สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
เรื่องการซื้อ-ขายหุ้นชินฯ สืบเนื่องมาจนถึงการจะเรียกเก็บภาษีฯ หากจะมองว่าเป็นการกระทำผิด การจะพิจารณาดำเนินการ "เอาผิด" สามารถกระทำได้ใน 2 กรณี ทางใดทางหนึ่งเท่านั้น ตามนี้ครับ
กรณีที่ 1
ถ้าการที่คุณพ่อขายหุ้นให้กับผมเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ศาลพิจารณาว่าเป็นการซื้อ-ขายจริง เท่ากับว่าหุ้นนั้นตกเป็นของผมแล้ว ผมซื้อมาที่ราคาต่ำ ขายไปราคาสูงกว่า เมื่อผมมีกำไรจากการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ หากจะฟ้องร้องเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นในครั้งนั้น ก็น่าจะพอรับฟังได้ เพราะศาลได้ชี้ว่ามีการซื้อ-ขายกันจริงครับ
แต่หากการพิจารณาออกมาในแนวทางนี้ ก็จะถือว่าหุ้นดังกล่าวเป็นของผม ไม่ใช่ของพ่อ กรณีดังกล่าวก็จะยึดทรัพย์คุณพ่อผม 46,000 ล้านไม่ได้
นั่นคือกรณีที่ 1 ซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะศาลได้ตัดสินยึดทรัพย์คุณพ่อผมไปเรียบร้อยแล้ว
กรณีที่ 2
กรณีนี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ที่ศาลพิจารณาว่าคุณพ่อไม่ได้ขายหุ้นนั้นให้กับผม และตีความว่าหุ้นดังกล่าวนั้น ยังคงเป็นของคุณพ่อผมอยู่ ศาลจึงได้ตัดสินให้ยึดเงินจำนวน 46,000 ล้านไป
ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า ในแนวทางการวินิจฉัยนั้น สรุปว่ามิได้มีการซื้อขาย ที่เป็นมูลเหตุให้ต้องเสียภาษีเลย ทรัพย์สินก็ถูกยึดไป ตามจำนวนที่ศาลได้พิจารณาว่าเหมาะสมในการ "เอาผิด" แล้ว
เรื่องนี้มันจบไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ได้มีคำตัดสินไปในแนวทางที่ไม่มีการซื้อ-ขาย ไม่มีการเรียกภาษีกันแล้ว และมีการ "เอาผิด" ไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยการยึดทรัพย์ ไปเป็นจำนวนมหาศาลถึง 46,000 ล้านบาท
อยู่ๆ มาวันนี้ รัฐบาลยังต้องการเอาอะไรจากครอบครัวผมอีก..??
https://www.facebook.com/oakpanthongtae/photos/a.187295081318933.44541.186006744781100/1273666342681796/?type=3
กรณีที่ 1
ถ้าการที่คุณพ่อขายหุ้นให้กับผมเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ศาลพิจารณาว่าเป็นการซื้อ-ขายจริง เท่ากับว่าหุ้นนั้นตกเป็นของผมแล้ว ผมซื้อมาที่ราคาต่ำ ขายไปราคาสูงกว่า เมื่อผมมีกำไรจากการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ หากจะฟ้องร้องเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นในครั้งนั้น ก็น่าจะพอรับฟังได้ เพราะศาลได้ชี้ว่ามีการซื้อ-ขายกันจริงครับ
แต่หากการพิจารณาออกมาในแนวทางนี้ ก็จะถือว่าหุ้นดังกล่าวเป็นของผม ไม่ใช่ของพ่อ กรณีดังกล่าวก็จะยึดทรัพย์คุณพ่อผม 46,000 ล้านไม่ได้
นั่นคือกรณีที่ 1 ซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะศาลได้ตัดสินยึดทรัพย์คุณพ่อผมไปเรียบร้อยแล้ว
กรณีที่ 2
กรณีนี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ที่ศาลพิจารณาว่าคุณพ่อไม่ได้ขายหุ้นนั้นให้กับผม และตีความว่าหุ้นดังกล่าวนั้น ยังคงเป็นของคุณพ่อผมอยู่ ศาลจึงได้ตัดสินให้ยึดเงินจำนวน 46,000 ล้านไป
ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า ในแนวทางการวินิจฉัยนั้น สรุปว่ามิได้มีการซื้อขาย ที่เป็นมูลเหตุให้ต้องเสียภาษีเลย ทรัพย์สินก็ถูกยึดไป ตามจำนวนที่ศาลได้พิจารณาว่าเหมาะสมในการ "เอาผิด" แล้ว
เรื่องนี้มันจบไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ได้มีคำตัดสินไปในแนวทางที่ไม่มีการซื้อ-ขาย ไม่มีการเรียกภาษีกันแล้ว และมีการ "เอาผิด" ไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยการยึดทรัพย์ ไปเป็นจำนวนมหาศาลถึง 46,000 ล้านบาท
อยู่ๆ มาวันนี้ รัฐบาลยังต้องการเอาอะไรจากครอบครัวผมอีก..??
https://www.facebook.com/oakpanthongtae/photos/a.187295081318933.44541.186006744781100/1273666342681796/?type=3
แสดงความคิดเห็น
เก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป เพราะ ซื้อนอกตลาดราคาหุ้นละ 1บาท และเอาไปขายในตลาด 49บาท
วันนี้ (16 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกออนไลน์ ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โพสต์ข้อความทางเพจ “Kamnoon Sidhisamarn” กรณีที่รัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งกำลังจะหมดอายุความในสิ้นเดือนนี้ และกำลังเป็นที่สนใจของสังคม โดยสมาชิก สนช. ระบุรายละเอียดเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
รัฐไม่ได้เรียกเก็บภาษีจากรายได้การขายหุ้นในตลาดฯเมื่อปี 2549 เพราะทุกคนได้รับการยกเว้นภาระภาษีเท่าเทียมกันหมด แต่เรียกเก็บจากรายได้ที่เป็นส่วนต่างของหุ้นจำนวนมหาศาลที่ได้มาก่อนจากการซื้อนอกตลาดฯแบบไม่น่าจะเป็นไปได้ในราคาหุ้นละ 1 บาทแล้วเอาไปขายในตลาดฯในราคาหุ้นละ 49 กว่าบาทต่างหาก และหุ้นมูลเหตุจำนวนมหาศาลนั้นไม่ได้เป็นของลูกชายและลูกสาว แต่เป็นของพ่อ
"ทั้งนี้จากคำพิพากษาศาลฎีกาฯต้นปี 2553 ส่วนที่ว่าข้าราชการกระทรวงการคลังเคยตอบข้อหารือในปี 2548 ว่าการกระทำเช่นนี้ คือซื้อหุ้นนอกตลาดฯในราคาถูกแล้วไปขายในตลาดฯในราคาแพงกว่าหลายเท่า ไม่เกิดภาระภาษีขึ้นนั้น ศาลอาญาก็ได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกข้าราชการกลุ่มนั้นแล้วเมื่อปี 2559 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เข้าใจตรงกันนะ" สมาชิก สนช. ระบุทิ้งท้าย
อารมณ์ เคนหล้า สำนักข่าว Tnews
http://www.tnews.co.th/contents/bg/305557