สวัสดีเพื่อนสมาชิก Pantip ทุกๆท่านครับ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสพาลูกชายไปจับฉลากที่โรงเรียนรัฐแห่งนึง เพื่อเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาล 1
ย้อนหลังสักอาทิตย์ก่อวันจับฉลาก ก็ไปพาน้องไปสมัครเรียบร้อย มีขั้นตอนการสัมภาษณ์ผู้ปกครอง และ สัมภาษณ์ตัวน้องเอง
และมีการทดสอบเล็กๆน้อย เช่น ให้เขียนเลข เขียน ABC และวาดรูป พูดคุยโดยคุณครูครับ
ข้ามกลับมาวันจับฉลาก มีคนสมัครทั้งหมด 260 รับทั้งหมด 150 คน
เทียบแล้วโอกาสได้มีมากกว่าไม่ได้ สบายใจไปหนึ่งเปราะ
ลงทะเบียนรับบัตรคิว ป้ายแขวนคอน้อง ก็พาน้องเดินวิ่งเล่นในโรงเรียน รอเวลาจับฉลาก
น้องที่ได้คิวที่ 1 มาถึงโรงเรียนตั้งแต่หกโมงเช้า นับถือผู้ปกครองและตัวน้องจริงๆครับ ส่วนผมไปถึงประมาณ 7.30 น
ถึงเวลาสำคัญ ผู้ปกครองเข้าได้หนึ่งคนพร้อมกับน้อง ตรงนี้นัดแนะกันให้ดีครับ ว่าใครจะเป็นคนเข้า ใครจะรออยู่ด้านนอก ซึ่งมีทีวีถ่ายออกมาให้ดูกันด้วย
หลังจากท่าน ผอ โรงเรียนได้กล่าวเปิด ซึ่งพูดไว้ค่อนข้างดีเกี่ยวกับคนที่อาจจะจับไม่ได้ ก็ไม่ต้องเครียด โรงเรียนมีเพียงพอ
แม้ว่าคุณภาพยังต่างกันไปบ้าง เทียบไม่ได้กับประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น สิงค์โปร์ เกาหลี
ถึงเวลาอันเป็นมงคล อันดับแรก เทไข่ที่มีฉลากได้ จำนวน 150 ใบ ลงในกล่องอะครีลิกใส จากนั้นเทไข่อีก 110 ใบ ที่ไม่ได้ลงไป คนๆวนๆ
จากนั้นก็ให้น้องเรียงตามคิวขึ้นไปจับไข่ ขานว่าใครได้ ใครไม่ได้ โดยมีกระดานใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลัง ค่อยติ๊กถูก ผิด ว่าหมายเลขใดได้หรือไม่ได้
สรุปแล้วน้องจับไม่ได้ครับ จังหวะนั้นผมพูดไม่ถูกจริงๆว่ารู้สึกยังไง ตัวมันชาไปหมด ไม่เคยเตรียมใจว่าจะไม่ได้มาก่อน
คนที่ได้ก็นั่งรอในห้องประชุมต่อ เตรียมรับเอกสารมอบตัว คนที่ไม่ได้บางคนก็กลับบ้าน แต่หลายคนยังรออยู่หน้าห้องประชุมต่อไป
ผมเองก็เป็นส่วนนึงที่รอครับ.....
สุดท้ายคนไม่ได้ที่รออยู่ก็เข้าห้องประชุมอีกครั้ง โรงเรียนแจกกระดาษ A4 มาให้ 1 แผ่น แจ้งว่าอยากจะเขียนอะไรก็เขียน
ในนั้นให้ระบุชื่อผู้ปกครอง ชื่อน้อง ที่อยู่ รายได้ เหตุผลที่อยากเข้าเรียนที่นี่
ผู้ปกครองหลายคนหันมาถามว่า "ใส่เท่าไรคะ" ในใจผมไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้เลย ว่ามันต้องเท่าไร มันดูกำกวม ต่างจากโรงเรียนเอกชน
เอกชนหลายที่เค้าพูดชัดเจน ว่าเท่านี้ไม่พอค่ะ เท่านี้ได้ค่ะ ขั้นต่ำต้องประมาณนี้นะคะ
แต่สำหรับโรงเรียนรัฐ ผมว่ามันเหมือนแทงหวย ใส่เท่าไรถึงจะพอ ใส่เยอะไปมั้ย คนอื่นจะใส่เท่าไร
ในใจไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ เพราะเรากำหนดไม่ได้ด้วยตัวเองครับ คิดไปต่างๆนานา ว่าโรงเรียนเค้าจะพิจารณาเลือกน้องจากอะไร
สำนวนการเขียน รายได้ผู้ปกครอง เงินที่ระบุไว้ว่าจะบริจาค บ้านอยู่ใกล้ไกลโรงเรียนแค่ไหน หรือ ผลงานจากตอนสัมภาษณ์วันรับสมัคร
คำถามในหัวมีมากไปหมดครับ ผมคิดว่าคนอื่นก็มีเช่นกัน แต่ไม่มีใครกล้าถามออกไป ต่างคนตั้งหน้าตั้งตากรอกกระดาษที่ให้มา
ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ผมกรอกเสร็จยื่นส่งให้คุณครูพร้อมลากลับบ้าน
ทางโรงเรียนแจ้งว่าจะติดต่อมา แต่วันนี้ก็ยังคงรอเสียงโทรศัพท์ต่อไป
เขียนมาซะยืดยาว มีข้อคิดให้เพื่อนสมาชิกดังนี้ครับ
1. อย่าโยนความคิดให้น้อง เพราะการจับได้หรือไม่ได้ มันดวงล้วนๆ น้องบางคนเสียใจร้องไห้ น่าสงสารมากครับ
2. เผื่อใจไว้บ้างกรณีที่ไม่ได้
3. หาโรงเรียนอื่นๆเป็นทางเลือก เพื่อให้น้องได้มีที่เรียนแน่นอน
4. กำลังทรัพย์ในการบริจาคช่วยเหลือโรงเรียนมีมากน้อยแค่ไหน
5. หาข้อมูลเบื้องต้นว่าควรบริจาคเท่าไร อาจจะถามครู คนที่เคยมีลูกเรียนที่นั่น
6. เหตุผลจริงๆที่อยากให้ลูกเรียนที่นั่นเพราะอะไร
ฝากไว้แค่นี้ล่ะครับ ท่านอื่นอยากแชร์ก็ยินดีนะครับ
ขอบคุณครับ
แชร์ประสบการณ์จับฉลากเข้าโรงเรียนระดับอนุบาล
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสพาลูกชายไปจับฉลากที่โรงเรียนรัฐแห่งนึง เพื่อเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาล 1
ย้อนหลังสักอาทิตย์ก่อวันจับฉลาก ก็ไปพาน้องไปสมัครเรียบร้อย มีขั้นตอนการสัมภาษณ์ผู้ปกครอง และ สัมภาษณ์ตัวน้องเอง
และมีการทดสอบเล็กๆน้อย เช่น ให้เขียนเลข เขียน ABC และวาดรูป พูดคุยโดยคุณครูครับ
ข้ามกลับมาวันจับฉลาก มีคนสมัครทั้งหมด 260 รับทั้งหมด 150 คน
เทียบแล้วโอกาสได้มีมากกว่าไม่ได้ สบายใจไปหนึ่งเปราะ
ลงทะเบียนรับบัตรคิว ป้ายแขวนคอน้อง ก็พาน้องเดินวิ่งเล่นในโรงเรียน รอเวลาจับฉลาก
น้องที่ได้คิวที่ 1 มาถึงโรงเรียนตั้งแต่หกโมงเช้า นับถือผู้ปกครองและตัวน้องจริงๆครับ ส่วนผมไปถึงประมาณ 7.30 น
ถึงเวลาสำคัญ ผู้ปกครองเข้าได้หนึ่งคนพร้อมกับน้อง ตรงนี้นัดแนะกันให้ดีครับ ว่าใครจะเป็นคนเข้า ใครจะรออยู่ด้านนอก ซึ่งมีทีวีถ่ายออกมาให้ดูกันด้วย
หลังจากท่าน ผอ โรงเรียนได้กล่าวเปิด ซึ่งพูดไว้ค่อนข้างดีเกี่ยวกับคนที่อาจจะจับไม่ได้ ก็ไม่ต้องเครียด โรงเรียนมีเพียงพอ
แม้ว่าคุณภาพยังต่างกันไปบ้าง เทียบไม่ได้กับประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น สิงค์โปร์ เกาหลี
ถึงเวลาอันเป็นมงคล อันดับแรก เทไข่ที่มีฉลากได้ จำนวน 150 ใบ ลงในกล่องอะครีลิกใส จากนั้นเทไข่อีก 110 ใบ ที่ไม่ได้ลงไป คนๆวนๆ
จากนั้นก็ให้น้องเรียงตามคิวขึ้นไปจับไข่ ขานว่าใครได้ ใครไม่ได้ โดยมีกระดานใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลัง ค่อยติ๊กถูก ผิด ว่าหมายเลขใดได้หรือไม่ได้
สรุปแล้วน้องจับไม่ได้ครับ จังหวะนั้นผมพูดไม่ถูกจริงๆว่ารู้สึกยังไง ตัวมันชาไปหมด ไม่เคยเตรียมใจว่าจะไม่ได้มาก่อน
คนที่ได้ก็นั่งรอในห้องประชุมต่อ เตรียมรับเอกสารมอบตัว คนที่ไม่ได้บางคนก็กลับบ้าน แต่หลายคนยังรออยู่หน้าห้องประชุมต่อไป
ผมเองก็เป็นส่วนนึงที่รอครับ.....
สุดท้ายคนไม่ได้ที่รออยู่ก็เข้าห้องประชุมอีกครั้ง โรงเรียนแจกกระดาษ A4 มาให้ 1 แผ่น แจ้งว่าอยากจะเขียนอะไรก็เขียน
ในนั้นให้ระบุชื่อผู้ปกครอง ชื่อน้อง ที่อยู่ รายได้ เหตุผลที่อยากเข้าเรียนที่นี่
ผู้ปกครองหลายคนหันมาถามว่า "ใส่เท่าไรคะ" ในใจผมไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้เลย ว่ามันต้องเท่าไร มันดูกำกวม ต่างจากโรงเรียนเอกชน
เอกชนหลายที่เค้าพูดชัดเจน ว่าเท่านี้ไม่พอค่ะ เท่านี้ได้ค่ะ ขั้นต่ำต้องประมาณนี้นะคะ
แต่สำหรับโรงเรียนรัฐ ผมว่ามันเหมือนแทงหวย ใส่เท่าไรถึงจะพอ ใส่เยอะไปมั้ย คนอื่นจะใส่เท่าไร
ในใจไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ เพราะเรากำหนดไม่ได้ด้วยตัวเองครับ คิดไปต่างๆนานา ว่าโรงเรียนเค้าจะพิจารณาเลือกน้องจากอะไร
สำนวนการเขียน รายได้ผู้ปกครอง เงินที่ระบุไว้ว่าจะบริจาค บ้านอยู่ใกล้ไกลโรงเรียนแค่ไหน หรือ ผลงานจากตอนสัมภาษณ์วันรับสมัคร
คำถามในหัวมีมากไปหมดครับ ผมคิดว่าคนอื่นก็มีเช่นกัน แต่ไม่มีใครกล้าถามออกไป ต่างคนตั้งหน้าตั้งตากรอกกระดาษที่ให้มา
ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ผมกรอกเสร็จยื่นส่งให้คุณครูพร้อมลากลับบ้าน
ทางโรงเรียนแจ้งว่าจะติดต่อมา แต่วันนี้ก็ยังคงรอเสียงโทรศัพท์ต่อไป
เขียนมาซะยืดยาว มีข้อคิดให้เพื่อนสมาชิกดังนี้ครับ
1. อย่าโยนความคิดให้น้อง เพราะการจับได้หรือไม่ได้ มันดวงล้วนๆ น้องบางคนเสียใจร้องไห้ น่าสงสารมากครับ
2. เผื่อใจไว้บ้างกรณีที่ไม่ได้
3. หาโรงเรียนอื่นๆเป็นทางเลือก เพื่อให้น้องได้มีที่เรียนแน่นอน
4. กำลังทรัพย์ในการบริจาคช่วยเหลือโรงเรียนมีมากน้อยแค่ไหน
5. หาข้อมูลเบื้องต้นว่าควรบริจาคเท่าไร อาจจะถามครู คนที่เคยมีลูกเรียนที่นั่น
6. เหตุผลจริงๆที่อยากให้ลูกเรียนที่นั่นเพราะอะไร
ฝากไว้แค่นี้ล่ะครับ ท่านอื่นอยากแชร์ก็ยินดีนะครับ
ขอบคุณครับ