ แล้วทางข้างบน(หัวหน้าของพี่เขา)ซีเรียสกับเรื่องนี้ พี่เลยซีเรียสไปด้วย” เขาบอก
พี่เขาไม่ได้ขอโทษผมนะ แต่พอสงบสติอารมณ์ได้กลับไปอ่านเรื่องนี้อีกรอบตอนที่เราเขียน เราก็ต้องยอมเข้าใจเขานะว่าเขามีสิทธิ์ที่จะคิดหรือสงสัยแบบนั้น
- ผลตอบแทน
ผมบังเอิญได้กลับไปแจกใบปลิวที่นี้อีกครั้งในอีกสองสัปดาห์ต่อมา วีคนี้คือพี่เขาดูเตรียมพิสูจน์มากว่าที่ผมพูดมันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม อาจจะเป็นโชคดีของผมด้วยก็ได้ที่วันนั้นคนยังคงมาห้างเสมือนมีของแจกฟรี ผมแจกใบปลิวได้จริงๆแบบที่พี่เขาเห็นกับตาตัวเอง ปกติเวลาทำงานมันจะต้องมีการถ่ายรูปตอนแจกอยู่แล้วนะครับ
ผมได้รับคำ “ขอโทษ” โดยไม่ต้องเอ่ยปากอะไร นั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับผมนะ
บางครั้ง ....คำพูดหรือเหตุการณ์บางอย่าง มันสามารถฝั่งเราได้จริงๆครับ นั้นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องคิดทุกครั้งก่อนจะพูดอะไรสักอย่างออกไป เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าก้อนหินที่เราโยนลงไปในสระเล็กๆนั้นมันจะ deep ได้ถึงขนาดไหน มันจะส่งผลอย่างไรต่อคนๆหนึ่ง
ผมรู้สึกว่าผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง มันเป็นผลตอบแทนที่อาจจับต้องไม่ได้แต่ผมรู้สึกว่ามันมีแวลูในตัวมันเอง
แต่ที่จับต้องได้ก็มีนะ .....
“เออ ปกติแล้วนอกจากงานแจกใบปลิวแล้วเราทำงานอะไรอีกไหม?” พี่เขาถามหลังจากผ่านเหตการณ์ด้านบนมาสักพัก
“จริงๆก็เคยโบกธงครับ แต่มีงานอะไรให้ทำก็ทำอ่ะ จะไปขายไตแล้วพี่//หัวเราะ”
“เราสนใจใส่มาสคอตไหม? เงินดีนะแต่งานหนัก”
“ลองดูก็ได้ครับ” พูดไปโดยที่ตอนนั้นก็ยังงงๆว่ามาสคอตนี้มันงานอะไร(วะ)? คือไม่รู้หรอก แต่งานอ่ะเนาะ อะไรทำได้ก็ทำไปก่อน
- ความคุ้มค่าในการทำงาน
ก็อย่างที่บอกครับ ผมเลือกงานนี้เพราะไม่ต้องการเผชิญหน้ากับแดด แม้ราคาจะสนนตกที่ 400/ วัน แต่ก็ไม่โดนหักภาษี บวกลบคูณหารค่ารถแล้วผมพอมีเหลือเก็บเหมือนกันครับ และสิ่งที่ได้มาอีกอย่างคือเรื่องที่ผมเจอครับ
เรื่องที่ผมเจอนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้ผมบอกตัวเองได้หนึ่งอย่าง คือผมจะไม่ทำงานแบบเป็นประวัติเสีย ๆ หรือกลายเป็นเคสแย่ ๆ ให้ใครเอาไปคอมแพรได้อีก จะไม่ทำให้คนอื่นมาเดือนร้อนกับการกระทำของเราทั้งๆที่เขาไม่มีส่วนผิดอะไรด้วยเลย (เช่นผมที่โดนเฉย เพราะเพียงแค่มีใครบางคนเคยทำเรื่องแย่ๆแบบนั้นเอาไว้)
การทำงานจริงๆ ช่วยขัดเกลาอะไรให้ผมได้อีกเยอะเลยจริงๆ...
ความคิดเห็นที่ 7
เจ้าหน้าที่นิติบุคคลของคอนโดแห่งหนึ่ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- คุณสมบัติของผู้สมัครงาน
ข้อนี้แอบกังวลนิดๆเพราะเรายังเป็นเด็กที่ยังเรียนไม่จบ แต่ในเมื่อมีโอกาสก็ลองดู ผมไปสัมภาษณ์งานพร้อมวุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลาย พี่ที่สัมภาษณ์ผมเป็นหัวหน้าคณะกรรมการของตึก ก.ไก่ คือ ดุมาก เป๊ะปาก คิดภาพผู้หญิงเลยวัยกลางคนลุคแบบพาวเวอร์วูเมนอะไรเทือกๆนั้นอ่ะครับ แกก็สัมภาษณ์ผมว่าจะทำได้ไหม ไหวรึเปล่า มันเป็นงานเอกสารนะ และถ้าทำทำเมื่อไหร่ จัดเวลายังไง วางแผนชีวิตไว้แบบไหน
แล้วก็ งานนี้ต้องมีคน ‘ประกัน’ ครับ เพราะผมต้องถือเงินส่วนกลางของคอนโดด้วย ตรงนี้ต้องกราบขอขอบพระคุณคนค้ำประกันของผมมากๆครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รวมๆแล้วสามผ่านครับ ผมได้ทำงานนี้จริงๆด้วย ///เอาจริงตัวเองยังตกใจเลยเหอะ
- สถานที่ปฏิบัติงาน
คอนโดแนวรถไฟฟ้าแห่งหนึ่ง ขึ้นจากสถานีแล้วสามารถเดินเข้าไปถึงคอนโดได้ ร้อนหน่อย แต่ถ้าเย็นๆก็เดินชิลเลย คนพลุพล่านมากสมกับเป็นสถานีนี้จริงๆ
- รูปแบบและลักษณะงานที่ทำพร้อมเงื่อนไขต่างๆ
เป็นงานจ้าง ‘กึ่ง’ ประจำ หนึ่งสัปดาห์ต้องเข้ามาทำงานให้ครบ 24 ชมตามข้อลงตกที่คุยกันไว้ นั้นหมายความว่าผมสามารถจัดเวลางานให้สอดคล้องกับเวลาเรียนได้ Ooh god นี้มันยอดมากเลยนะ เท่ากับว่าหนึ่งสัปดาห์ผมต้องเข้ามาทำงานสามวันครับ ฟิกว่าต้องเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์วันใดวันหนึ่งด้วย เพื่อให้ลูกบ้านสามารถลงมาแจ้งสารพัดเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ ผมก็จัดตารางให้สอดคล้องกับวันที่ตัวเองไม่มีเรียนไป
หน้าที่อย่างแรกของผมคือการทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตึก ก และตึก ข ครับ
ทำไมมีตึก ก ตึก ข มันเกิดจากอะไร? ทำไมไม่นับรวมเป็นหนึ่งไปเลยทั้งๆที่เป็นโครงการเดียวกัน
เรื่องของเรื่องคือ ตอนแรกเจ้าของสัญญาสร้างคอนโดขึ้นมาโดดแต่ตึกเดียวครับ แล้วไปๆมาๆ เอ้า คนเยอะเฉยทำไงดีๆ อยู่ดีๆกูก็เปรี้ยวใจ ไหนๆก็มีคนมาเยอะแล้วสร้างเพิ่มดีกว่า แต่สร้างเพิ่มแล้วดันจดทะเบียนเดียวกันไม่ได้ ต้องจดเลขแยกออกมาอีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่า ตึก ก และ ตึก ข เจ้าของคนเดียวกัน แต่เลขทะเบียนจด เลขทะเบียนน้ำไฟคนล่ะเลขกัน ทำให้เวลาทำบัญชีก็ต้องทำสองรอบครับ ทั้งของทั้งสองฝั่ง
และความซากอ้อยของมันยังไม่จบเพียงเท่านั้น เนื่องจากมีนิติบุคคลที่เป็นคนกลางทำงานคนเดียว เพราะงั้นเวลามีค่าใช้จ่ายอะไรที่เป็นส่วนรวมจะมีการหารกันเกิดขึ้นครับ และหารแบ่งกันตามพื้นที่ ซึ่งพื้นที่ของตึก ก ดันมากกว่าตึก ข ประมาณ 5 % ทำให้เวลาหารค่าใช้จ่ายจะไม่ใช่ 50/50 แต่เป็น 55/45 เอาซี้ ซากอ้อยไปอีกระดับอ่ะครับ ทำบัญชีไปตั้งสติไป
ผมต้องรอบิลแจ้งค่าใช้จ่ายต่างๆที่เป็นบิลๆเนี้ยแหละครับมา ถ่ายเอกสารแล้วทำแพลตฟอร์มของนิติบุคคลขึ้นมา ทำแบบนี้จนกว่าค่าใช้จ่ายทั้งเดือนจะสิ้นสุดลง
หน้าที่ของนิติบุคคลอีกอย่างคือการหารายได้ครับ รายได้จากไหนล่ะ ?
‘ค่าปรับ’ ไงครับ
จ่ายค่าน้ำช้า ปรับวันล่ะ 5 บาทครับ ส่วนค่าไฟมิตเตอร์ใครมิตเตอร์มันอยู่แล้ว อันนั้นเป็นเรื่องของการไฟฟ้าเขาแล้วล่ะว่าจะทำยังไงต่อไป เรามีหน้าที่แค่ประชาสัมพันธ์ครับว่าใครที่เลยกำหนดจ่ายค่าไฟ และการไฟฟ้ากำลังจะมาตัดมิตเตอร์ไฟ นอกเหนือจากนั้นไม่ใช่หน้าที่ๆเราต้องไปรับผิดชอบครับ
นอกจากค่าปรับค่าน้ำแล้ว รายได้น้ำเลี้ยงหลักของผมมาจากค่าปรับสติกเกอร์ที่จอดรถครับ
เรื่องของเรื่องคือไอ้เจ้าคอนโดเนี้ย จุดประสงค์หลักตอนสร้างคือสร้างสำหรับชนชั้นกลางที่ไม่มีรถยนต์ใช้ และพึ่งพาการเดินทางในระบบรถไฟฟ้า เลยคิดว่าเออ กูไม่ต้องมีที่จอดรถมากนักก็ได้เว้ย
ใช่ครับ นั้นคือสิ่งที่คิด...กล้องสองครับ รบกวนตัดภาพไปที่ความเป็นจริงด้วย
ลูกบ้าน ‘เกือบ’ ทุกคนมีรถส่วนตัวใช้ ในขนาดที่พื้นที่คอนโดไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานจากทุกคน ดังนั้นแล้วจึงจำเป็นต้องมีคนที่ไม่สามารถให้บริการได้ (เพราะที่มีอยู่ก็จะไม่พอแล้วก๊า) สติกเกอร์อนุญาตให้จอดรถยนต์จึงถือกำเนิดมาเพื่อทำหน้าที่เป็นยันต์กันผี ห้ามรถนอกเข้ามาจอด ห้ามรถที่ไม่มีสติกเกอร์จอด และค่าปรับสติกเกอร์สนนราคาที่ 100/ชิ้น คือมันจะมีกติกาของมันอ่ะครับ ว่าทำไมถึงปรับทำไมถึงไม่ปรับ
นอกจากค่าปรับแล้ว ค่าส่วนกลางเองก็เป็นรายได้หลักของนิติบุคคลครับ อย่างที่เรียนให้ทราบ นิติบุคคลไม่ได้มีเงินถุงเงินถังนะครับ เรียกได้ว่าเรามีเงินแค่เสมอตัวพอจ่ายเป็นเดือนๆไปจะง่ายกว่าครับ ดังนั้นแล้วนิติบุคคลจึงจำเป็นต้องตามทวงหนี้ให้ได้ครับ โทรไปไม่รับสายก็อาจจะต้องมีการไปเคาะประตูห้องกันบ้างอะไรบ้าง
อ้อ นอกจากตามล่าหาเงินแล้ว เรายังต้องไปเดินตรวจค่าน้ำ คอยจดค่าน้ำไปติด คอยรับของจากไปรษณีย์ว่ามีอะไรบ้าง ทำแบบฟอร์ม ตอบอีเมล์ต่างๆ
ทั้งหมดนั้นคือแพทเทิร์นงานคร่าวๆที่ผมได้ทำตลอดหนึ่งเดือนครับ
- เรื่องราวที่เจอในระหว่างการทำงาน
ลูกบ้าน ....นับว่าเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้งานของผมสามารถราบรื่นได้และล้มเหลวได้
มีครั้งหนึ่งลูกบ้านเสนอมาว่าต้องการอินเตอร์เนตแบบไฟเบอร์เข้ามาติดตั้งในตัวอาคาร ผมจึงทำการติดต่อไปที่เครื่อข่ายอินเตอร์เนทเจ้าหนึ่ง แล้วพบว่านิติฯคนก่อนเคยยื่นข้อเสนอไปพร้อมขอ ‘ส่วนต่าง’ ในการทำสัญญา ทางเครือข่ายอินเตอร์เนทจึงไม่เหลียวแลเพราะเขาไม่มีนโยบายตรงนี้
ก็ถึงตาเราต้องไปแก้ต่างว่าเรามีการเปลี่ยนนิติบุคคลแล้ว ไม่มีข้อเรียกร้องหาประโยชน์เข้าหาตัวซากอ้อยแบบนั้นอีก มีการเตรียมการให้พร้อมแล้ว ทางนั้นก็โยนข้อเสนอกลับมาว่าต้องมีแบบฟอร์มสำรวจความคิดเห็นลูกบ้านไปนำเสนอ ซึ่งก็นิติบุคคลนั้นแหละที่เนรมิตมันขึ้นมา แล้วไล่สอดตามกล้องจดหมายของลูกบ้านทุกคน ผลลัพธ์คือ ...มีลูกบ้านไม่ถึงครึ่งครับที่ส่งแบบสอบถามกลับคืนมาให้ผม
แต่เอาเข้าจริงๆ ตลอดระยะเวลาการทำงาน ลูกบ้านของผมค่อนข้างน่ารักและมีน้ำใจมากครับ ผมเพิ่งมาอยู่ไม่นานก็มีขนมมาฝาก รู้สึกเลยว่าเขาแฮปปี้กับการที่เรามาทำงาน เราก็แฮปปี้กลับเลยแบบนั้น เป็นชั่วเวลาหนึ่งที่เราทั้งแฮปปี้ ทั้งเครียด ทั้งกดดัน เพราะเราไม่เคยทำงานตรงนี้มาก่อนเลย ผมคิดว่าเป็นที่แรกๆเลยที่ทำให้ไหวพริบผมพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น เพราะหัวหน้าผมไม่ได้ต้องการงานที่ดี
แต่ต้องการงานที่ดีที่สุด
- ผลตอบแทน
เข้าทำงานสามวัน/วีค คิดว่าราคาเท่าไหร่ที่ควรจะจ่ายครับ?
รวมแล้ว 1 เดือน ผมทำงานไปประมาณ 15 วันถ้วน ราคาเท่าไหร่กันที่เหมาะสมจะจ่ายผม?
8000 บาท คือราคาค่างวดที่ผมได้มาครับ ฮ่า สนนแล้วคิดกันแบบชั่วโมง ผมทำงานชั่วโมงล่ะเกือบ 70/ ชม. เลยนะเว้ย นี้เป็นรายได้ที่บอกตรงๆว่างามมากจริงๆ แม้จะแลกกับอะไรหลายๆอย่างไปก็ตามแต่
ผลตอบแทนอีกอย่างที่ผมได้มาคือไหวพริบครับ คือผมวัดมันออกมาให้เห็นไม่ได้หรอกแต่รู้สึกได้ว่าตัวเองละเอียดขึ้นนะ รู้สึกว่าเห็นอะไรอยู่ตรงหน้าแล้วไหวพริบมันวาบเข้ามาในหัว เห็นมิติที่มันกว้างมากขึ้น อดทนมากขึ้น ปกติผมเป็นคนที่จุดเดือดจะแปลกกว่าชาวบ้าน คือไม่ได้ขึ้นยากหรือลงง่าย แต่อยู่ที่ว่าโดนถูกจุดไหม ถ้าไม่ถูกแค่ไหนผมก็เฉยๆ แต่ถ้าโดนก็ขึ้นครับ จากการทำงานตรงนี้ ผมพยายามปรับจุดเดือดให้ปกติเหมือนชาวบ้านเขาขึ้นมานิดหน่อย
ทั้งหมดของพัฒนาการ ผมถือว่ามันเป็นผลตอบแทนได้หมดครับ
- ความคุ้มค่าในการทำงาน
คุ้มครับ เป็นอีกครั้งที่ช่วยยืนยันว่าผมยังคงมีความบกพร่อง ยังคงพัฒนาต่อได้ และยืนยันให้แน่ใจว่าผมแมร่งไม่ใช่คนที่จะสามารถทำงานประจำหรือทำงานออฟฟิศได้ ภาพมันชัดมากว่าผมเกลียดงานเอกสาร มันไม่ใช่แค่ไม่ถนัด แต่มันเป็นความรู้สึกว่าทำงานด้านนี้แล้วกูก้าวหน้าในทางสายนี้ไม่ได้แน่ๆ
ตัดปัญหาความลังเลใจของผมไปอีกครั้งหนึ่งสำหรับการเลือกคณะเพื่อประกอบอาชีพในอนาคต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- คุณสมบัติของผู้สมัครงาน
ข้อนี้แอบกังวลนิดๆเพราะเรายังเป็นเด็กที่ยังเรียนไม่จบ แต่ในเมื่อมีโอกาสก็ลองดู ผมไปสัมภาษณ์งานพร้อมวุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลาย พี่ที่สัมภาษณ์ผมเป็นหัวหน้าคณะกรรมการของตึก ก.ไก่ คือ ดุมาก เป๊ะปาก คิดภาพผู้หญิงเลยวัยกลางคนลุคแบบพาวเวอร์วูเมนอะไรเทือกๆนั้นอ่ะครับ แกก็สัมภาษณ์ผมว่าจะทำได้ไหม ไหวรึเปล่า มันเป็นงานเอกสารนะ และถ้าทำทำเมื่อไหร่ จัดเวลายังไง วางแผนชีวิตไว้แบบไหน
แล้วก็ งานนี้ต้องมีคน ‘ประกัน’ ครับ เพราะผมต้องถือเงินส่วนกลางของคอนโดด้วย ตรงนี้ต้องกราบขอขอบพระคุณคนค้ำประกันของผมมากๆครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รวมๆแล้วสามผ่านครับ ผมได้ทำงานนี้จริงๆด้วย ///เอาจริงตัวเองยังตกใจเลยเหอะ
- สถานที่ปฏิบัติงาน
คอนโดแนวรถไฟฟ้าแห่งหนึ่ง ขึ้นจากสถานีแล้วสามารถเดินเข้าไปถึงคอนโดได้ ร้อนหน่อย แต่ถ้าเย็นๆก็เดินชิลเลย คนพลุพล่านมากสมกับเป็นสถานีนี้จริงๆ
- รูปแบบและลักษณะงานที่ทำพร้อมเงื่อนไขต่างๆ
เป็นงานจ้าง ‘กึ่ง’ ประจำ หนึ่งสัปดาห์ต้องเข้ามาทำงานให้ครบ 24 ชมตามข้อลงตกที่คุยกันไว้ นั้นหมายความว่าผมสามารถจัดเวลางานให้สอดคล้องกับเวลาเรียนได้ Ooh god นี้มันยอดมากเลยนะ เท่ากับว่าหนึ่งสัปดาห์ผมต้องเข้ามาทำงานสามวันครับ ฟิกว่าต้องเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์วันใดวันหนึ่งด้วย เพื่อให้ลูกบ้านสามารถลงมาแจ้งสารพัดเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ ผมก็จัดตารางให้สอดคล้องกับวันที่ตัวเองไม่มีเรียนไป
หน้าที่อย่างแรกของผมคือการทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตึก ก และตึก ข ครับ
ทำไมมีตึก ก ตึก ข มันเกิดจากอะไร? ทำไมไม่นับรวมเป็นหนึ่งไปเลยทั้งๆที่เป็นโครงการเดียวกัน
เรื่องของเรื่องคือ ตอนแรกเจ้าของสัญญาสร้างคอนโดขึ้นมาโดดแต่ตึกเดียวครับ แล้วไปๆมาๆ เอ้า คนเยอะเฉยทำไงดีๆ อยู่ดีๆกูก็เปรี้ยวใจ ไหนๆก็มีคนมาเยอะแล้วสร้างเพิ่มดีกว่า แต่สร้างเพิ่มแล้วดันจดทะเบียนเดียวกันไม่ได้ ต้องจดเลขแยกออกมาอีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่า ตึก ก และ ตึก ข เจ้าของคนเดียวกัน แต่เลขทะเบียนจด เลขทะเบียนน้ำไฟคนล่ะเลขกัน ทำให้เวลาทำบัญชีก็ต้องทำสองรอบครับ ทั้งของทั้งสองฝั่ง
และความซากอ้อยของมันยังไม่จบเพียงเท่านั้น เนื่องจากมีนิติบุคคลที่เป็นคนกลางทำงานคนเดียว เพราะงั้นเวลามีค่าใช้จ่ายอะไรที่เป็นส่วนรวมจะมีการหารกันเกิดขึ้นครับ และหารแบ่งกันตามพื้นที่ ซึ่งพื้นที่ของตึก ก ดันมากกว่าตึก ข ประมาณ 5 % ทำให้เวลาหารค่าใช้จ่ายจะไม่ใช่ 50/50 แต่เป็น 55/45 เอาซี้ ซากอ้อยไปอีกระดับอ่ะครับ ทำบัญชีไปตั้งสติไป
ผมต้องรอบิลแจ้งค่าใช้จ่ายต่างๆที่เป็นบิลๆเนี้ยแหละครับมา ถ่ายเอกสารแล้วทำแพลตฟอร์มของนิติบุคคลขึ้นมา ทำแบบนี้จนกว่าค่าใช้จ่ายทั้งเดือนจะสิ้นสุดลง
หน้าที่ของนิติบุคคลอีกอย่างคือการหารายได้ครับ รายได้จากไหนล่ะ ?
‘ค่าปรับ’ ไงครับ
จ่ายค่าน้ำช้า ปรับวันล่ะ 5 บาทครับ ส่วนค่าไฟมิตเตอร์ใครมิตเตอร์มันอยู่แล้ว อันนั้นเป็นเรื่องของการไฟฟ้าเขาแล้วล่ะว่าจะทำยังไงต่อไป เรามีหน้าที่แค่ประชาสัมพันธ์ครับว่าใครที่เลยกำหนดจ่ายค่าไฟ และการไฟฟ้ากำลังจะมาตัดมิตเตอร์ไฟ นอกเหนือจากนั้นไม่ใช่หน้าที่ๆเราต้องไปรับผิดชอบครับ
นอกจากค่าปรับค่าน้ำแล้ว รายได้น้ำเลี้ยงหลักของผมมาจากค่าปรับสติกเกอร์ที่จอดรถครับ
เรื่องของเรื่องคือไอ้เจ้าคอนโดเนี้ย จุดประสงค์หลักตอนสร้างคือสร้างสำหรับชนชั้นกลางที่ไม่มีรถยนต์ใช้ และพึ่งพาการเดินทางในระบบรถไฟฟ้า เลยคิดว่าเออ กูไม่ต้องมีที่จอดรถมากนักก็ได้เว้ย
ใช่ครับ นั้นคือสิ่งที่คิด...กล้องสองครับ รบกวนตัดภาพไปที่ความเป็นจริงด้วย
ลูกบ้าน ‘เกือบ’ ทุกคนมีรถส่วนตัวใช้ ในขนาดที่พื้นที่คอนโดไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานจากทุกคน ดังนั้นแล้วจึงจำเป็นต้องมีคนที่ไม่สามารถให้บริการได้ (เพราะที่มีอยู่ก็จะไม่พอแล้วก๊า) สติกเกอร์อนุญาตให้จอดรถยนต์จึงถือกำเนิดมาเพื่อทำหน้าที่เป็นยันต์กันผี ห้ามรถนอกเข้ามาจอด ห้ามรถที่ไม่มีสติกเกอร์จอด และค่าปรับสติกเกอร์สนนราคาที่ 100/ชิ้น คือมันจะมีกติกาของมันอ่ะครับ ว่าทำไมถึงปรับทำไมถึงไม่ปรับ
นอกจากค่าปรับแล้ว ค่าส่วนกลางเองก็เป็นรายได้หลักของนิติบุคคลครับ อย่างที่เรียนให้ทราบ นิติบุคคลไม่ได้มีเงินถุงเงินถังนะครับ เรียกได้ว่าเรามีเงินแค่เสมอตัวพอจ่ายเป็นเดือนๆไปจะง่ายกว่าครับ ดังนั้นแล้วนิติบุคคลจึงจำเป็นต้องตามทวงหนี้ให้ได้ครับ โทรไปไม่รับสายก็อาจจะต้องมีการไปเคาะประตูห้องกันบ้างอะไรบ้าง
อ้อ นอกจากตามล่าหาเงินแล้ว เรายังต้องไปเดินตรวจค่าน้ำ คอยจดค่าน้ำไปติด คอยรับของจากไปรษณีย์ว่ามีอะไรบ้าง ทำแบบฟอร์ม ตอบอีเมล์ต่างๆ
ทั้งหมดนั้นคือแพทเทิร์นงานคร่าวๆที่ผมได้ทำตลอดหนึ่งเดือนครับ
- เรื่องราวที่เจอในระหว่างการทำงาน
ลูกบ้าน ....นับว่าเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้งานของผมสามารถราบรื่นได้และล้มเหลวได้
มีครั้งหนึ่งลูกบ้านเสนอมาว่าต้องการอินเตอร์เนตแบบไฟเบอร์เข้ามาติดตั้งในตัวอาคาร ผมจึงทำการติดต่อไปที่เครื่อข่ายอินเตอร์เนทเจ้าหนึ่ง แล้วพบว่านิติฯคนก่อนเคยยื่นข้อเสนอไปพร้อมขอ ‘ส่วนต่าง’ ในการทำสัญญา ทางเครือข่ายอินเตอร์เนทจึงไม่เหลียวแลเพราะเขาไม่มีนโยบายตรงนี้
ก็ถึงตาเราต้องไปแก้ต่างว่าเรามีการเปลี่ยนนิติบุคคลแล้ว ไม่มีข้อเรียกร้องหาประโยชน์เข้าหาตัวซากอ้อยแบบนั้นอีก มีการเตรียมการให้พร้อมแล้ว ทางนั้นก็โยนข้อเสนอกลับมาว่าต้องมีแบบฟอร์มสำรวจความคิดเห็นลูกบ้านไปนำเสนอ ซึ่งก็นิติบุคคลนั้นแหละที่เนรมิตมันขึ้นมา แล้วไล่สอดตามกล้องจดหมายของลูกบ้านทุกคน ผลลัพธ์คือ ...มีลูกบ้านไม่ถึงครึ่งครับที่ส่งแบบสอบถามกลับคืนมาให้ผม
แต่เอาเข้าจริงๆ ตลอดระยะเวลาการทำงาน ลูกบ้านของผมค่อนข้างน่ารักและมีน้ำใจมากครับ ผมเพิ่งมาอยู่ไม่นานก็มีขนมมาฝาก รู้สึกเลยว่าเขาแฮปปี้กับการที่เรามาทำงาน เราก็แฮปปี้กลับเลยแบบนั้น เป็นชั่วเวลาหนึ่งที่เราทั้งแฮปปี้ ทั้งเครียด ทั้งกดดัน เพราะเราไม่เคยทำงานตรงนี้มาก่อนเลย ผมคิดว่าเป็นที่แรกๆเลยที่ทำให้ไหวพริบผมพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น เพราะหัวหน้าผมไม่ได้ต้องการงานที่ดี
แต่ต้องการงานที่ดีที่สุด
- ผลตอบแทน
เข้าทำงานสามวัน/วีค คิดว่าราคาเท่าไหร่ที่ควรจะจ่ายครับ?
รวมแล้ว 1 เดือน ผมทำงานไปประมาณ 15 วันถ้วน ราคาเท่าไหร่กันที่เหมาะสมจะจ่ายผม?
8000 บาท คือราคาค่างวดที่ผมได้มาครับ ฮ่า สนนแล้วคิดกันแบบชั่วโมง ผมทำงานชั่วโมงล่ะเกือบ 70/ ชม. เลยนะเว้ย นี้เป็นรายได้ที่บอกตรงๆว่างามมากจริงๆ แม้จะแลกกับอะไรหลายๆอย่างไปก็ตามแต่
ผลตอบแทนอีกอย่างที่ผมได้มาคือไหวพริบครับ คือผมวัดมันออกมาให้เห็นไม่ได้หรอกแต่รู้สึกได้ว่าตัวเองละเอียดขึ้นนะ รู้สึกว่าเห็นอะไรอยู่ตรงหน้าแล้วไหวพริบมันวาบเข้ามาในหัว เห็นมิติที่มันกว้างมากขึ้น อดทนมากขึ้น ปกติผมเป็นคนที่จุดเดือดจะแปลกกว่าชาวบ้าน คือไม่ได้ขึ้นยากหรือลงง่าย แต่อยู่ที่ว่าโดนถูกจุดไหม ถ้าไม่ถูกแค่ไหนผมก็เฉยๆ แต่ถ้าโดนก็ขึ้นครับ จากการทำงานตรงนี้ ผมพยายามปรับจุดเดือดให้ปกติเหมือนชาวบ้านเขาขึ้นมานิดหน่อย
ทั้งหมดของพัฒนาการ ผมถือว่ามันเป็นผลตอบแทนได้หมดครับ
- ความคุ้มค่าในการทำงาน
คุ้มครับ เป็นอีกครั้งที่ช่วยยืนยันว่าผมยังคงมีความบกพร่อง ยังคงพัฒนาต่อได้ และยืนยันให้แน่ใจว่าผมแมร่งไม่ใช่คนที่จะสามารถทำงานประจำหรือทำงานออฟฟิศได้ ภาพมันชัดมากว่าผมเกลียดงานเอกสาร มันไม่ใช่แค่ไม่ถนัด แต่มันเป็นความรู้สึกว่าทำงานด้านนี้แล้วกูก้าวหน้าในทางสายนี้ไม่ได้แน่ๆ
ตัดปัญหาความลังเลใจของผมไปอีกครั้งหนึ่งสำหรับการเลือกคณะเพื่อประกอบอาชีพในอนาคต
แสดงความคิดเห็น
[รีวิว] งานทั้งหมดที่เคยทำมาทั้งP.T.และประจำ ประเทศไทยในสายตาเด็กยากไร้คนนึง และ เด็กรุ่นใหม่ไม่ทนงานจริงเหรอ?
สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่าเนื่องจากเราเคยทำมาหลายงาน หลายรูปแบบทั้งประจำและพาร์ทไทม์ ดังนั้นจะมีการแบ่งเนื้อหาออกเป็นหลายๆส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการอ่านกระทู้นะครับ และมันจะมีบางงานที่แบบเรียกว่าไงดีอ่ะ ? มันไม่ได้ทำแบบกิจจะลักษณะ เป็นงานจ็อบๆมากกว่า อันไหนเล่าได้ก็จะเล่านะครับ สรุปแล้ว กระทู้นี้จะเป็นการรีวิวพร้อมทั้งข้อคิดเห็นจากตัวเราเองทั้งมุมบวกและลบ
แบบฟอร์มที่เราใช้ในการเล่าครั้งนี้ เราจะเล่าแบบเป็นหัวข้อดังนี้นะครับ
- คุณสมบัติของผู้สมัครงาน
- สถานที่ปฏิบัติงาน
- รูปแบบและลักษณะงานที่ทำพร้อมเงื่อนไขต่างๆ
- เรื่องราวที่เจอในระหว่างการทำงาน
- ผลตอบแทน
- ความคุ้มค่าในการทำงาน
หลักๆจะใช้ฟอร์มประมาณนี้ แต่ถ้ามีเนื้อหาตรงไหนน่าสนใจเราจะใส่เพิ่มเข้ามานะครับ
เนื่องจากว่าจะมีเนื้อหาบางส่วนที่เป็นตัวเชื่อมกันและเนื้อเรื่องประกอบอรรถรสเพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปว่าเราไปโผล่ในงานนั้นๆได้ยังไง ทำแบบนั้นได้จากไหน อันไหนถ้าเราเห็นว่ามันอาจจะมีน้ำเยอะไป หรือไม่ตรงกับจุดประสงค์หลักของกระทู้ เราจะใส่สปอยไว้นะครับ จะได้ไม่ขัดอรรถรสของท่านที่ต้องการอ่านแต่เนื้อหาเพรียวๆ แบบนี้ถือว่าวิน-วินกันทั้งสองฝ่ายแล้วกันนะครับ
จากการลองยัดดูในหัวกระทู้แล้วเกินข้อกำหนดของพันทิป 1 หมื่นอักษรไปเยอะเลย
เราเลยขออนุญาตใส่งานล่ะหนึ่งช่องคอมเม้นท์เพื่อให้สะดวกต่อการอ่านและคอมเม้นท์นะครับ เพื่อใครมีข้อสงสัยอะไรจะได้ถาม-ตอบ ในนั้นได้เลย
หัวข้องานทั้งหมดที่เราเคยทำมา
- โบกธง and ถือป้าย
- แจกใบปลิว
- มาสคอต
- งานวิจัย
- สอนพิเศษเด็กประถมและมอต้น
- พนักงานร้านหนังสือสีแดง
- เจ้าหน้าที่นิติบุคคลของคอนโดแห่งหนึ่ง
- พนักงานร้านของหวาน
- พนักงานร้านอาหารญี่ปุ่นสามพยางค์
- พนักงานร้านสุกี้แต่ของที่ขายดีกลับเป็นเป็ด
- พนักงานร้านโชห่วย 24 ชม หมายเลข 7