สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ระบบกล่าวหา ใช้สำหรับประเทศไทย และอีกหลาย ๆ ประเทศในโลก ซึ่งถือเป็นกระบวนการจัดการด้านกฎหมายและยุติธรรมที่โลกยอมรับ มันไม่เห็นจะแปลกตรงไหน
"พระไทย" เป็นมนุษย์ชนชั้นพิเศษตรงไหน หรือมีสิทธิอะไรที่เหนือไปกว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติหรือครับ.!?
พระ ก็คือ มนุษย์นี่เอง.. เพียงแต่ เปลี่ยนองค์ทรงอาภรณ์ใหม่ ..เปลี่ยนจากสภาพของผู้มากในกิเลส...เดินหน้าไปสู่ผู้พยายามลด..ละ..และเลิกคบเสพกับกิเลส หันหน้าเข้าปฎิบัติ..ปริยัติ..ปฎิเวท มันก็ต้องถือว่ายิ่งอยู่ในสถานะที่ต้องใช้ความอดทน...อดกลั้น ในการทำให้ชีวิตเดินตามรอยมรรคผลที่พุทธองค์บัญญัติไว้มากกว่าปุถุชนอยู่แล้ว
พุทธองค์ท่านจึงทรงสอนภิกขุให้จำและระลึกตัวเองไว้เสมอว่า อาชีพที่ต่ำที่สุดของบรรดาอาชีพคือ "ขอทาน!"
เพราะอาชีพขอทาน คืออาชีพ ไม่ทำมาหากิน...ขอเขากินแบบไม่ต้องลงทุน ดั่งที่มีคนเคยถากถางภิกษุในสมัยพุทธกาลปรากฎว่า "“แกถือกระเบื้องในมือเที่ยวขอทานเถอะ!”
และ.... เพื่อให้มิให้ต้องถูกคนทั่วไปกดต่ำจนไล่เลี่ยแยกไม่ออกระหว่าง "ภิกขุ" กับ "ขอทาน" จึงทรงวางกฎไว้สำหรับสกรีนคนที่จะเข้ามาบวชไง ว่าไม่ใช่บวชเพราะอยากสบาย..บวชเพราะขี้เกียจทำมาหากิน...บวชแบบเช้าเอนเพลนอนบ่ายพักผ่อน..กลางคืนนอนแอร์ฉ่ำ ฯลฯ
ดั่งที่ทรงมีพุทธพจน์ไว้ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ! กุลบุตรทั้งหลาย
เข้าถึงอาชีพนี้เป็นผู้เป็นไปในอำนาจแห่งประโยชน์
เพราะอาศัยอำนาจแห่งประโยชน์,
ไม่ใช่เป็นคนหนีราชทัณฑ์
ไม่ใช่เป็นคนขอให้โจรปล่อยตัวไปบวช
ไม่ใช่เป็นคนหนีหนี้ ไม่ใช่เป็นคนหนีภัย
ไม่ใช่เป็นคนไร้อาชีพ, จึงบวช."
ดังนั้น เป้าหมายในการทีพุทธองค์ทรงให้กุลบุตรบวชเข้ามาเป็นภิกขุในธรรมวินัย จึงมีปรากฎชัดว่า บวชเพื่อเหตุผลดั่งที่ทรงตรัสว่า..
" กุลบุตรนี้บวชแล้ว โดยที่คิดเช่นนี้ว่า
เราทั้งหลายเป็นผู้ถูกหยั่งเอาแล้ว
โดยชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย
เป็นผู้อันความทุกข์หยั่งเอาแล้ว
มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว
ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏแก่เรา ดังนี้."
เห็นมั้ยว่า... พระองค์ทรงเป็นมหาปราชญ์เพียงใด ที่พยายามทำให้ภิกขุมีข้อแตกต่างและอยู่เหนือการปรามาสจากคนที่เหยียดหยามในพุทธศาสนาไว้ และกลายเป็นบุคคลที่น่าเคารพยกย่องกว่าสามัญชีพทั่วไป
และพอเข้าใจใช่ว่า.... เป้าหมายของภิกขุจริงๆ คือ การแสวงหาหนทางในการพ้นทุกข์ที่มีปรากฎในวงจรปฎิจจสมุปปบาท นั่นไง...อ่านแล้ว จขกท คงพอจะเข้าใจ? .
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสอนให้เหล่าภิกขุ ทั้งที่บวชแล้วและเหล่าคนที่อยากเข้ามาบวช ได้ตระหนักว่า ถ้าบวชแล้วทำตัวเลว มากกิเลส...ราคะตัณหา..อิจฉา....บ้าอภิญญา...วางตัวไม่สมสมณะตามพระวินัย ฯลฯ หากทำตัวอย่างที่ทรงตรัสไว้อุปมาก็ไม่ต่างจาก เปรียบเหมือน
ดุ้นฟืนจากเชิงตะกอน ที่เผาศพยังมีไฟติดอยู่ทั้งสอง ตรงกลางก็เปื้อนอุจจาระ ย่อมใช้ประโยชน์เป็นไม้ในบ้านเรือนก็ไม่ได้ ย่อมใช้ประโยชน์เป็นไม้ในป่าก็ไม่ได้..
อ่านมาทั้งหมด พอจะเห็นภาพกันมั้ยว่า พระ..... กับ โจรห่มผ้าเหลือง มันต่างกันตรงไหน....
พระองค์ให้เหล่าภิกขุสาวกนำธรรมะของพระองค์เผยแพร่ให้สาธุชน ได้มองเห็นทางแห่งการพ้นทุกข์ ตามหลักอริยสัจ ที่ว่าด้วยมรรคมีองค์แปด ที่ค้นพบและวางไว้ให้เสร็จสรรพ แล้วไง.....สอนกันบ้างมั้ย!?
----- ทำบุญกัน M...... กฐินปีนี้ได้กี่สิบล้าน....สะเดาะเคราะห์......ฆ้อนตอกให้ได้ยินถึงสวรรค์....ธุดงค์เดินเล่นในเมือง..... โยกเงินวัดไปใส่มูลนิธิ...เอาเงินบริจาคไปเล่นหุ้น.....พ่นน้ำหมาก...เสกน้ำมนต์....ทำเครื่องลางของขลังไม่เว้นแม้แต่ธงทีมบอล...นะหน้าทอง..ยันหน้าท้อง....เล่นรถหรู... ฯลฯ
ทั้งหมดที่พูดมา.... เมื่อเกิดข้อเท็จจริงกับคนที่เครื่องแบบแห่งการสละกิเลส..แต่ดันทำมันสารพันเรื่องเลว คิดว่า ควรกล่าวหา "พระ" มั้ยครับ!?
หรือจะหลับหูหลับตา ....สาาาธุ้ กันเป็นนกแก้วนกขุนทอง กันจนตายละครับ ท่านอบุาสก..อุบาสิกา ทั้งหลาย!
"พระไทย" เป็นมนุษย์ชนชั้นพิเศษตรงไหน หรือมีสิทธิอะไรที่เหนือไปกว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติหรือครับ.!?
พระ ก็คือ มนุษย์นี่เอง.. เพียงแต่ เปลี่ยนองค์ทรงอาภรณ์ใหม่ ..เปลี่ยนจากสภาพของผู้มากในกิเลส...เดินหน้าไปสู่ผู้พยายามลด..ละ..และเลิกคบเสพกับกิเลส หันหน้าเข้าปฎิบัติ..ปริยัติ..ปฎิเวท มันก็ต้องถือว่ายิ่งอยู่ในสถานะที่ต้องใช้ความอดทน...อดกลั้น ในการทำให้ชีวิตเดินตามรอยมรรคผลที่พุทธองค์บัญญัติไว้มากกว่าปุถุชนอยู่แล้ว
พุทธองค์ท่านจึงทรงสอนภิกขุให้จำและระลึกตัวเองไว้เสมอว่า อาชีพที่ต่ำที่สุดของบรรดาอาชีพคือ "ขอทาน!"
เพราะอาชีพขอทาน คืออาชีพ ไม่ทำมาหากิน...ขอเขากินแบบไม่ต้องลงทุน ดั่งที่มีคนเคยถากถางภิกษุในสมัยพุทธกาลปรากฎว่า "“แกถือกระเบื้องในมือเที่ยวขอทานเถอะ!”
และ.... เพื่อให้มิให้ต้องถูกคนทั่วไปกดต่ำจนไล่เลี่ยแยกไม่ออกระหว่าง "ภิกขุ" กับ "ขอทาน" จึงทรงวางกฎไว้สำหรับสกรีนคนที่จะเข้ามาบวชไง ว่าไม่ใช่บวชเพราะอยากสบาย..บวชเพราะขี้เกียจทำมาหากิน...บวชแบบเช้าเอนเพลนอนบ่ายพักผ่อน..กลางคืนนอนแอร์ฉ่ำ ฯลฯ
ดั่งที่ทรงมีพุทธพจน์ไว้ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ! กุลบุตรทั้งหลาย
เข้าถึงอาชีพนี้เป็นผู้เป็นไปในอำนาจแห่งประโยชน์
เพราะอาศัยอำนาจแห่งประโยชน์,
ไม่ใช่เป็นคนหนีราชทัณฑ์
ไม่ใช่เป็นคนขอให้โจรปล่อยตัวไปบวช
ไม่ใช่เป็นคนหนีหนี้ ไม่ใช่เป็นคนหนีภัย
ไม่ใช่เป็นคนไร้อาชีพ, จึงบวช."
ดังนั้น เป้าหมายในการทีพุทธองค์ทรงให้กุลบุตรบวชเข้ามาเป็นภิกขุในธรรมวินัย จึงมีปรากฎชัดว่า บวชเพื่อเหตุผลดั่งที่ทรงตรัสว่า..
" กุลบุตรนี้บวชแล้ว โดยที่คิดเช่นนี้ว่า
เราทั้งหลายเป็นผู้ถูกหยั่งเอาแล้ว
โดยชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย
เป็นผู้อันความทุกข์หยั่งเอาแล้ว
มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว
ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏแก่เรา ดังนี้."
เห็นมั้ยว่า... พระองค์ทรงเป็นมหาปราชญ์เพียงใด ที่พยายามทำให้ภิกขุมีข้อแตกต่างและอยู่เหนือการปรามาสจากคนที่เหยียดหยามในพุทธศาสนาไว้ และกลายเป็นบุคคลที่น่าเคารพยกย่องกว่าสามัญชีพทั่วไป
และพอเข้าใจใช่ว่า.... เป้าหมายของภิกขุจริงๆ คือ การแสวงหาหนทางในการพ้นทุกข์ที่มีปรากฎในวงจรปฎิจจสมุปปบาท นั่นไง...อ่านแล้ว จขกท คงพอจะเข้าใจ? .
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสอนให้เหล่าภิกขุ ทั้งที่บวชแล้วและเหล่าคนที่อยากเข้ามาบวช ได้ตระหนักว่า ถ้าบวชแล้วทำตัวเลว มากกิเลส...ราคะตัณหา..อิจฉา....บ้าอภิญญา...วางตัวไม่สมสมณะตามพระวินัย ฯลฯ หากทำตัวอย่างที่ทรงตรัสไว้อุปมาก็ไม่ต่างจาก เปรียบเหมือน
ดุ้นฟืนจากเชิงตะกอน ที่เผาศพยังมีไฟติดอยู่ทั้งสอง ตรงกลางก็เปื้อนอุจจาระ ย่อมใช้ประโยชน์เป็นไม้ในบ้านเรือนก็ไม่ได้ ย่อมใช้ประโยชน์เป็นไม้ในป่าก็ไม่ได้..
อ่านมาทั้งหมด พอจะเห็นภาพกันมั้ยว่า พระ..... กับ โจรห่มผ้าเหลือง มันต่างกันตรงไหน....
พระองค์ให้เหล่าภิกขุสาวกนำธรรมะของพระองค์เผยแพร่ให้สาธุชน ได้มองเห็นทางแห่งการพ้นทุกข์ ตามหลักอริยสัจ ที่ว่าด้วยมรรคมีองค์แปด ที่ค้นพบและวางไว้ให้เสร็จสรรพ แล้วไง.....สอนกันบ้างมั้ย!?
----- ทำบุญกัน M...... กฐินปีนี้ได้กี่สิบล้าน....สะเดาะเคราะห์......ฆ้อนตอกให้ได้ยินถึงสวรรค์....ธุดงค์เดินเล่นในเมือง..... โยกเงินวัดไปใส่มูลนิธิ...เอาเงินบริจาคไปเล่นหุ้น.....พ่นน้ำหมาก...เสกน้ำมนต์....ทำเครื่องลางของขลังไม่เว้นแม้แต่ธงทีมบอล...นะหน้าทอง..ยันหน้าท้อง....เล่นรถหรู... ฯลฯ
ทั้งหมดที่พูดมา.... เมื่อเกิดข้อเท็จจริงกับคนที่เครื่องแบบแห่งการสละกิเลส..แต่ดันทำมันสารพันเรื่องเลว คิดว่า ควรกล่าวหา "พระ" มั้ยครับ!?
หรือจะหลับหูหลับตา ....สาาาธุ้ กันเป็นนกแก้วนกขุนทอง กันจนตายละครับ ท่านอบุาสก..อุบาสิกา ทั้งหลาย!
แสดงความคิดเห็น
พระไทย... เหยื่อของระบบกล่าวหา...?
ในอดีตพระภิกษุจะได้รับความเคารพและให้เกียรติมากในสังคมหรือจะพูดง่าย ๆ
ก็คือผู้นำสังคมในระดับจุลภาคนั่นเอง
แต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป จากสังคมเกษตรกรรมกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรม
ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัดกับชุมชน ความเคารพที่เคยมีจึงค่อย ๆ เลือนหายไปตาม
สภาพแวดล้อม
ในปัจจุบันเราจึงมักจะเห็นการนำกฎหมายต่าง ๆ มาใช้กับพระโดยไม่ได้คำนึงถึง
หลักรัฐศาสตร์หรือจริยศาสตร์ มุ่งเน้นไปที่หลักนิติศาสตร์ จึงทำให้ลืมนึกไปว่า เป็นเรื่อง
ของความละเอียดอ่อน ที่จะมีผลไปถึงสังคมโดยรวมได้
วันนี้เกิดข่าวที่กระทบจิตใจของลูกศิษย์วัดพระธรรมกายเป็นอย่างยิ่ง คือ มีการ
กล่าวหาว่า หลวงพ่อทัตตชีโวนำเงินบริจาคไปเล่นหุ้น โดยเจ้าหน้าที่ให้ข่าวไปเพียงเพราะ
“เชื่อว่า” มีการกระทำความผิด
หากมองด้วยใจที่เป็นธรรม จะพิจารณาเห็นว่า หลวงพ่อท่านอายุถึง 77 ปีแล้ว
ท่านจะเล่นหุ้นเพื่ออะไร ซึ่งเรื่องนี้ลูกศิษย์ลูกหา ทราบกันดีว่า หลวงพ่อท่านไม่เคยสะสม
ท่านมีชีวิตที่เรียบง่าย แล้วจะมาขวนขวายหาทรัพย์สินเงินทองเพื่ออะไร เป็าหมายที่ท่าน
บวชมามีเพียงประการเดียว คือ การเดินตามรอยบาทพระบรมศาสดา
ยิ่งมองในแง่กฎหมาย ยิ่งจะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ เนื่องจาก
- วัดพระธรรมกายมีระเบียบปฏิบัติอย่างชัดเจนว่า ห้ามพระภิกษุ สามเณร อุบาสก
อุบาสิกา เล่นหุ้น หรือทำธุรกิจต่าง ๆ
- ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ยืนยันว่า พระเล่นหุ้นไม่ได้
และมีการตรวจสอบอย่างชัดเจนในเรื่องที่มาของเงินที่จะมาเล่นหุ้น
วันนี้เริ่มต้นตีข่าวไปก่อน หลายวันเข้าเริ่มฝังความเชื่อให้ผู้เสพสื่อ จากเชื่อก็เริ่ม
วิพากษ์วิจารณ์ แล้วก็จะหาเหตุดึงเข้าสู่กระบวนการอยุติธรรม จนนำไปสู่การหาเรื่องสึกพระ
หรือหากเวลาผ่านไป ในที่สุดบอกว่าท่านบริสุทธิ์ แล้วใครจะรับผิดชอบ
ความเสียหายที่เกิดขึ้น
จากข้อมูลดังกล่าว จึงมีคำถามในหมู่ศิษย์วัดว่า หลวงพ่อทัตตชีโวถูกเบียดเบียน
กลั่นแกล้ง หาคดีให้อีกแล้วหรือนี่ แล้วอีกกี่รูปที่จะถูกกระทำในลักษณะนี้
ผู้ที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น ผู้ที่ออกมาให้ข่าวเรื่องนี้นั่นแหละครับ