คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
คดีไชยบูลย์ปี 2541 --- หลุดคดี ด้วยเหตุผลคือ ไชยบูลย์คืนที่ดินและทรัพย์สินที่ยักยอกแล้ว (ดื้อไม่ยอมคืนเป็นเวลา 7 ปี) และเพื่อความปรองดอง รายละเอียดมีดังนี้
หลังจากผู้เกี่ยวข้องพยายามให้พระธัมมชโยคืนที่ดินและเงินบริจาคแก่วัดพระธรรมกาย แต่ไม่สำเร็จ กรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม กล่าวโทษพระธัมมชโยในคดีอาญา มาตรา 147 และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ต่อมากองปราบปราม ได้นำกำลังคอมมานโดไปล้อมจับพระธัมมชโยที่วัดพระธรรมกาย แต่ก็มีบรรดาลูกศิษย์ รวมตัวกันเป็น “โล่มนุษย์” ออกมาป้องกันจนกองปราบปรามต้องถอยกลับ สุดท้าย รมว.ศึกษาธิการในขณะนั้น ต้องขอหารือกับสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม ซึ่งเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลางและเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งกำกับดูแลวัดพระธรรมกาย
จนกระทั่งสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม ต้องมีบัญชาเด็ดขาดว่า ถ้า “พระธัมมชโย” ไม่มามอบตัวต้องสึก ทำให้ “พระธัมมชโย” ยอมมามอบตัว แต่ก็มีเงื่อนไขกับพนักงานสอบสวนว่า มอบตัวแล้วต้องให้ประกันทันทีภายในวัดชนะสงคราม ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ต้องยอมตาม
ต่อมาอัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลในปีเดียวกัน แต่ขณะที่คดีดำเนินไปตั้งแต่ปี 2542 จนถึงเดือนสิงหาคม 2549 เกือบ 7 ปีเต็ม ซึ่งมีการสืบพยานไปแล้วกว่า 100 นัด เหลือเพียงการสืบพยานจำเลยอีก 2 นัด ก็จะเสร็จสิ้นการสืบพยานในชั้นศาล ปรากฏว่าได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อจู่ๆ พนักงานอัยการ ได้ขอถอนฟ้องจำเลย คือ พระธัมมชโย และนายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์คนสนิท ที่ร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกายจำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร และนำเงินอีกเกือบ 30 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินกว่า 900 ไร่ ใน ต.หนองพระ (จ.พิจิตร) และที่ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ให้นายถาวรเช่นกัน โดยอัยการได้ขอถอนฟ้องเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 ก่อนหน้าจะถึงวันที่ศาลนัดสืบพยานจำเลย 2 นัดสุดท้าย แค่ 2 วัน ซึ่งศาลอาญาได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้
ทั้งนี้ อัยการสูงสุด ให้เหตุผลในการขอถอนฟ้องว่า "บัดนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า พระธัมมชโยกับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของสงฆ์แล้ว ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนาทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐ และเอกชนจำนวนมาก ส่วนเรื่องทรัพย์สิน พระธัมมชโยกับพวกก็ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ทั้งที่ดินและเงินกว่า 959 ล้านบาท คืนแก่วัดพระธรรมกายแล้ว ดังนั้น การกระทำของพระธัมมชโยกับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ ครบถ้วนทุกประการแล้ว ประกอบกับขณะนี้บ้านเมือง ต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า จึงเห็นว่า หากดำเนินคดีพระธัมมชโยกับพวกต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร โดยเฉพาะพระภิกษุ สามเณร และประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ นอกจากนี้การดำเนินคดีต่อไปยังไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องพระธัมมชโยกับพวก
ผลจากการที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ถอนฟ้องพระธัมมชโยกับพวกในคดีดังกล่าว และศาลอาญาอนุญาตให้ถอนฟ้องได้ ยังส่งผลให้อีก 3 คดีที่เหลือที่พระธัมมชโยกับพวกถูกฟ้องฐานยักยอกทรัพย์ ซึ่งอัยการอยู่ระหว่างรอการสั่งคดี ต้องมีอันยุติและล้มเลิกไปด้วย โดยอ้างว่า เมื่ออัยการสูงสุดมีนโยบายให้ถอนฟ้อง พนักงานอัยการก็ต้องมีความเห็นให้ยุติการสั่งคดีทั้ง 3 คดีไว้ เนื่องจากการดำเนินคดีจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
สำหรับ 3 คดีดังกล่าว ได้แก่ ....
ทั้งนี้ ช่วงที่อัยการขอถอนฟ้องคดี เกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดยก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องคดีเพียงเดือนเศษ รัฐมนตรีมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงานระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี “ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ชุมนุมขับไล่ “รัฐบาลทักษิณ”
http://www.komchadluek.net/news/detail/228348
------------------
คดีฟอกเงิน รับของโจร - ก็ปฏิบัติต่อไชยบูลย์ด้วยความเคารพ ละมุนละม่อมราวกับไข่ในหิน
ลำดับเหตุการณ์ มีดังนี้
29 มี.ค.2559
ดีเอสไอออกหมายเรียกให้พระธัมมชโยมาให้มารับทราบข้อกล่าวหาในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร วันที่ 8 เม.ย.59
7 เม.ย.2559
ดีเอสไอมีมติให้เลื่อนวันรับทราบข้อกล่าวหาของพระธัมมชโยจากวันที่ 8 เม.ย.เป็น 25 เม.ย.59 หลังจากทนายวัดพระธรรมกายทำหนังสือขอเลื่อนโดยให้เหตุผลว่าพระธัมมชโยติดศาสนากิจหลายอย่าง
20 เม.ย.2559
นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความวัดพระธรรมกายส่งหนังสือถึงดีเอสไอขอเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหาของพระธัมมชโยจากวันที่ 25 เม.ย.เป็นปลายเดือนพฤษภาคม โดยอ้างว่าติดศาสนกิจ แต่ดีเอสไอมีมติว่าไม่มีเหตุอันควรให้เลื่อน
21 เม.ย.2559
พระธัมมชโยสนทนากับญาติโยมผ่านรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง DMC ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแจ้งดีเอสไอว่าอาพาธ

22 เม.ย.2559
วันเกิดพระธัมมชโยอายุครบ 72 ปี วัดพระธรรมกายจัดงาน "4 บิ๊กบุญ 22 เมษา วันคุ้มครองโลก 2559" มีการตักบาตรพระภิกษุ-สามเณร 100,000 รูป และสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร บูชาธรรม 72 ปี พระธัมมชโย
25 เม.ย.2559
พระธัมมชโยไม่มารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกของดีเอสไอเป็นครั้งที่ 2 พระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย แถลงข่าวว่าพระธัมมชโยป่วยหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ประกอบกับเจ็บป่วยเรื้อรังจากโรคเบาหวาน ภูมิแพ้ เส้นเลือดอุดตันที่ขาซ้าย คณะแพทย์ให้พัก 15 วัน จึงไม่สามารถมารับทราบข้อกล่าวหาได้
26 เม.ย.2559
พระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย นำภาพที่แสดงอาการป่วยของพระธัมมชโยมาแสดงต่อสื่อมวลชนเพื่อยืนยันว่าพระธัมมชโยไม่สามารถไปพบพนักงานสอบสวนของดีเอสไอตามหมายเรียกได้เพราะอาพาธหนัก
27 เม.ย.2559
ดีเอสไอเผยแพร่คลิปพระธัมมชโยยืนคุยกับญาติโยม ซึ่งต่อมาวัดพระธรรมกายชี้แจงว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 22 เม.ย.2559 ก่อนที่พระธัมมชโยจะป่วยฉับพลัน
ดีเอสไอออกหมายเรียกพระธัมมชโยมารับทราบข้อกล่าวหาเป็นครั้งที่ 3 โดยกำหนดให้มาพบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอวันที่ 16 พ.ค.2559
14 พ.ค.2559
วัดพระธรรมกายส่งหนังสือถึงดีเอสไอ ขอให้พนักงานสอบสวนมาแจ้งข้อกล่าวหาพระธัมมชโยที่วัดพระธรรมกาย เพราะไม่สะดวกเดินทางไปเนื่องจากยังอาพาธอยู่
ผศ.นพ.ธนาคม เปรมประภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์หลอดเลือด ซึ่งเป็นผู้ทำการรักษาพระธัมมชโยนำภาพถ่ายการรักษาและภาพเอ็กซเรย์มาแสดงต่อสื่อมวลชนเพื่อยืนยันว่าพระธัมมชโยอาพาธ ไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกไม่ได้ --- ใบรับรองแพทย์ปลอม
16 พ.ค.2559
พระธัมมชโยมาไม่มารับทราบข้อกล่าวหาเป็นครั้งที่ 3 โดยทนายของวัดพระธรรมกายระบุว่าเนื่องจากอาการอาพาธโรคเส้นเลือดดำอุดตันที่ต้นขาซ้าย ต้องงดเดิน --- ขยับตาย
17 พ.ค.2559
-ศาลอาญาอนุมัติหมายจับพระธัมมชโย ขณะที่ดีเอสไอให้เวลามามอบตัวภายในวันที่ 26 พ.ค.59 เวลา 16.00 น.
-สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ชี้แจงเรื่องภาพถ่ายของพระธัมมชโยขณะนั่งรถตู้และยืนปล่อยนก ที่มีการเผยแพร่สื่อสังคมออนไลน์ โดยระบุว่าเป็นภาพที่ถ่ายเมื่อวันที่ 3 พ.ค.2559 ภายในวัด ขณะที่ยังมีอาการอาพาธ ไม่ได้เดินทางไปบ้านลูกศิษย์ตามที่มีการกล่าวอ้าง

22 พ.ค.2559
โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย เปิดวิดีโอห้องปลอดเชื้อที่พระธัมมชโยนอนอาพาธอยู่บนเตียง พร้อมเปิดให้ดูขาที่มีอาการบวมจากโรคเส้นเลือดอุดตัน เพื่อยืนยันว่าไม่ได้หลบหนี และพร้อมให้ดีเอสไอเข้ามาแจ้งข้อกล่าวหา
24 พ.ค.2559
ศาลอาญายกคำร้องของทีมทนายความ พระธัมมชโย ที่ขอให้เพิกถอนหมายจับ โดยศาลเห็นว่าการอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาชอบตามกฎหมาย จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
26 พ.ค.2559
ครบกำหนดที่ดีเอสไอให้พระธัมมชโยมารับทราบข้อกล่าวหา ทีมทนายของพระธัมมชโยแจ้งว่าจะมาพบเจ้าหน้าที่ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เวลา 16.30 น. แต่ก่อนถึงเวลานัดหมายไม่นานได้แจ้งว่า พระธัมมชโยมีอาการลมตีขึ้นขณะเคลื่อนย้าย จึงไม่สามารถมาพบเจ้าหน้าที่ได้ตามที่แจ้ง --- บ้านหมุนกระทันหัน
27 พ.ค.2559
ดีเอสไอประชุมแนวทางการดำเนินการหลังจากพระธัมมชโยไม่มารับทราบข้อกล่าวหา และได้ทำเรื่องให้มหาเถรสมาคมเป็นตัวกลางประสานกับพระธัมมชโย
28 พ.ค.2559
เจ้าหน้าที่วัดพระธรรมกายมีการนำรถแบ็คโฮมาขวางด้านหน้าประตูวัด และมีผู้ศรัทธาเดินทางมารวมตัวให้กำลังใจพระธัมมชโย --- ให้ความร่วมมือ ?
29 พ.ค.2559
องอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย แถลงข่าวยืนยันว่าพระธัมมชโยยังอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย พร้อมกับระบุว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับกลุ่ม Trasher Bangkok ที่นำภาพตัดต่อของพระธัมมชโยไปเผยแพร่ในลักษณะจาบจ้วงล่วงละเมิด
ที่มา http://news.thaipbs.or.th/content/252717
จนท ผ่อนปรนให้จัดงานวัดเกิด ให้ทำศาสนากิจ ให้เลื่อนสาระพัด ผลที่ได้รับคือ จนท โดนทำร้าย


------------------
การฟอกเงินหมายถึง การปรับเปลี่ยนเงินทองหรือทรัพย์สินจากการประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย โดยตั้งแต่อดีตและปัจจุบันมีบุคคลฟอกเงินด้วยวิธีแบบนี้มากมาย ส่วนใหญ่ เป็นนักการเมือง ผู้นำ นักธุรกิจ โดยฟอกเงินแต่ละครั้งนำมาซึ่งการทำลายเศรษฐกิจของประเทศ จนชาติแทบล่มจม และนี้คือ 10 บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด
10. Semion Yudkovich Mogilevich
9. Meyer Lansky
8. Al Capone
7. Sani Abacha
6. Sese Seko Mobutu
5. Leopold II of Belgium
4. Dawood Ibrahim
3. Ferdinand Marcos
2. Pablo Escobar .... เขาชอบช่วยเหลือเด็กโคลัมเบียโดยสร้าง โรงเรียนและให้อาหาร หากแต่ในขณะเดียวกัน....
1. Suharto
อ่านรายละเอียดที่ https://board.postjung.com/681655.html
WANTED MONK
Phra Dhammachayo, who is accused of money laundering



Phra Dhammachayo, who is accused of money laundering



--------------
คดีไชยบูลย์ปี 2541 --- หลุดคดี ด้วยเหตุผลคือ ไชยบูลย์คืนที่ดินและทรัพย์สินที่ยักยอกแล้ว (ดื้อไม่ยอมคืนเป็นเวลา 7 ปี) และเพื่อความปรองดอง รายละเอียดมีดังนี้
หลังจากผู้เกี่ยวข้องพยายามให้พระธัมมชโยคืนที่ดินและเงินบริจาคแก่วัดพระธรรมกาย แต่ไม่สำเร็จ กรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม กล่าวโทษพระธัมมชโยในคดีอาญา มาตรา 147 และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ต่อมากองปราบปราม ได้นำกำลังคอมมานโดไปล้อมจับพระธัมมชโยที่วัดพระธรรมกาย แต่ก็มีบรรดาลูกศิษย์ รวมตัวกันเป็น “โล่มนุษย์” ออกมาป้องกันจนกองปราบปรามต้องถอยกลับ สุดท้าย รมว.ศึกษาธิการในขณะนั้น ต้องขอหารือกับสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม ซึ่งเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลางและเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งกำกับดูแลวัดพระธรรมกาย
จนกระทั่งสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม ต้องมีบัญชาเด็ดขาดว่า ถ้า “พระธัมมชโย” ไม่มามอบตัวต้องสึก ทำให้ “พระธัมมชโย” ยอมมามอบตัว แต่ก็มีเงื่อนไขกับพนักงานสอบสวนว่า มอบตัวแล้วต้องให้ประกันทันทีภายในวัดชนะสงคราม ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ต้องยอมตาม
ต่อมาอัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลในปีเดียวกัน แต่ขณะที่คดีดำเนินไปตั้งแต่ปี 2542 จนถึงเดือนสิงหาคม 2549 เกือบ 7 ปีเต็ม ซึ่งมีการสืบพยานไปแล้วกว่า 100 นัด เหลือเพียงการสืบพยานจำเลยอีก 2 นัด ก็จะเสร็จสิ้นการสืบพยานในชั้นศาล ปรากฏว่าได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อจู่ๆ พนักงานอัยการ ได้ขอถอนฟ้องจำเลย คือ พระธัมมชโย และนายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์คนสนิท ที่ร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกายจำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร และนำเงินอีกเกือบ 30 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินกว่า 900 ไร่ ใน ต.หนองพระ (จ.พิจิตร) และที่ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ให้นายถาวรเช่นกัน โดยอัยการได้ขอถอนฟ้องเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 ก่อนหน้าจะถึงวันที่ศาลนัดสืบพยานจำเลย 2 นัดสุดท้าย แค่ 2 วัน ซึ่งศาลอาญาได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้
ทั้งนี้ อัยการสูงสุด ให้เหตุผลในการขอถอนฟ้องว่า "บัดนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า พระธัมมชโยกับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของสงฆ์แล้ว ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนาทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐ และเอกชนจำนวนมาก ส่วนเรื่องทรัพย์สิน พระธัมมชโยกับพวกก็ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ทั้งที่ดินและเงินกว่า 959 ล้านบาท คืนแก่วัดพระธรรมกายแล้ว ดังนั้น การกระทำของพระธัมมชโยกับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ ครบถ้วนทุกประการแล้ว ประกอบกับขณะนี้บ้านเมือง ต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า จึงเห็นว่า หากดำเนินคดีพระธัมมชโยกับพวกต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร โดยเฉพาะพระภิกษุ สามเณร และประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ นอกจากนี้การดำเนินคดีต่อไปยังไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องพระธัมมชโยกับพวก
ผลจากการที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ถอนฟ้องพระธัมมชโยกับพวกในคดีดังกล่าว และศาลอาญาอนุญาตให้ถอนฟ้องได้ ยังส่งผลให้อีก 3 คดีที่เหลือที่พระธัมมชโยกับพวกถูกฟ้องฐานยักยอกทรัพย์ ซึ่งอัยการอยู่ระหว่างรอการสั่งคดี ต้องมีอันยุติและล้มเลิกไปด้วย โดยอ้างว่า เมื่ออัยการสูงสุดมีนโยบายให้ถอนฟ้อง พนักงานอัยการก็ต้องมีความเห็นให้ยุติการสั่งคดีทั้ง 3 คดีไว้ เนื่องจากการดำเนินคดีจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
สำหรับ 3 คดีดังกล่าว ได้แก่ ....
ทั้งนี้ ช่วงที่อัยการขอถอนฟ้องคดี เกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดยก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องคดีเพียงเดือนเศษ รัฐมนตรีมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงานระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี “ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ชุมนุมขับไล่ “รัฐบาลทักษิณ”
http://www.komchadluek.net/news/detail/228348
------------------
คดีฟอกเงิน รับของโจร - ก็ปฏิบัติต่อไชยบูลย์ด้วยความเคารพ ละมุนละม่อมราวกับไข่ในหิน
ลำดับเหตุการณ์ มีดังนี้
29 มี.ค.2559
ดีเอสไอออกหมายเรียกให้พระธัมมชโยมาให้มารับทราบข้อกล่าวหาในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร วันที่ 8 เม.ย.59
7 เม.ย.2559
ดีเอสไอมีมติให้เลื่อนวันรับทราบข้อกล่าวหาของพระธัมมชโยจากวันที่ 8 เม.ย.เป็น 25 เม.ย.59 หลังจากทนายวัดพระธรรมกายทำหนังสือขอเลื่อนโดยให้เหตุผลว่าพระธัมมชโยติดศาสนากิจหลายอย่าง
20 เม.ย.2559
นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความวัดพระธรรมกายส่งหนังสือถึงดีเอสไอขอเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหาของพระธัมมชโยจากวันที่ 25 เม.ย.เป็นปลายเดือนพฤษภาคม โดยอ้างว่าติดศาสนกิจ แต่ดีเอสไอมีมติว่าไม่มีเหตุอันควรให้เลื่อน
21 เม.ย.2559
พระธัมมชโยสนทนากับญาติโยมผ่านรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง DMC ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแจ้งดีเอสไอว่าอาพาธ

22 เม.ย.2559
วันเกิดพระธัมมชโยอายุครบ 72 ปี วัดพระธรรมกายจัดงาน "4 บิ๊กบุญ 22 เมษา วันคุ้มครองโลก 2559" มีการตักบาตรพระภิกษุ-สามเณร 100,000 รูป และสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร บูชาธรรม 72 ปี พระธัมมชโย
25 เม.ย.2559
พระธัมมชโยไม่มารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกของดีเอสไอเป็นครั้งที่ 2 พระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย แถลงข่าวว่าพระธัมมชโยป่วยหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ประกอบกับเจ็บป่วยเรื้อรังจากโรคเบาหวาน ภูมิแพ้ เส้นเลือดอุดตันที่ขาซ้าย คณะแพทย์ให้พัก 15 วัน จึงไม่สามารถมารับทราบข้อกล่าวหาได้
26 เม.ย.2559
พระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย นำภาพที่แสดงอาการป่วยของพระธัมมชโยมาแสดงต่อสื่อมวลชนเพื่อยืนยันว่าพระธัมมชโยไม่สามารถไปพบพนักงานสอบสวนของดีเอสไอตามหมายเรียกได้เพราะอาพาธหนัก
27 เม.ย.2559
ดีเอสไอเผยแพร่คลิปพระธัมมชโยยืนคุยกับญาติโยม ซึ่งต่อมาวัดพระธรรมกายชี้แจงว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 22 เม.ย.2559 ก่อนที่พระธัมมชโยจะป่วยฉับพลัน
ดีเอสไอออกหมายเรียกพระธัมมชโยมารับทราบข้อกล่าวหาเป็นครั้งที่ 3 โดยกำหนดให้มาพบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอวันที่ 16 พ.ค.2559
14 พ.ค.2559
วัดพระธรรมกายส่งหนังสือถึงดีเอสไอ ขอให้พนักงานสอบสวนมาแจ้งข้อกล่าวหาพระธัมมชโยที่วัดพระธรรมกาย เพราะไม่สะดวกเดินทางไปเนื่องจากยังอาพาธอยู่
ผศ.นพ.ธนาคม เปรมประภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์หลอดเลือด ซึ่งเป็นผู้ทำการรักษาพระธัมมชโยนำภาพถ่ายการรักษาและภาพเอ็กซเรย์มาแสดงต่อสื่อมวลชนเพื่อยืนยันว่าพระธัมมชโยอาพาธ ไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกไม่ได้ --- ใบรับรองแพทย์ปลอม
16 พ.ค.2559
พระธัมมชโยมาไม่มารับทราบข้อกล่าวหาเป็นครั้งที่ 3 โดยทนายของวัดพระธรรมกายระบุว่าเนื่องจากอาการอาพาธโรคเส้นเลือดดำอุดตันที่ต้นขาซ้าย ต้องงดเดิน --- ขยับตาย
17 พ.ค.2559
-ศาลอาญาอนุมัติหมายจับพระธัมมชโย ขณะที่ดีเอสไอให้เวลามามอบตัวภายในวันที่ 26 พ.ค.59 เวลา 16.00 น.
-สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ชี้แจงเรื่องภาพถ่ายของพระธัมมชโยขณะนั่งรถตู้และยืนปล่อยนก ที่มีการเผยแพร่สื่อสังคมออนไลน์ โดยระบุว่าเป็นภาพที่ถ่ายเมื่อวันที่ 3 พ.ค.2559 ภายในวัด ขณะที่ยังมีอาการอาพาธ ไม่ได้เดินทางไปบ้านลูกศิษย์ตามที่มีการกล่าวอ้าง

22 พ.ค.2559
โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย เปิดวิดีโอห้องปลอดเชื้อที่พระธัมมชโยนอนอาพาธอยู่บนเตียง พร้อมเปิดให้ดูขาที่มีอาการบวมจากโรคเส้นเลือดอุดตัน เพื่อยืนยันว่าไม่ได้หลบหนี และพร้อมให้ดีเอสไอเข้ามาแจ้งข้อกล่าวหา
24 พ.ค.2559
ศาลอาญายกคำร้องของทีมทนายความ พระธัมมชโย ที่ขอให้เพิกถอนหมายจับ โดยศาลเห็นว่าการอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาชอบตามกฎหมาย จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
26 พ.ค.2559
ครบกำหนดที่ดีเอสไอให้พระธัมมชโยมารับทราบข้อกล่าวหา ทีมทนายของพระธัมมชโยแจ้งว่าจะมาพบเจ้าหน้าที่ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เวลา 16.30 น. แต่ก่อนถึงเวลานัดหมายไม่นานได้แจ้งว่า พระธัมมชโยมีอาการลมตีขึ้นขณะเคลื่อนย้าย จึงไม่สามารถมาพบเจ้าหน้าที่ได้ตามที่แจ้ง --- บ้านหมุนกระทันหัน
27 พ.ค.2559
ดีเอสไอประชุมแนวทางการดำเนินการหลังจากพระธัมมชโยไม่มารับทราบข้อกล่าวหา และได้ทำเรื่องให้มหาเถรสมาคมเป็นตัวกลางประสานกับพระธัมมชโย
28 พ.ค.2559
เจ้าหน้าที่วัดพระธรรมกายมีการนำรถแบ็คโฮมาขวางด้านหน้าประตูวัด และมีผู้ศรัทธาเดินทางมารวมตัวให้กำลังใจพระธัมมชโย --- ให้ความร่วมมือ ?
29 พ.ค.2559
องอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย แถลงข่าวยืนยันว่าพระธัมมชโยยังอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย พร้อมกับระบุว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับกลุ่ม Trasher Bangkok ที่นำภาพตัดต่อของพระธัมมชโยไปเผยแพร่ในลักษณะจาบจ้วงล่วงละเมิด
ที่มา http://news.thaipbs.or.th/content/252717
จนท ผ่อนปรนให้จัดงานวัดเกิด ให้ทำศาสนากิจ ให้เลื่อนสาระพัด ผลที่ได้รับคือ จนท โดนทำร้าย


------------------
10 อันดับ บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด
การฟอกเงินหมายถึง การปรับเปลี่ยนเงินทองหรือทรัพย์สินจากการประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย โดยตั้งแต่อดีตและปัจจุบันมีบุคคลฟอกเงินด้วยวิธีแบบนี้มากมาย ส่วนใหญ่ เป็นนักการเมือง ผู้นำ นักธุรกิจ โดยฟอกเงินแต่ละครั้งนำมาซึ่งการทำลายเศรษฐกิจของประเทศ จนชาติแทบล่มจม และนี้คือ 10 บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด
10. Semion Yudkovich Mogilevich
9. Meyer Lansky
8. Al Capone
7. Sani Abacha
6. Sese Seko Mobutu
5. Leopold II of Belgium
4. Dawood Ibrahim
3. Ferdinand Marcos
2. Pablo Escobar .... เขาชอบช่วยเหลือเด็กโคลัมเบียโดยสร้าง โรงเรียนและให้อาหาร หากแต่ในขณะเดียวกัน....
1. Suharto
อ่านรายละเอียดที่ https://board.postjung.com/681655.html
แสดงความคิดเห็น

วิธีใช้กฎหมายกับคดีพระสงฆ์ผู้ใหญ่ในอดีต : โดย สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการป.ป.ช.
ความศรัทธาเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของมนุษย์ ไม่อาจบังคับให้บุคคลศรัทธาในสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ โดยที่มิได้เกิดจากหัวใจ เช่น ศรัทธาในตัวบุคคล ศรัทธาต่อศาสนา เป็นต้น บุคคลจึงสามารถปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาตามความเชื่อของคนได้โดยอิสรเสรี
ดังนั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับจึงมีบทบัญญัติให้บุคคลปฏิบัติพิธีกรรมตามศาสนาได้ ยกเว้นแต่พิธีกรรมนั้นจะขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 37 วรรคหนึ่ง ประกอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 4 บัญญัติว่า
“บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ ในการถือศาสนา นิกายของศาสนาหรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนาบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมือง และไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”
กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็นหลักซึ่งบุคคลที่อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก ต้องยึดถือและปฏิบัติตาม เพื่อความสงบสุขของสังคม ผู้ใดกระทำการละเมิดกฎหมาย ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ ซึ่งก็จะมี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เป็นหลักควบคุมการปฏิบัติตนของพระสงฆ์ทั่วประเทศ แต่ก็เป็นเรื่องของคณะสงฆ์จะเป็นผู้พิจารณาตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ หมวด 3 และหมวด 4 อันว่าด้วยกฎนิคหกรรม และการปกครองคณะสงฆ์ หากพระสงฆ์กระทำผิดทั้งกฎหมายบ้านเมืองและกฎหมายของคณะสงฆ์ ก็จะต้องถูกลงโทษทั้งสองประการ แต่การลงโทษนั้น จะนำบทบัญญัติกฎหมายบ้านเมืองไปลงโทษทางใจมิได้ การลงโทษได้แต่เพียงทางร่างกายเท่านั้น
การที่จะนำพระสงฆ์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองจำเป็นต้องใช้วิธีการที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไป โดยจะต้องเป็นไปอย่างละมุนละม่อม จริงใจ และปราศจากวาระแอบแฝง เช่น กรณีแอบแฝงเรื่องทางการเมือง เป็นต้น เมื่อผู้เขียนเป็นผู้พิพากษาที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ และเคยเป็นเจ้าของสำนวนคดีพระสงฆ์เป็นจำเลยทั้งคดีแพ่ง (คดีละเมิด) และคดีอาญา (คดีพยายามฆ่า) โดยเฉพาะในคดีละเมิด ซึ่งมีพระสงฆ์ผู้ใหญ่เป็นจำเลยอยู่ถึง 4 รูป จำเลยที่ 3 คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช จึงเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน โดยเรียกกันติดปากว่า “คดีวัดแหลม”
ตั้งแต่เริ่มดำเนินคดี สืบพยานโจทก์ พยานจำเลย จนกระทั่งถึงวันที่ศาลอ่านคำพิจารณา การดำเนินคดีเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย
การสืบพยานจำเลยที่ 3 มีพนักงานอัยการ ซึ่งมีหน้าที่แก้ต่างให้จำเลยเดินทางไปสืบพยานที่วัดอันเป็นที่จำพรรษาของจำเลย คดีขึ้นสู่ศาลฎีกา ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2277/2526 คดีเช่นนี้ผู้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมจะมีวิธีการปฏิบัติแตกต่างจากคดีทั่วไป
ถึงแม้ระหว่างดำเนินคดีจะมีทางฝ่ายพระสงฆ์มาร้องเรียนที่กระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับความล่าช้าของการดำเนินกระบวนพิจารณาบ้างก็ตาม แต่ศาลก็ดำเนินการไปได้อย่างเรียบร้อย โดยมิได้กระทบต่อความศรัทธาในทางศาสนา และไม่เคยอาศัยกำลังทหารหรือตำรวจมาช่วยแต่อย่างใด
ข้อที่ผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมพึงระลึกถึงเมื่อจำเป็นต้องปฏิบัติเพื่อรักษาไว้ ซึ่งตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง โดยมิได้กระทบความศรัทธา ในศาสนาก็คือ
1. ตรวจดูให้แน่ใจก่อนว่าคดีนั้นผู้ถูกกล่าวหา (พระสงฆ์) กระทำความผิดตามกฎหมายบ้านเมืองหรือผิดตามกฎหมายพระสงฆ์หรือผิดทั้งสองประการ ถ้าเป็นกรณีกระทำผิดกฎหมายสงฆ์ ก็ต้องให้อยู่ในอำนาจพิจารณาของคณะสงฆ์ คือมหาเถรสมาคม สมเด็จพระสังฆราช เจ้าคณะทั้งหลาย
2. ถ้าทำผิดกฎหมายบ้านเมืองควรตรวจดูความหนักเบาของข้อกล่าวหา กรณีกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ถ้าเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ก็ถือว่ามีโทษเบากว่า ความผิดเกี่ยวกับชีวิตร่างกาย (ฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ (ความผิดฐานเป็นกบฏตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113) ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ
3. ความผิดนั้นกระทำอย่างชัดแจ้ง ถือเป็นความผิดในตัวหรือไม่ เช่น ค้ายาเสพติดให้โทษ ซ่องสุมอาวุธหรือผู้คนเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ถ้าเป็นความผิดฐานรับของโจร ซึ่งจะเป็นความผิดตามข้อกล่าวหาได้ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานว่าทรัพย์สินที่นำมาถวายนั้น พระสงฆ์ผู้รับรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด และความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชกรีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคหนึ่ง
การสืบพยานถึงเจตนาในใจของผู้ถูกกล่าวหา (จำเลย) นั้นต้องใช้เวลานานพอสมควร และระหว่างที่ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาว่าผิดหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 39 วรรคสอง และวรรคสาม ประกอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 4 บัญญัติไว้ว่า
“ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหา หรือจำเลยไม่มีความผิด” และ “ก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด แสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้”
4. นอกจากบุคคลทุกคนจะมีสิทธิโดยชอบธรรมในการที่จะนับถือศาสนา และการปฏิบัติพิธีตามความเชื่อถือได้แล้ว บุคคลที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่ควรจะตำหนิติเตียนผู้ที่มีศรัทธาในสิ่งที่แตกต่างกับตน ไม่ว่าจะเรื่องคำสอนที่แตกต่าง ความเชื่อหรือการปฏิบัติตามความเชื่อ ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าศาสนาพุทธก็ยังแบ่งเป็นมหายานหรืออาจริยวาท กับหินยานหรือเถรวาท และยังแบ่งมหายานเป็น 2 นิกาย คือ อนัมนิกาย (ญวนหรือเวียดนาม) และจีนนิกาย ถึงแม้จะมีวัตรปฏิบัติ และพิธีกรรมแตกต่างกันบ้าง แต่จุดหมายปลายทางก็มุ่ง พระนิพพานเป็นจุดสูงสุดเหมือนกัน และนับถือพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเช่นเดียวกัน
จะกล่าวว่าคำสอนใดผิดหรือถูกก็มีข้อโต้แย้งได้เสมอ และนับเป็นสาเหตุหรือชนวนที่ทำให้คนในชาติแตกแยกกันอีกด้วย
5. ในกรณีที่จะต้องดำเนินคดีกับพระสงฆ์อันเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชน หากผู้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมได้ใช้วิธีการปฏิบัติอย่างละมุนละม่อม จริงใจไม่มีสิ่งใดแอบแฝงซ่อนเร้นลักษณะเป็นการให้เกียรติย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้ายังมีการขัดขืนไม่ปฏิบัติตาม ผู้อยู่ในกระบวนการควรหาสาเหตุให้ได้โดยวิธีการอันแยบยลและชาญฉลาด มิใช่จะกล่าวหาอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ละเมิดกฎหมาย แต่เพียงฝ่ายเดียว
หากแต่ควรค้นหาอย่างเป็นธรรมว่าฝ่ายกระบวนการยุติธรรมได้ปฏิบัติการอย่างไร อันอาจมีผลทำให้อีกฝ่ายหวาดระแวง สงสัยในความบริสุทธิ์ยุติธรรมของฝ่ายกระบวนการยุติธรรมบ้างหรือไม่ เช่นมีปัญหาทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง หรือเป็นไปโดยอคติ โดยเฉพาะภยาคติ (ลำเอียงด้วยความกลัว) หรือไม่ หรือกระทำการที่เรียกว่าสองมาตรฐาน คือมุ่งแต่จะดำเนินการเอาโทษแก่บุคคลบางฝ่ายหรือไม่
ความระแวงสงสัยในความบริสุทธิ์ยุติธรรม หากเกิดขึ้นต่อผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว ใช่จะทำให้สังคมนั้นปั่นป่วนหวั่นไหวเท่านั้น แม้แต่ผู้ที่อยู่ในกระบวนการนี้เองก็จะเกิดความลำบากในการทำหน้าที่ เพราะการทำหน้าที่ของผู้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมย่อมขึ้นอยู่กับความศรัทธาของประชาชน หากเกิดความระแวงในความบริสุทธิ์ยุติธรรมเสียแล้ว จะวินิจฉัยสั่งการอะไรออกไปก็จะมีการโต้แย้งขัดขืนโดยตลอด อันเป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียเวลา เสียงบประมาณของแผ่นดินไปโดยไม่คุ้มค่า
อนึ่งผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาพึงสังวรอย่างหนักในการปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ๆ โดยเฉพาะคำสั่งทางการเมือง ในช่วงเวลาที่ประเทศชาติอยู่ในวาระไม่ปกติ
สมลักษณ์ จัดกระบวนพล
อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา และกรรมการ ป.ป.ช.
อาจารย์พิเศษผู้บรรยายวิชาระบบศาล และหลักทั่วไปว่าด้วยการพิจารณาคดี
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.matichon.co.th/news/499670