"ออง ซาน ซูจี"
ถ้าเอ่ยถึง..ยาขอบ ก็ต้องนึกถึง"ผู้ชนะสิบทิศ"
ไม่ว่าจะเป็นจะเด็จ..พระเจ้าบุเรงนองแห่งหงสาวดี
หรือมหาเถรคันฉ่องกุโสดอ ขุนพลผู้ออกบวช
รวมถึงสองยอดสตรีแห่งอาณาจักรพุกาม
ตะละแม่จันทราและตะละแม่กุสุมาแห่งเมืองแปร
ผู้ซึ่งมีความ"งดงาม"ทั้งภายนอกและภายใน.!!!
ได้แต่เก็บความสงสัยว่าจะงามจนถึงระดับไหน
จนได้เห็นภาพของ"ออง ซาน ซูจี"ในอิริยาบทนี้
แม้วัยของ"ตะละแม่" จะล่วงเลยมาถึง 72 ปีแล้ว
แต่ก็มิสามารถที่จะกลบความงามของแม่นางได้
แค่การ"ประนมมือ"แสดงความเคารพต่อ
พระสงฆ์ก็เห็นถึงความเลื่อมใสอย่างจริงใจต่อพระรัตนตรัย
แม้เป็นถึงประธานพรรคและรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล
แต่ก็ยังให้ความเคารพพระโดยมิได้มีความ
ถือตัว ดำรงตนเป็น"ต้นแบบ"ของพุทธศาสนิกชนที่ดี.!!!
ที่มา : พุทธศาสนาเปิดโลกทัศน์ใหม่ ให้ "ออง ซาน ซูจี" สตรีเหล็กแห่งพม่า
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9550000017604
ออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของพม่าเป็นสตรีเหล็กแห่งพม่าที่แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคนานัปการตลอดเส้นทางการเมือง แต่เธอยังคงยืนหยัดไม่ล้มเลิกหรือละทิ้งเป้าหมายหลัก
ย้อนไปในปี 1988 พม่าอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเกิดความระส่ำระสายทางการเมืองไปทั่วประเทศ กดดันให้นายพลเนวิน ผู้นำเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจการปกครองประเทศมายาวนานกว่า 20 ปีต้องก้าวลงจากตำแหน่ง นำไปสู่การชุมนุมของนักศึกษาและประชาชนหลายแสนคนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า แต่ในที่สุดผู้นำทหารได้สั่งการให้ใช้อาวุธสลายการชุมนุม จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายพันคน
ซูจีได้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองครั้งแรกเมื่อวันที่15 สิงหาคม 1988 โดย
ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระ เพื่อเตรียมการเลือกตั้งทั่วไป ต่อมาในวันที่ 26 สิงหาคมเธอได้ขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรก ต่อหน้าฝูงชนราว 500,000 คน ซึ่งมาชุมนุมกันที่เจดีย์ชเวดากองในเมืองย่างกุ้งโดยเรียกร้องให้มีรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ผู้นำทหารกลับจัดตั้งสภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐขึ้นแทนและใช้กำลังอาวุธเข้าปราบปรามสังหารและจับกุมผู้ต่อต้านหลายร้อยคน
ในวันที่ 24 กันยายน 1988 ซูจีได้ร่วมจัดตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(National League for Democracy: NLD) และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคชีวิตทางการเมืองของเธอที่ต่อสู้เพื่อเสรีประชาธิปไตยของพม่าจึงได้เริ่มต้นนับแต่นั้นมา
• ความศรัทธาในพุทธศาสนาช่วยหล่อหลอมทัศนคติและความเข้มแข็ง
แนวคิดทางการเมืองของหญิงแกร่งคนนี้ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจาก
ปรัชญา อหิงสาของมหาตมะ คานธีวีรบุรุษแห่งอินเดียและแนวคิดทางพุทธศาสนา ตลอด 21 ปีในวงการเมือง ซูจีต้องสูญเสียสามี พลัดพรากจากบุตรชายอันเป็นที่รักและสูญเสียอิสรภาพ นั่นเป็นเพราะเธอวางเรื่องส่วนตัวไว้ข้างๆ และเดินหน้าทำงานเพื่อประโยชน์ของชาวพม่าและไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้นก็มิอาจหยุดยั้งเธอได้
" การเสียสละของเธอถือเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนที่ยอมแพ้เมื่อต้องเผชิญอุปสรรคเล็กๆน้อยๆ มีกำลังใจเดินหน้าไม่ท้อถอย"
ทว่า
"การเข้าร่วมทางการเมืองก็ทำให้เธอถูกกักบริเวณภายในบ้านพักในเมืองย่างกุ้งเป็นเวลานานถึง 15 ปี โดยทางการไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเยี่ยม"
ซูจีเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดเธอยกความดีให้กับพระพุทธศาสนา ที่ช่วยให้เธอมีชีวิตอยู่ได้ในระหว่างถูกกักบริเวณซึ่งเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวัน หมดไปกับการอ่านหนังสือปรัชญา การเมืองและอัตชีวประวัติบุคคลสำคัญต่างๆ รวมทั้งการท่องจำพระสูตรและนั่งสมาธิเจริญวิปัสสนา
ซูจียังบอกด้วยว่าเธอเชื่อว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสนับสนุนหลักการประชาธิปไตยที่ขัดแย้งกับคำแถลงการณ์ของ รัฐบาลทหารพม่าที่อ้างว่าระบอบประชาธิปไตยคือสิ่งประดิษฐ์ของชาติตะวันตก
แหล่งภาพ : Kapook
งานเขียนชิ้นหนึ่งของเธอมีชื่อว่า
“อิสรภาพจากความกลัว” (Freedomfrom Fear) เธอยืนยันว่า
“พุทธศาสนาและระบบเผด็จการนั้นขัดแย้งกันเพราะศาสนาพุทธให้ความสำคัญเรื่องความสามารถที่จะบรรลุนิพพานของแต่ละบุคคลเป็นลำดับแรกในขณะที่ระบบเผด็จการลดคุณค่าปัจเจกชน เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นมวลชนที่ไร้ตัวตนไร้เหตุผล และไร้กำลัง ซึ่งจะถูกหลอกให้ทำตามความต้องการได้ง่าย”
ซูจียังย้ำด้วยว่าชาวพุทธเน้นเรื่องความถูกต้องและคุณธรรมความดีซึ่งสนับสนุนแนวคิดเรื่องการประท้วงทางการเมืองยามที่ระบบการปกครองขาดความยุติธรรม เธอเชื่อว่า "ตราบใดที่การประท้วงเป็นไปโดยสงบและไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย นั่นคือพวกเขากำลังแสดงออกถึงคุณธรรมและวิธีปฏิบัติตามวิถีพุทธ"
ซูจีพูดถึงอุปสรรคของความกลัวในความหมายทางการเมือง ว่า
“อำนาจไม่ได้ทำให้คนเสื่อมแต่เป็นความกลัวที่ทำให้คนเสื่อม ความกลัวสูญเสียอำนาจทำให้ผู้กุมอำนาจเสื่อมและความกลัวโทษทัณฑ์จากอำนาจ ก็ทำให้ผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจเสื่อมเช่นเดียวกัน”
ความสามารถของซูจีในการผสมผสานหลักธรรมคำสอนให้เข้ากับอุดมการณ์ประชาธิปไตยทางตะวันตกเป็นสิ่งสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ ที่มีอิทธิพลและสร้างแรงบันดาลใจให้ชาวพม่า
แหล่งบทความ :
พุทธศาสนาเปิดโลกทัศน์ใหม่ ให้ ออง ซาน ซูจี สตรีเหล็กแห่งพม่า
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9550000017604
ออง ซาน ซูจี สตรีเหล็ก พระพุทธศาสนาคือชีวิต
ถ้าเอ่ยถึง..ยาขอบ ก็ต้องนึกถึง"ผู้ชนะสิบทิศ"
ไม่ว่าจะเป็นจะเด็จ..พระเจ้าบุเรงนองแห่งหงสาวดี
หรือมหาเถรคันฉ่องกุโสดอ ขุนพลผู้ออกบวช
รวมถึงสองยอดสตรีแห่งอาณาจักรพุกาม
ตะละแม่จันทราและตะละแม่กุสุมาแห่งเมืองแปร
ผู้ซึ่งมีความ"งดงาม"ทั้งภายนอกและภายใน.!!!
ได้แต่เก็บความสงสัยว่าจะงามจนถึงระดับไหน
จนได้เห็นภาพของ"ออง ซาน ซูจี"ในอิริยาบทนี้
แม้วัยของ"ตะละแม่" จะล่วงเลยมาถึง 72 ปีแล้ว
แต่ก็มิสามารถที่จะกลบความงามของแม่นางได้
แค่การ"ประนมมือ"แสดงความเคารพต่อ
พระสงฆ์ก็เห็นถึงความเลื่อมใสอย่างจริงใจต่อพระรัตนตรัย
แม้เป็นถึงประธานพรรคและรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล
แต่ก็ยังให้ความเคารพพระโดยมิได้มีความ
ถือตัว ดำรงตนเป็น"ต้นแบบ"ของพุทธศาสนิกชนที่ดี.!!!
ที่มา : พุทธศาสนาเปิดโลกทัศน์ใหม่ ให้ "ออง ซาน ซูจี" สตรีเหล็กแห่งพม่า
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9550000017604
ออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของพม่าเป็นสตรีเหล็กแห่งพม่าที่แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคนานัปการตลอดเส้นทางการเมือง แต่เธอยังคงยืนหยัดไม่ล้มเลิกหรือละทิ้งเป้าหมายหลัก
ย้อนไปในปี 1988 พม่าอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเกิดความระส่ำระสายทางการเมืองไปทั่วประเทศ กดดันให้นายพลเนวิน ผู้นำเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจการปกครองประเทศมายาวนานกว่า 20 ปีต้องก้าวลงจากตำแหน่ง นำไปสู่การชุมนุมของนักศึกษาและประชาชนหลายแสนคนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า แต่ในที่สุดผู้นำทหารได้สั่งการให้ใช้อาวุธสลายการชุมนุม จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายพันคน
ซูจีได้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองครั้งแรกเมื่อวันที่15 สิงหาคม 1988 โดยส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระ เพื่อเตรียมการเลือกตั้งทั่วไป ต่อมาในวันที่ 26 สิงหาคมเธอได้ขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรก ต่อหน้าฝูงชนราว 500,000 คน ซึ่งมาชุมนุมกันที่เจดีย์ชเวดากองในเมืองย่างกุ้งโดยเรียกร้องให้มีรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ผู้นำทหารกลับจัดตั้งสภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐขึ้นแทนและใช้กำลังอาวุธเข้าปราบปรามสังหารและจับกุมผู้ต่อต้านหลายร้อยคน
ในวันที่ 24 กันยายน 1988 ซูจีได้ร่วมจัดตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(National League for Democracy: NLD) และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคชีวิตทางการเมืองของเธอที่ต่อสู้เพื่อเสรีประชาธิปไตยของพม่าจึงได้เริ่มต้นนับแต่นั้นมา
• ความศรัทธาในพุทธศาสนาช่วยหล่อหลอมทัศนคติและความเข้มแข็ง
แนวคิดทางการเมืองของหญิงแกร่งคนนี้ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจาก ปรัชญา อหิงสาของมหาตมะ คานธีวีรบุรุษแห่งอินเดียและแนวคิดทางพุทธศาสนา ตลอด 21 ปีในวงการเมือง ซูจีต้องสูญเสียสามี พลัดพรากจากบุตรชายอันเป็นที่รักและสูญเสียอิสรภาพ นั่นเป็นเพราะเธอวางเรื่องส่วนตัวไว้ข้างๆ และเดินหน้าทำงานเพื่อประโยชน์ของชาวพม่าและไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้นก็มิอาจหยุดยั้งเธอได้
" การเสียสละของเธอถือเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนที่ยอมแพ้เมื่อต้องเผชิญอุปสรรคเล็กๆน้อยๆ มีกำลังใจเดินหน้าไม่ท้อถอย"
ทว่า"การเข้าร่วมทางการเมืองก็ทำให้เธอถูกกักบริเวณภายในบ้านพักในเมืองย่างกุ้งเป็นเวลานานถึง 15 ปี โดยทางการไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเยี่ยม"
ซูจีเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดเธอยกความดีให้กับพระพุทธศาสนา ที่ช่วยให้เธอมีชีวิตอยู่ได้ในระหว่างถูกกักบริเวณซึ่งเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวัน หมดไปกับการอ่านหนังสือปรัชญา การเมืองและอัตชีวประวัติบุคคลสำคัญต่างๆ รวมทั้งการท่องจำพระสูตรและนั่งสมาธิเจริญวิปัสสนา
ซูจียังบอกด้วยว่าเธอเชื่อว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสนับสนุนหลักการประชาธิปไตยที่ขัดแย้งกับคำแถลงการณ์ของ รัฐบาลทหารพม่าที่อ้างว่าระบอบประชาธิปไตยคือสิ่งประดิษฐ์ของชาติตะวันตก
แหล่งภาพ : Kapook
งานเขียนชิ้นหนึ่งของเธอมีชื่อว่า “อิสรภาพจากความกลัว” (Freedomfrom Fear) เธอยืนยันว่า “พุทธศาสนาและระบบเผด็จการนั้นขัดแย้งกันเพราะศาสนาพุทธให้ความสำคัญเรื่องความสามารถที่จะบรรลุนิพพานของแต่ละบุคคลเป็นลำดับแรกในขณะที่ระบบเผด็จการลดคุณค่าปัจเจกชน เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นมวลชนที่ไร้ตัวตนไร้เหตุผล และไร้กำลัง ซึ่งจะถูกหลอกให้ทำตามความต้องการได้ง่าย”
ซูจียังย้ำด้วยว่าชาวพุทธเน้นเรื่องความถูกต้องและคุณธรรมความดีซึ่งสนับสนุนแนวคิดเรื่องการประท้วงทางการเมืองยามที่ระบบการปกครองขาดความยุติธรรม เธอเชื่อว่า "ตราบใดที่การประท้วงเป็นไปโดยสงบและไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย นั่นคือพวกเขากำลังแสดงออกถึงคุณธรรมและวิธีปฏิบัติตามวิถีพุทธ"
ซูจีพูดถึงอุปสรรคของความกลัวในความหมายทางการเมือง ว่า
“อำนาจไม่ได้ทำให้คนเสื่อมแต่เป็นความกลัวที่ทำให้คนเสื่อม ความกลัวสูญเสียอำนาจทำให้ผู้กุมอำนาจเสื่อมและความกลัวโทษทัณฑ์จากอำนาจ ก็ทำให้ผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจเสื่อมเช่นเดียวกัน”
ความสามารถของซูจีในการผสมผสานหลักธรรมคำสอนให้เข้ากับอุดมการณ์ประชาธิปไตยทางตะวันตกเป็นสิ่งสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ ที่มีอิทธิพลและสร้างแรงบันดาลใจให้ชาวพม่า
แหล่งบทความ :
พุทธศาสนาเปิดโลกทัศน์ใหม่ ให้ ออง ซาน ซูจี สตรีเหล็กแห่งพม่า
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9550000017604