.
อากาศใกล้ค่ำร้อนอบอ้าว พัดลมเก่าแก่บนเพดานหมุนคร่ำครวญอย่างเกียจคร้าน พอกับสภาวะทางอารมณ์ของจิตแพทย์หนุ่มผู้ถูกกักขังในห้องทำงาน กรอบสี่เหลี่ยมดูเหมือนจะตั้งใจกั้นเขาเอาไว้จากโลกภายนอก ความจริง ความเท็จ หรืออะไรก็ตาม กรอบหน้าต่างเหมือนเป็นจอทีวี แสดงเรื่องราวมากมาย ที่ไม่มีความจำเป็นต้องไปดูหรือรับรู้อะไรเลย
เสียงคนป่วยทางจิตสองสามคนตะโกนลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาอย่างจับใจความไม่ค่อยได้ บางทีพวกเขาอาจกำลังคุยอยู่กับต้นไม้ หรืออภิปรายปัญหาทางการเมืองอยู่กับกิ้งก่าตุ๊กแกแถวนั้นก็เป็นได้ คุณหมอหนุ่มพยายามไม่สนใจอะไร เอนหลังกับพนักพิงเก้าอี้ มือประสานท้ายทอย หลับตา และฟังโลก แต่เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงยุงหลายตัวกำลังบินวนเวียนข้างหู รอเวลาหาจังหวะโฉบลงมากัดเกาะดื่มดูดเลือดเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวยุง เขามองนาฬิกาข้างผนัง ในใจคิดว่ายังพอมีเวลาก่อนออกเดินทางไปพบนัดพร้อมอาหารมื้อค่ำกับพยาบาลสาวคนสวย แน่นอนว่าเธอไม่ได้บ้า...แต่เธอทะลึ่งมีครอบครัวแล้ว เขาคิดบ้าอะไรอยู่นี่....
บันทึกของคนไข้โรคจิตในมือคงทำให้การรอคอยไม่น่าเบื่อเกินไป ดังนั้นจิตแพทย์หนุ่มจึงเริ่มพลิกอ่าน....
ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ไม่มีเคยมีใครเชื่อในสิ่งที่ผมบอกเล่า ก็ไม่แปลกอะไรหรอกครับ เพราะถ้าเป็นผม มีคนมาเล่าให้ฟังอย่างเรื่องต่อไปนี้ ก็คงยากจะเชื่อเช่นกัน ไม่ได้มีเรื่องราวโลดโผนโจนทะยานอะไรหรอกครับ เผลอๆ เป็นเรื่องของคนบ้าด้วยซ้ำไป
เธอกลับมาหาผมในคืนฝนตกหนัก
ฝนตกหนักเหมือนคืนที่เธอขับรถยนต์ส่วนตัวไปทำธุระต่างเมือง แล้วคนทั้งรถพากันตกลงไปในหุบเหวข้างทางคดเคี้ยว รถกลายเป็นเศษเหล็ก คนกลายเป็นคราบสังขารไร้ชีวิต ผมกลายเป็นคนอนาคตมืดดำ ความตายความสูญเสียเปลี่ยนชีวิตและโลกของผมไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากคืนนั้นเป็นต้นมา ชีวิตที่เหลือของผมก็เหมือนตกอยู่ในห้วงเหวแห่งความมืดมนอนธการ ผู้คนผ่านไปมาดูเลือนรางคล้ายความฝัน เสียงปลอบโยนเสียงซักถามผ่านไปราวมายาภาพ หลังความทุกข์โศกยาวนานจากการสูญเสียครั้งใหญ่ ผมทำได้แค่จัดการให้ร่างกายกับวิญญาณอยู่ด้วยกันแบบไร้จุดหมาย ในบ้านแห่งความทรงจำคอยหลอกหลอน เราเคยอยู่ด้วยกันสองคนอย่างอบอุ่นและมีความสุข มันกลายเป็นความทรงจำรวดร้าว สุดท้ายผมต้องยอมรับว่า เธอกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วกับเปลวไฟและกลุ่มควัน ทิ้งผมไว้กับความเศร้าโศกซึ่งแม้แต่พระเจ้าก็ไม่มีวันเข้าใจ
แต่ในที่สุด เธอก็กลับมา
เสียงกดกริ่งประตูหน้าบ้านเป็นจังหวะสั้นยาวสลับกัน เหมือนรหัสลับแทรกเสียงลมฝนกลางดึก ปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย จำได้ว่าเสียงกดกริ่งลักษณะนั้นเป็นรหัสของเธออย่างแน่นอน เราทั้งคู่ต่างมีรหัสรูปแบบเฉพาะตัวในการกดกริ่งประตูบ้านเพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่คนอื่นแปลกปลอมเข้ามา
วูบแรก ผมขนลุก.... ถ้าคุณทราบว่าคนตายไปแล้ว กำลังมาเคาะประตูหน้าห้องคุณอยู่ คุณจะรู้สึกอย่างไร
ผมตัวเย็นเฉียบ ขนลุกเกรียว แต่ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว มันอาจเป็นเพียงปฏิกิริยาธรรมชาติทางอารมณ์พื้นฐาน แต่บางทีผมอาจคิดถึงเธอมากเกินไป จนจิตใจก้าวข้ามธรรมชาติพื้นฐานของคนเราอย่างควรจะเป็นไปแล้วก็เป็นได้ จึงยังคงนอนฟังต่อไปด้วยใจเต้นระทึก
เสียงกดกริ่งยังดังขึ้นอีก คราวนี้ได้ยินชัดเจน ยามมีชีวิตรักปานจะกลืนกิน ยามเสียชีวิตกลับพากันหวาดกลัวโดยไม่มีเหตุผล แต่กับผมแล้วหลังจากนอนตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ก็กระโจนตัวลอยไปออกจากบ้านอย่างไม่สนใจสายฝน ตรงไปยังประตูรั้วหน้าบ้าน อย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ทำไมจะต้องกลัวคนที่เราครุ่นคิดถึงคะนึงหาแทบทุกลมหายใจด้วยล่ะ ทำไมต้องหวาดกลัวคนที่แสนรักไปเพียงเพราะเธอ “ตาย” ไปแล้ว เท่านั้น ความตายทำไมจะต้องสร้างช่องว่างระหว่างคนเป็นกับคนตายจนเวิ้งว้างกว้างไกล
เธอยืนอยู่หน้าประตูรั้วในแสงสลัว เนื้อตัวเสื้อผ้าเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน ท่าทางมึนงงสับสน
“จอย” ผมร้องเรียกชื่อเธอเสียงดังด้วยความดีใจ โลกทั้งโลกหมุนคว้างเป็นกังหันโดยมีเราสองถูกตอกตรึงอยู่กับกาลเวลาพัดผ่าน ความยินดีวิ่งผ่านร่างกายและจิตใจของผมราวสายฝนแห่งความหวัง ทำให้วิญญาณก่อตัวและพลิกฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง เธอจะเป็นอะไรก็ตาม แต่นั่นเป็นเธอชัด ๆ และไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้ ผมดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนกอดไว้ด้วยพลังใจพลังกายทั้งหมดประหนึ่งเกรงว่าเธอจะเป็นเพียงภาพฝันแล้วละลายจางหายไปกับสายลมและแสงเงินแสงทองแห่งอรุณรุ่ง รู้สึกและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความมีชีวิตจากร่างในอ้อมแขน เธออบอุ่นและมีพลังแห่งชีวิต
วูบหนึ่งผมหวนคิดถึงเรื่องเล่าและเรื่องราวมากมายที่เคยได้ยินได้ฟัง เกี่ยวกับภูตผีปีศาจ แต่เธอไม่มีอะไรเหมือนอย่างนั้นเลย ตัวไม่ได้เย็นเฉียบเหมือนคนตายแม้จะอยู่กลางสายฝน ไม่มีกลิ่นสาบสาง เพียงมีกลิ่นหอมจางๆอันแสนคุ้นเคย และยังคงความมีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจเช่นคนธรรมดาไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ผมไม่มีเวลาคิดหาเหตุผลใดๆทั้งสิ้น นีบประคองร่างกำลังสั่นเทาไปด้วยความหนาวเข้ามาในบ้าน รีบจัดการดูแลเธออย่างควรจะทำ หาผ้าสะอาดมาเช็ดตัวก่อนพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอันเปียกโชก หากาแฟร้อนๆและอาหารให้ ปฏิบัติต่อเธออย่างดีที่สุด ไม่นานเธอก็มานอนบนเตียงภายใต้ใต้ผ้าห่มอบอุ่น
ดูเหมือนเธอจะเพลียและไม่สบาย หลังจากการทักทายกันไม่กี่คำ เธอก็หลับไป ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ดึงมือข้างหนึ่งของเธอมากุมไว้ให้แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ไม่ใช่ความฝันและไม่ได้บ้าฟั่นเฟือนไปจนเห็นเป็นตุเป็นตะ ร่างที่นอนหลับอยู่บนเตียงยืนยันชัดเจนและไร้ข้อกังขาใดๆ เกี่ยวกับความมีตัวตนของเธอ .ใฃ่แล้ว...เป็นความจริงแท้แน่นอนที่สุด แล้วยังจะคิดอะไรมากมาย
ควรจะปล่อยให้เธอหลับพักผ่อนสักระยะ รุ่งเช้าค่อยถามความเป็นมากันดีกว่า เพราะเวลานี้คำถามต่างๆ มากมายเริ่มวิ่งเรียงหน้าเข้ามาในความคิด เริ่มจากว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ... เธอตายไปแล้ว และถูกเผามอดไหม้ไร้ตัวตนไปเมื่อหลายวันก่อน แล้วกลับมาในสภาพปกติได้อย่างไร เธอเป็นผีปีศาจหรือผมมีอาการฟั่นเฟือนไปเอง แต่ถ้าฟั่นเฟือนสัมผัสรับรู้ต่างๆ จะชัดเจนเพียงนี้เชียวหรือ ถึงเวลากลางวันแสงแดดสาดส่องเธอยังจะคงอยู่ได้หรือไม่.... หรือจะสลายกลายเป็นอากาศธาตุ เหมือนในหนังสยองขวัญ
หรือเธอจะเป็นภูตผีปีศาจจริง ๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่รัก... อย่าเพิ่งหายไปไหน อยู่กับผมต่อไป เท่านี้ก็เพียงพอ ถึงเธอจะเป็นผีปีศาจ ผมก็พร้อมทำใจยอมรับคุณ
แสงแดดตอนเช้าปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาในตอนสาย คงเผลอหลับไปในค่อนรุ่งหลังจากอดทนนั่งเฝ้าดูเธอทั้งคืน พยายามเต็มที่ในการฝืนใจไม่ปล่อยให้ตัวเองหลับเพราะเกรงว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว เธอจะหายไปจากเศษเสี้ยวชีวิตหลงเหลือ แต่สุดท้ายก็เผลอหลับไปจนได้ในสภาพนั่งเก้าอี้ฟุบอยู่กับเตียง และตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าในมือว่างเปล่า
เธอหายไปแล้ว หรือเธอเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ผมร้องสุดเสียงเหมือนสัตว์ได้รับบาดเจ็บ เหมือนคนวิญญาณได้รับความเจ็บปวดแทบบ้าและถูกกระชากลากถูลงสู่ขุมนรก
ไม่นะ....กลับมาที่รัก....
เป็นอะไรไปคะ...” เสียงใส ๆ และกับร่างที่โผล่ออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าท่าทางตกอกตกใจ ผมชะงัก มองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองก่อนกระโจนกอดเธอไว้เต็มวงแขน
“จอย คุณยังอยู่จริง ๆ ด้วย คุณยังอยู่” ผมพร่ำกระซิบเหมือนคนบ้าและอาการดีใจของผมก็คงคล้ายคนบ้าเต็มที เธอทำท่าทางขวนเขินก่อนอธิบายว่า
“พอตื่นขึ้นมาเห็นคุณหลับอยู่ข้างเตียง ก็เลยย่องมาอาบน้ำ ไม่อยากปลุกคุณ ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย ทำไมโวยวายยังกับใครจะเป็นจะตายแบบนี้ล่ะคะ”
“ผมนึกว่าคุณหายไปแล้ว”
“หายไปไหนคะ” เธอถามอย่างแปลกใจ มองด้วยสายตาสงสัยกับคำพูดและพฤติกรรมประหลาดของผม ที่จริงผมต่างหากควรจะรู้สึกแปลก ๆ กับเธอมากกว่า จอยเดินตรงไปยังหน้าต่างทำท่าจะเปิดผ้าม่านออก
“อย่า...” ผมร้องสุดเสียง กระโดดไปคว้ามือเธอไว้ ภาพจากหนังสยองขวัญหลายเรื่องที่เคยดู ภูตผีปีศาจทั้งหลายพอกระทบกับแสงแดดจะสลายตัวไปกลายเป็นอากาศธาตุ เกรงเหลือเกินว่าเหตุการณ์อย่างนั้นจะเกิดขึ้นกับเธอ แม้ว่าผมเองก็ไม่แน่ใจว่า “เธอ” เป็นอะไรกันแน่ เธอมองผมด้วยความแปลกใจอีกครั้ง
“อากาศในห้องมันทึบ ๆ มืด ๆ จอยจะเปิดให้แสงเข้ามาบ้าง ว่าแต่มีอะไรเหรอคะ”
ผมอึกอัก จะตอบได้อย่างไรว่ากลัวเธอละลายหายไปกับแสงแดด ทั้งที่มีเหตุผลจะคิดแบบนั้น แต่มันคงฟังดูบ้าพิลึก
“เอ๊ะ .. หรือว่าคุณกลายเป็นแวมไพร์ โดนแสงแดดไม่ได้” เธอยังมีแก่ใจยั่วเย้าและก่อนผมจะคิดจะทำอะไรเธอก็เปิดผ้าม่านออกรับแสงแดดยามเช้าให้สาดส่องผ่านหน้าต่างสว่างกระจ่างชัด ลูบไล้ผิวกายเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลและมีชีวิต เงาของเธอทาบพื้นและผนังชัดเจน ใช่แล้ว เธอมีเงา มีตัวตน ไม่ละลายหายไปกับแสงแดดแผดเผา
ผมหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ผวาไปกอดเธอไว้แนบแน่น สุดที่รัก....เธอมีตัวตน มีชีวิต
“ทำไมวันนี้คุณดูแปลกไปนะ อยู่ดี ๆ ก็หัวเราะดีใจอะไรกัน แค่เปิดม่านเท่านั้น”
โธ่...ที่รัก ผมจะบอกคุณได้อย่างไรกันว่าดีใจกับการที่คุณโดนแสงแดดแล้วไม่ละลาย ถ้าขืนบอกอย่างนั้นจริงผมคงจะกลายเป็นคนบ้าในสายตาเธอไปแล้ว แม้ว่ามีเหตุผลจะคิดจะบอกเช่นนั้นก็ตาม ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงวันหยุด และความวุ่นวายสับสนภายในใจปะทุคุกรุ่นกับคำถามมากมายเพื่อพยายามค้นหาคำตอบจากความว่างเปล่า เธอไม่ได้สลายละลายเป็นอากาศ เธอมีชีวิตจิตใจ มีตัวตนจนเกินจะเป็นภูตผีปีศาจ
“ฉันจะไปทำงาน”
คำพูดชวนระทึกตอนเช้าของเธอในวันต่อมา เธอจะไปทำงาน ผมไม่อยากเชื่อเลย ทำงานหมายถึงต้องออกสู่สังคมภายนอก สังคมซึ่งยอมรับแล้วว่า “เธอ” ตายไปแล้ว ดังนั้นคนตายไปแล้วจะเดินหน้าตาเฉยไปทำงานซึ่งตัวเองเคยทำได้อย่างไรกัน คุณลองนึกสภาพวุ่นวายนั้นดูและคงพอนึกภาพออกและคงจะเห็นว่ามันโกลาหลเพียงใด
“จอย คุณไม่ต้องไปไหนนะ” ผมค้านเสียงแข็งกับคำพูดและแววตาฉงนของเธอ เริ่มรู้สึกถึงสถานการณ์เลวร้าย
“ทำไมล่ะคะ มีปัญหาอะไรคะ” เธอถามผมด้วยน้ำเสียงผสมผสานกับสีหน้าท่าทางอันเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ เหมือนกับว่าเธอตื่นนอนขึ้นมาแล้วพบกับโลกและสังคมเปลี่ยนไปมากจนยากแก่การเข้าใจรับรู้ ไม่มีสังคมไหนยอมรับ “คนตายไปแล้ว” และ “เดินกลับมาทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” อย่างแน่นอน และคงจะไม่มีใครทำนายถึงผลอันจะตามมาได้
จบบทที่หนึ่งเด้อ
เนิ้อหา ก็ยังคงวนเวียนกับความหลอน บ้า เพี้ยน เช่นเคย เด้อ
ขอเพียง รัก แม้จะหลอน
อากาศใกล้ค่ำร้อนอบอ้าว พัดลมเก่าแก่บนเพดานหมุนคร่ำครวญอย่างเกียจคร้าน พอกับสภาวะทางอารมณ์ของจิตแพทย์หนุ่มผู้ถูกกักขังในห้องทำงาน กรอบสี่เหลี่ยมดูเหมือนจะตั้งใจกั้นเขาเอาไว้จากโลกภายนอก ความจริง ความเท็จ หรืออะไรก็ตาม กรอบหน้าต่างเหมือนเป็นจอทีวี แสดงเรื่องราวมากมาย ที่ไม่มีความจำเป็นต้องไปดูหรือรับรู้อะไรเลย
เสียงคนป่วยทางจิตสองสามคนตะโกนลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาอย่างจับใจความไม่ค่อยได้ บางทีพวกเขาอาจกำลังคุยอยู่กับต้นไม้ หรืออภิปรายปัญหาทางการเมืองอยู่กับกิ้งก่าตุ๊กแกแถวนั้นก็เป็นได้ คุณหมอหนุ่มพยายามไม่สนใจอะไร เอนหลังกับพนักพิงเก้าอี้ มือประสานท้ายทอย หลับตา และฟังโลก แต่เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงยุงหลายตัวกำลังบินวนเวียนข้างหู รอเวลาหาจังหวะโฉบลงมากัดเกาะดื่มดูดเลือดเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวยุง เขามองนาฬิกาข้างผนัง ในใจคิดว่ายังพอมีเวลาก่อนออกเดินทางไปพบนัดพร้อมอาหารมื้อค่ำกับพยาบาลสาวคนสวย แน่นอนว่าเธอไม่ได้บ้า...แต่เธอทะลึ่งมีครอบครัวแล้ว เขาคิดบ้าอะไรอยู่นี่....
บันทึกของคนไข้โรคจิตในมือคงทำให้การรอคอยไม่น่าเบื่อเกินไป ดังนั้นจิตแพทย์หนุ่มจึงเริ่มพลิกอ่าน....
ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ไม่มีเคยมีใครเชื่อในสิ่งที่ผมบอกเล่า ก็ไม่แปลกอะไรหรอกครับ เพราะถ้าเป็นผม มีคนมาเล่าให้ฟังอย่างเรื่องต่อไปนี้ ก็คงยากจะเชื่อเช่นกัน ไม่ได้มีเรื่องราวโลดโผนโจนทะยานอะไรหรอกครับ เผลอๆ เป็นเรื่องของคนบ้าด้วยซ้ำไป
เธอกลับมาหาผมในคืนฝนตกหนัก
ฝนตกหนักเหมือนคืนที่เธอขับรถยนต์ส่วนตัวไปทำธุระต่างเมือง แล้วคนทั้งรถพากันตกลงไปในหุบเหวข้างทางคดเคี้ยว รถกลายเป็นเศษเหล็ก คนกลายเป็นคราบสังขารไร้ชีวิต ผมกลายเป็นคนอนาคตมืดดำ ความตายความสูญเสียเปลี่ยนชีวิตและโลกของผมไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากคืนนั้นเป็นต้นมา ชีวิตที่เหลือของผมก็เหมือนตกอยู่ในห้วงเหวแห่งความมืดมนอนธการ ผู้คนผ่านไปมาดูเลือนรางคล้ายความฝัน เสียงปลอบโยนเสียงซักถามผ่านไปราวมายาภาพ หลังความทุกข์โศกยาวนานจากการสูญเสียครั้งใหญ่ ผมทำได้แค่จัดการให้ร่างกายกับวิญญาณอยู่ด้วยกันแบบไร้จุดหมาย ในบ้านแห่งความทรงจำคอยหลอกหลอน เราเคยอยู่ด้วยกันสองคนอย่างอบอุ่นและมีความสุข มันกลายเป็นความทรงจำรวดร้าว สุดท้ายผมต้องยอมรับว่า เธอกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วกับเปลวไฟและกลุ่มควัน ทิ้งผมไว้กับความเศร้าโศกซึ่งแม้แต่พระเจ้าก็ไม่มีวันเข้าใจ
แต่ในที่สุด เธอก็กลับมา
เสียงกดกริ่งประตูหน้าบ้านเป็นจังหวะสั้นยาวสลับกัน เหมือนรหัสลับแทรกเสียงลมฝนกลางดึก ปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย จำได้ว่าเสียงกดกริ่งลักษณะนั้นเป็นรหัสของเธออย่างแน่นอน เราทั้งคู่ต่างมีรหัสรูปแบบเฉพาะตัวในการกดกริ่งประตูบ้านเพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่คนอื่นแปลกปลอมเข้ามา
วูบแรก ผมขนลุก.... ถ้าคุณทราบว่าคนตายไปแล้ว กำลังมาเคาะประตูหน้าห้องคุณอยู่ คุณจะรู้สึกอย่างไร
ผมตัวเย็นเฉียบ ขนลุกเกรียว แต่ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว มันอาจเป็นเพียงปฏิกิริยาธรรมชาติทางอารมณ์พื้นฐาน แต่บางทีผมอาจคิดถึงเธอมากเกินไป จนจิตใจก้าวข้ามธรรมชาติพื้นฐานของคนเราอย่างควรจะเป็นไปแล้วก็เป็นได้ จึงยังคงนอนฟังต่อไปด้วยใจเต้นระทึก
เสียงกดกริ่งยังดังขึ้นอีก คราวนี้ได้ยินชัดเจน ยามมีชีวิตรักปานจะกลืนกิน ยามเสียชีวิตกลับพากันหวาดกลัวโดยไม่มีเหตุผล แต่กับผมแล้วหลังจากนอนตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ก็กระโจนตัวลอยไปออกจากบ้านอย่างไม่สนใจสายฝน ตรงไปยังประตูรั้วหน้าบ้าน อย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ทำไมจะต้องกลัวคนที่เราครุ่นคิดถึงคะนึงหาแทบทุกลมหายใจด้วยล่ะ ทำไมต้องหวาดกลัวคนที่แสนรักไปเพียงเพราะเธอ “ตาย” ไปแล้ว เท่านั้น ความตายทำไมจะต้องสร้างช่องว่างระหว่างคนเป็นกับคนตายจนเวิ้งว้างกว้างไกล
เธอยืนอยู่หน้าประตูรั้วในแสงสลัว เนื้อตัวเสื้อผ้าเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน ท่าทางมึนงงสับสน
“จอย” ผมร้องเรียกชื่อเธอเสียงดังด้วยความดีใจ โลกทั้งโลกหมุนคว้างเป็นกังหันโดยมีเราสองถูกตอกตรึงอยู่กับกาลเวลาพัดผ่าน ความยินดีวิ่งผ่านร่างกายและจิตใจของผมราวสายฝนแห่งความหวัง ทำให้วิญญาณก่อตัวและพลิกฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง เธอจะเป็นอะไรก็ตาม แต่นั่นเป็นเธอชัด ๆ และไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้ ผมดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนกอดไว้ด้วยพลังใจพลังกายทั้งหมดประหนึ่งเกรงว่าเธอจะเป็นเพียงภาพฝันแล้วละลายจางหายไปกับสายลมและแสงเงินแสงทองแห่งอรุณรุ่ง รู้สึกและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความมีชีวิตจากร่างในอ้อมแขน เธออบอุ่นและมีพลังแห่งชีวิต
วูบหนึ่งผมหวนคิดถึงเรื่องเล่าและเรื่องราวมากมายที่เคยได้ยินได้ฟัง เกี่ยวกับภูตผีปีศาจ แต่เธอไม่มีอะไรเหมือนอย่างนั้นเลย ตัวไม่ได้เย็นเฉียบเหมือนคนตายแม้จะอยู่กลางสายฝน ไม่มีกลิ่นสาบสาง เพียงมีกลิ่นหอมจางๆอันแสนคุ้นเคย และยังคงความมีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจเช่นคนธรรมดาไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ผมไม่มีเวลาคิดหาเหตุผลใดๆทั้งสิ้น นีบประคองร่างกำลังสั่นเทาไปด้วยความหนาวเข้ามาในบ้าน รีบจัดการดูแลเธออย่างควรจะทำ หาผ้าสะอาดมาเช็ดตัวก่อนพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอันเปียกโชก หากาแฟร้อนๆและอาหารให้ ปฏิบัติต่อเธออย่างดีที่สุด ไม่นานเธอก็มานอนบนเตียงภายใต้ใต้ผ้าห่มอบอุ่น
ดูเหมือนเธอจะเพลียและไม่สบาย หลังจากการทักทายกันไม่กี่คำ เธอก็หลับไป ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ดึงมือข้างหนึ่งของเธอมากุมไว้ให้แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ไม่ใช่ความฝันและไม่ได้บ้าฟั่นเฟือนไปจนเห็นเป็นตุเป็นตะ ร่างที่นอนหลับอยู่บนเตียงยืนยันชัดเจนและไร้ข้อกังขาใดๆ เกี่ยวกับความมีตัวตนของเธอ .ใฃ่แล้ว...เป็นความจริงแท้แน่นอนที่สุด แล้วยังจะคิดอะไรมากมาย
ควรจะปล่อยให้เธอหลับพักผ่อนสักระยะ รุ่งเช้าค่อยถามความเป็นมากันดีกว่า เพราะเวลานี้คำถามต่างๆ มากมายเริ่มวิ่งเรียงหน้าเข้ามาในความคิด เริ่มจากว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ... เธอตายไปแล้ว และถูกเผามอดไหม้ไร้ตัวตนไปเมื่อหลายวันก่อน แล้วกลับมาในสภาพปกติได้อย่างไร เธอเป็นผีปีศาจหรือผมมีอาการฟั่นเฟือนไปเอง แต่ถ้าฟั่นเฟือนสัมผัสรับรู้ต่างๆ จะชัดเจนเพียงนี้เชียวหรือ ถึงเวลากลางวันแสงแดดสาดส่องเธอยังจะคงอยู่ได้หรือไม่.... หรือจะสลายกลายเป็นอากาศธาตุ เหมือนในหนังสยองขวัญ
หรือเธอจะเป็นภูตผีปีศาจจริง ๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่รัก... อย่าเพิ่งหายไปไหน อยู่กับผมต่อไป เท่านี้ก็เพียงพอ ถึงเธอจะเป็นผีปีศาจ ผมก็พร้อมทำใจยอมรับคุณ
แสงแดดตอนเช้าปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาในตอนสาย คงเผลอหลับไปในค่อนรุ่งหลังจากอดทนนั่งเฝ้าดูเธอทั้งคืน พยายามเต็มที่ในการฝืนใจไม่ปล่อยให้ตัวเองหลับเพราะเกรงว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว เธอจะหายไปจากเศษเสี้ยวชีวิตหลงเหลือ แต่สุดท้ายก็เผลอหลับไปจนได้ในสภาพนั่งเก้าอี้ฟุบอยู่กับเตียง และตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าในมือว่างเปล่า
เธอหายไปแล้ว หรือเธอเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ผมร้องสุดเสียงเหมือนสัตว์ได้รับบาดเจ็บ เหมือนคนวิญญาณได้รับความเจ็บปวดแทบบ้าและถูกกระชากลากถูลงสู่ขุมนรก
ไม่นะ....กลับมาที่รัก....
เป็นอะไรไปคะ...” เสียงใส ๆ และกับร่างที่โผล่ออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าท่าทางตกอกตกใจ ผมชะงัก มองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองก่อนกระโจนกอดเธอไว้เต็มวงแขน
“จอย คุณยังอยู่จริง ๆ ด้วย คุณยังอยู่” ผมพร่ำกระซิบเหมือนคนบ้าและอาการดีใจของผมก็คงคล้ายคนบ้าเต็มที เธอทำท่าทางขวนเขินก่อนอธิบายว่า
“พอตื่นขึ้นมาเห็นคุณหลับอยู่ข้างเตียง ก็เลยย่องมาอาบน้ำ ไม่อยากปลุกคุณ ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย ทำไมโวยวายยังกับใครจะเป็นจะตายแบบนี้ล่ะคะ”
“ผมนึกว่าคุณหายไปแล้ว”
“หายไปไหนคะ” เธอถามอย่างแปลกใจ มองด้วยสายตาสงสัยกับคำพูดและพฤติกรรมประหลาดของผม ที่จริงผมต่างหากควรจะรู้สึกแปลก ๆ กับเธอมากกว่า จอยเดินตรงไปยังหน้าต่างทำท่าจะเปิดผ้าม่านออก
“อย่า...” ผมร้องสุดเสียง กระโดดไปคว้ามือเธอไว้ ภาพจากหนังสยองขวัญหลายเรื่องที่เคยดู ภูตผีปีศาจทั้งหลายพอกระทบกับแสงแดดจะสลายตัวไปกลายเป็นอากาศธาตุ เกรงเหลือเกินว่าเหตุการณ์อย่างนั้นจะเกิดขึ้นกับเธอ แม้ว่าผมเองก็ไม่แน่ใจว่า “เธอ” เป็นอะไรกันแน่ เธอมองผมด้วยความแปลกใจอีกครั้ง
“อากาศในห้องมันทึบ ๆ มืด ๆ จอยจะเปิดให้แสงเข้ามาบ้าง ว่าแต่มีอะไรเหรอคะ”
ผมอึกอัก จะตอบได้อย่างไรว่ากลัวเธอละลายหายไปกับแสงแดด ทั้งที่มีเหตุผลจะคิดแบบนั้น แต่มันคงฟังดูบ้าพิลึก
“เอ๊ะ .. หรือว่าคุณกลายเป็นแวมไพร์ โดนแสงแดดไม่ได้” เธอยังมีแก่ใจยั่วเย้าและก่อนผมจะคิดจะทำอะไรเธอก็เปิดผ้าม่านออกรับแสงแดดยามเช้าให้สาดส่องผ่านหน้าต่างสว่างกระจ่างชัด ลูบไล้ผิวกายเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลและมีชีวิต เงาของเธอทาบพื้นและผนังชัดเจน ใช่แล้ว เธอมีเงา มีตัวตน ไม่ละลายหายไปกับแสงแดดแผดเผา
ผมหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ผวาไปกอดเธอไว้แนบแน่น สุดที่รัก....เธอมีตัวตน มีชีวิต
“ทำไมวันนี้คุณดูแปลกไปนะ อยู่ดี ๆ ก็หัวเราะดีใจอะไรกัน แค่เปิดม่านเท่านั้น”
โธ่...ที่รัก ผมจะบอกคุณได้อย่างไรกันว่าดีใจกับการที่คุณโดนแสงแดดแล้วไม่ละลาย ถ้าขืนบอกอย่างนั้นจริงผมคงจะกลายเป็นคนบ้าในสายตาเธอไปแล้ว แม้ว่ามีเหตุผลจะคิดจะบอกเช่นนั้นก็ตาม ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงวันหยุด และความวุ่นวายสับสนภายในใจปะทุคุกรุ่นกับคำถามมากมายเพื่อพยายามค้นหาคำตอบจากความว่างเปล่า เธอไม่ได้สลายละลายเป็นอากาศ เธอมีชีวิตจิตใจ มีตัวตนจนเกินจะเป็นภูตผีปีศาจ
“ฉันจะไปทำงาน”
คำพูดชวนระทึกตอนเช้าของเธอในวันต่อมา เธอจะไปทำงาน ผมไม่อยากเชื่อเลย ทำงานหมายถึงต้องออกสู่สังคมภายนอก สังคมซึ่งยอมรับแล้วว่า “เธอ” ตายไปแล้ว ดังนั้นคนตายไปแล้วจะเดินหน้าตาเฉยไปทำงานซึ่งตัวเองเคยทำได้อย่างไรกัน คุณลองนึกสภาพวุ่นวายนั้นดูและคงพอนึกภาพออกและคงจะเห็นว่ามันโกลาหลเพียงใด
“จอย คุณไม่ต้องไปไหนนะ” ผมค้านเสียงแข็งกับคำพูดและแววตาฉงนของเธอ เริ่มรู้สึกถึงสถานการณ์เลวร้าย
“ทำไมล่ะคะ มีปัญหาอะไรคะ” เธอถามผมด้วยน้ำเสียงผสมผสานกับสีหน้าท่าทางอันเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ เหมือนกับว่าเธอตื่นนอนขึ้นมาแล้วพบกับโลกและสังคมเปลี่ยนไปมากจนยากแก่การเข้าใจรับรู้ ไม่มีสังคมไหนยอมรับ “คนตายไปแล้ว” และ “เดินกลับมาทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” อย่างแน่นอน และคงจะไม่มีใครทำนายถึงผลอันจะตามมาได้
จบบทที่หนึ่งเด้อ
เนิ้อหา ก็ยังคงวนเวียนกับความหลอน บ้า เพี้ยน เช่นเคย เด้อ