เป็นเรื่องที่เกิดมาในขณะเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร ฯ ประชวรและประทับอยู่ใน รพ.จุฬาลงกรณ ฯ และมาดังฉาวโฉ่ในปี 58 และเงียบฉี่ในต้นๆ ปี 59 และตอนนี้กำลังนำกลับมาฉายใหม่ จากข้อความในโลกโซเชี่ยลจนนำมาสู่การตรวจสอบเส้นทางการเงิน ความโปร่งใสทางการเงินของพระมหาเถระผู้ใหญ่ โดยข้อความมีดังนี้
" เรื่องจริงท่านเจ้าคุณพระเทพสารเวที ( ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ ) อดีตเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราช ได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าตรวจสอบและปรึกษาหน่วยงานด้านความมั่นคง (จริงหรือไม่)
กราบนมัสการ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณสมเด็จช่วงฯ วัดปากน้ำ (ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราช)
ขอโอกาสกราบนมัสการเรียนถามมาด้วยความเคารพ ณ ที่แห่งนี้ครับว่าตามที่ มีข่าวว่า
อดีต ผอ.สำนักพุทธศาสนา นายนพรัตน์ฯได้ส่งเจ้าหน้าที่ ไปเบิกเงิน จากกระทรวงการคลัง จำนวน 23 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่รัฐบาลจัดถวายในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เป็นประจำทุกปี เพื่อใช้สอยตามพระราชอัทธยาศรัย มิใช่เงินประจำตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเงินจำนวนนี้นั้น มีการถวายมาเป็นประจำทุกปี
แต่
ครานี้ นายนพรัตน์ฯ ในตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธฯ ได้ยักย้ายเงิน ดังกล่าวนี้ ไปถวาย สมเด็จช่วง วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่ามกลางเสียงท้วงติง ในที่ประชุมของ สำนักพุทธฯ เมื่อมีเสียงท้วงติงและ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ไม่ยอมทำในสิ่งผิดนั้น นายนพรัตน์ฯ อดีต ผอ.สำนักพุทธ จึงนำไปถวายสมเด็จช่วงวัดปากน้ำ ด้วยตนเอง พร้อมพนักงานขับรถ และผู้ติดตาม ( รวมจำนวน 3 ราย )
หากแต่เงินจำนวน 23 ล้านบาทนี้ ได้อนุมัติจ่าย( เพื่อจัดถวาย )มาก่อนที่ สมเด็จพระสังฆราช ยังไม่สิ้นพระชนม์ ยังมีพระชนม์อยู่ และยังไม่ถวายพระเพลิงสมเด็จพระสังฆราช และ ยังไม่มีการสถาปนา พระสงฆ์รูปใด ขึ้นดำรงค์ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ทั้งนี้ หากท่านเจ้าคุณสมเด็จช่วง อยากได้เงินจำนวนนี้นั้น เห็นควรยิ่งที่ต้องนำส่งคืน ถวายสมเด็จพระสังฆราช ไปก่อน(ตามขั้นตอน) และเมื่อความจำเป็นต้องใช้เงินด้วยเหตุใดใดก็ตาม ควรทำหนังสือกราบบังคมทูลขอเงินนี้ จาก สมเด็จพระสังฆราช ต่อไป เพื่อที่จักได้เป็นที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
หมายเหตุ ปัจจุบัน แม้จะดำรงค์ตำแหน่งผู้แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราช อยู่ก็ตามแต่ ทุกเรื่อง ก็ยังต้อง ทำหนังสือกราบบังคมทูล สมเด็จพระสังฆราช ทุกครั้งไป( โดยต้องให้อดีตเลขาสมเด็จพระสังฆราช ลงนามก่อน จึงจะประทับตราได้นี่ขอรับพระคุณเจ้า ) เพราะ ตราประทับ ยังอยู่วัดบวรนิเวศฯ ,พระนามเรียกขาน ก็ยังไม่ได้ใช้นะครับ ทั้งนี้ ข้าพเจ้าเองเป็นผู้มีสติปัญญาน้อย ไม่ทราบข่าว ว่าเรื่องดังกล่าวนี้เป็นมาเช่นใด จึงอยากให้ท่านเจ้าประคุณผู้แทนพระองค์สมเด็จฯ โปรดอธิบายให้เป็นที่ประจักษ์ชัดถ้อยทีเถิด เพราะเรื่องนี้ มีผู้กล่าวถึงกันมากแล้วนัก จึงไม่อยากให้เป็นที่เสื่อมพระเกียรติยศของพระคุณท่าน หากความทราบด้วยญาณวิถีใดใด ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการขอขมาอภัยอันซึ่งโทษล่วงเกินมานี้ ณ โอกาสนี้ ก็เพราะด้วยความเคารพยิ่งนักในพระเกียรติ แห่งท่านเจ้าประคุณผู้แทนพระองค์สมเด็จฯ ส่วนตัวของอดีต ผอ.สำนักพุทธ ท่านก็จะได้ อธิบาย ข้อครหาต่างๆของท่านให้ ทุกคนเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งต่อไปด้วย "
http://m.naewna.com/view/columntoday/23446
หลังการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 6/2559
มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2559องโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้แถลงผลประชุม และตอบคำถามสื่อมวลชนถึงกรณีที่แชร์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณการปฏิบัติพระศาสนกิจ ตามพระอัธยาศัย ที่รัฐบาลถวายแด่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประจำทุกปี กว่า 20 ล้านบาท ปัจจุบัน รัฐบาลจ่ายงบจำนวนดังกล่าวต่อผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หรือไม่?
นายประดับ กล่าวว่า ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช โดยธรรมเนียมปฏิบัติ รัฐบาลจะจัดงบประมาณถวายในการปฏิบัติพระศาสนกิจ ตามพระอัธยาศัยเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว
ส่วนตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น ตนต้องขอไปตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของงบประมาณในการปฏิบัติศาสนกิจที่รัฐบาลต้องถวายก่อนว่ามีการถวายไปหรือยัง อย่างไรก็ตาม โดยหน้าที่ตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น ก็ควรจะต้องมี เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวก็ต้องรับการโปรดเกล้าฯ มีการปฏิบัติศาสนกิจเหมือนสมเด็จพระสังฆราชทุกประการ เช่น การลงนามในพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชแต่งตั้งพระสังฆาธิการ เป็นประธานกรรมการ มส. ฯลฯ ต่างกันเพียงแต่อิสริยยศเท่านั้น
ทาง พศ. จะสอบถามเรื่องนี้อีกครั้ง
ประเด็นนี้ เมื่อถูกเปิดออกมาแล้ว พศ.จะต้องนำไปสู่การชี้แจงแถลงไขให้สิ้นสงสัย มิฉะนั้น จะถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งปมปัญหา ข้อครหา หรือแม้กระทั่งช่วยปกปิดความจริงอะไร หรือไม่? เพราะจากคำตอบต่อคำถามของสื่อมวลชนข้างต้น ยังไม่มีความกระจ่างแจ้งเลย ซึ่งเรื่องก็เงียบมาจนกระทั่งทุกวันนี้
เรื่องนี้ นับเป็นประเด็นสำคัญ เกี่ยวกับเงินของแผ่นดินอย่าลืมว่า ในอดีต เคยมี ป.ป.ช.ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก เพราะทำความผิดเกี่ยวกับการขึ้นเงินเดือนให้ตนเองโดยมิชอบด้วยกฎหมายมาแล้ว เมื่อตรวจทานไปในการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่า
ประเด็นเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ในวงการปกครองคณะสงฆ์นั้น เคยมีการร้องเรียนเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบได้ดำเนินการตรวจสอบ แต่ยังไม่ปรากฏผลการตรวจสอบ อย่าลืมว่า ประเด็นอื่นๆ ปรากฏว่า พศ.ได้รีบออกมาอธิบายความโดยไม่ต้องรอผลการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ กรณีเหล่านี้ เป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ ผลประโยชน์มหาศาล เกี่ยวข้องกับ พศ. และ มส.โดยตรง หากบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนาจะร่วมปกปิดสิ่งใด จะต้องชี้แจงไปในคราวเดียวกันโดยด่วนที่สุด วงการสงฆ์จะต้องมีธรรมาภิบาลกว่านักการเมืองน้ำเน่า
ตอนนี้ทราบว่ากำลังจะมีการตรวจสอบอีกครั้งก็รอดูกันไปงานนี้ วิบากกรรมจากสัทธิวิหาริกศิษย์รักจัดให้พระเดชพระคุณอย่างถึงขนาดเทียวหล่ะ ก็ไหนๆเป็นวัดพี่วัดน้องกันแล้ว น้องโดนไปก่อนแล้วมีหรือพี่จะนั่งสุขสบายไปได้ต่อ
ในช่วงที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระประชวร เสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นานร่วม 10 ปีนั้น ถึงจะมีการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นประธาน แต่รัฐบาลก็ยังคงนำเงินไปถวายสมเด็จพระสังฆราช ที่โรงพยาบาล มิได้ถวายแก่
"คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช"
เรียกได้ว่าสมเด็จฯวัดปากน้ำ มีวันนี้ได้ เพราะลูกศิษย์รัก อย่าง ธัมมชโย จัดถวายให้เลยทีเดียว
จากรถเบ๊นซ์ ขม-99 มาสู่ รื้อคดีเงิน 23 ล้าน วิบากรรมสมเด็จฯช่วง อุปัชฌาย์ ธัมมชโย ณ ธรรมกาย
เป็นเรื่องที่เกิดมาในขณะเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร ฯ ประชวรและประทับอยู่ใน รพ.จุฬาลงกรณ ฯ และมาดังฉาวโฉ่ในปี 58 และเงียบฉี่ในต้นๆ ปี 59 และตอนนี้กำลังนำกลับมาฉายใหม่ จากข้อความในโลกโซเชี่ยลจนนำมาสู่การตรวจสอบเส้นทางการเงิน ความโปร่งใสทางการเงินของพระมหาเถระผู้ใหญ่ โดยข้อความมีดังนี้
" เรื่องจริงท่านเจ้าคุณพระเทพสารเวที ( ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ ) อดีตเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราช ได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าตรวจสอบและปรึกษาหน่วยงานด้านความมั่นคง (จริงหรือไม่)
กราบนมัสการ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณสมเด็จช่วงฯ วัดปากน้ำ (ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราช)
ขอโอกาสกราบนมัสการเรียนถามมาด้วยความเคารพ ณ ที่แห่งนี้ครับว่าตามที่ มีข่าวว่า อดีต ผอ.สำนักพุทธศาสนา นายนพรัตน์ฯได้ส่งเจ้าหน้าที่ ไปเบิกเงิน จากกระทรวงการคลัง จำนวน 23 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่รัฐบาลจัดถวายในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เป็นประจำทุกปี เพื่อใช้สอยตามพระราชอัทธยาศรัย มิใช่เงินประจำตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเงินจำนวนนี้นั้น มีการถวายมาเป็นประจำทุกปี
แต่ ครานี้ นายนพรัตน์ฯ ในตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธฯ ได้ยักย้ายเงิน ดังกล่าวนี้ ไปถวาย สมเด็จช่วง วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่ามกลางเสียงท้วงติง ในที่ประชุมของ สำนักพุทธฯ เมื่อมีเสียงท้วงติงและ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ไม่ยอมทำในสิ่งผิดนั้น นายนพรัตน์ฯ อดีต ผอ.สำนักพุทธ จึงนำไปถวายสมเด็จช่วงวัดปากน้ำ ด้วยตนเอง พร้อมพนักงานขับรถ และผู้ติดตาม ( รวมจำนวน 3 ราย ) หากแต่เงินจำนวน 23 ล้านบาทนี้ ได้อนุมัติจ่าย( เพื่อจัดถวาย )มาก่อนที่ สมเด็จพระสังฆราช ยังไม่สิ้นพระชนม์ ยังมีพระชนม์อยู่ และยังไม่ถวายพระเพลิงสมเด็จพระสังฆราช และ ยังไม่มีการสถาปนา พระสงฆ์รูปใด ขึ้นดำรงค์ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ทั้งนี้ หากท่านเจ้าคุณสมเด็จช่วง อยากได้เงินจำนวนนี้นั้น เห็นควรยิ่งที่ต้องนำส่งคืน ถวายสมเด็จพระสังฆราช ไปก่อน(ตามขั้นตอน) และเมื่อความจำเป็นต้องใช้เงินด้วยเหตุใดใดก็ตาม ควรทำหนังสือกราบบังคมทูลขอเงินนี้ จาก สมเด็จพระสังฆราช ต่อไป เพื่อที่จักได้เป็นที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
หมายเหตุ ปัจจุบัน แม้จะดำรงค์ตำแหน่งผู้แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราช อยู่ก็ตามแต่ ทุกเรื่อง ก็ยังต้อง ทำหนังสือกราบบังคมทูล สมเด็จพระสังฆราช ทุกครั้งไป( โดยต้องให้อดีตเลขาสมเด็จพระสังฆราช ลงนามก่อน จึงจะประทับตราได้นี่ขอรับพระคุณเจ้า ) เพราะ ตราประทับ ยังอยู่วัดบวรนิเวศฯ ,พระนามเรียกขาน ก็ยังไม่ได้ใช้นะครับ ทั้งนี้ ข้าพเจ้าเองเป็นผู้มีสติปัญญาน้อย ไม่ทราบข่าว ว่าเรื่องดังกล่าวนี้เป็นมาเช่นใด จึงอยากให้ท่านเจ้าประคุณผู้แทนพระองค์สมเด็จฯ โปรดอธิบายให้เป็นที่ประจักษ์ชัดถ้อยทีเถิด เพราะเรื่องนี้ มีผู้กล่าวถึงกันมากแล้วนัก จึงไม่อยากให้เป็นที่เสื่อมพระเกียรติยศของพระคุณท่าน หากความทราบด้วยญาณวิถีใดใด ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการขอขมาอภัยอันซึ่งโทษล่วงเกินมานี้ ณ โอกาสนี้ ก็เพราะด้วยความเคารพยิ่งนักในพระเกียรติ แห่งท่านเจ้าประคุณผู้แทนพระองค์สมเด็จฯ ส่วนตัวของอดีต ผอ.สำนักพุทธ ท่านก็จะได้ อธิบาย ข้อครหาต่างๆของท่านให้ ทุกคนเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งต่อไปด้วย "
http://m.naewna.com/view/columntoday/23446
หลังการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 6/2559 มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2559องโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้แถลงผลประชุม และตอบคำถามสื่อมวลชนถึงกรณีที่แชร์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณการปฏิบัติพระศาสนกิจ ตามพระอัธยาศัย ที่รัฐบาลถวายแด่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประจำทุกปี กว่า 20 ล้านบาท ปัจจุบัน รัฐบาลจ่ายงบจำนวนดังกล่าวต่อผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หรือไม่?
นายประดับ กล่าวว่า ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช โดยธรรมเนียมปฏิบัติ รัฐบาลจะจัดงบประมาณถวายในการปฏิบัติพระศาสนกิจ ตามพระอัธยาศัยเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว ส่วนตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น ตนต้องขอไปตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของงบประมาณในการปฏิบัติศาสนกิจที่รัฐบาลต้องถวายก่อนว่ามีการถวายไปหรือยัง อย่างไรก็ตาม โดยหน้าที่ตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น ก็ควรจะต้องมี เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวก็ต้องรับการโปรดเกล้าฯ มีการปฏิบัติศาสนกิจเหมือนสมเด็จพระสังฆราชทุกประการ เช่น การลงนามในพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชแต่งตั้งพระสังฆาธิการ เป็นประธานกรรมการ มส. ฯลฯ ต่างกันเพียงแต่อิสริยยศเท่านั้น ทาง พศ. จะสอบถามเรื่องนี้อีกครั้ง
ประเด็นนี้ เมื่อถูกเปิดออกมาแล้ว พศ.จะต้องนำไปสู่การชี้แจงแถลงไขให้สิ้นสงสัย มิฉะนั้น จะถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งปมปัญหา ข้อครหา หรือแม้กระทั่งช่วยปกปิดความจริงอะไร หรือไม่? เพราะจากคำตอบต่อคำถามของสื่อมวลชนข้างต้น ยังไม่มีความกระจ่างแจ้งเลย ซึ่งเรื่องก็เงียบมาจนกระทั่งทุกวันนี้
เรื่องนี้ นับเป็นประเด็นสำคัญ เกี่ยวกับเงินของแผ่นดินอย่าลืมว่า ในอดีต เคยมี ป.ป.ช.ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก เพราะทำความผิดเกี่ยวกับการขึ้นเงินเดือนให้ตนเองโดยมิชอบด้วยกฎหมายมาแล้ว เมื่อตรวจทานไปในการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่า ประเด็นเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ในวงการปกครองคณะสงฆ์นั้น เคยมีการร้องเรียนเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบได้ดำเนินการตรวจสอบ แต่ยังไม่ปรากฏผลการตรวจสอบ อย่าลืมว่า ประเด็นอื่นๆ ปรากฏว่า พศ.ได้รีบออกมาอธิบายความโดยไม่ต้องรอผลการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ กรณีเหล่านี้ เป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ ผลประโยชน์มหาศาล เกี่ยวข้องกับ พศ. และ มส.โดยตรง หากบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนาจะร่วมปกปิดสิ่งใด จะต้องชี้แจงไปในคราวเดียวกันโดยด่วนที่สุด วงการสงฆ์จะต้องมีธรรมาภิบาลกว่านักการเมืองน้ำเน่า
ตอนนี้ทราบว่ากำลังจะมีการตรวจสอบอีกครั้งก็รอดูกันไปงานนี้ วิบากกรรมจากสัทธิวิหาริกศิษย์รักจัดให้พระเดชพระคุณอย่างถึงขนาดเทียวหล่ะ ก็ไหนๆเป็นวัดพี่วัดน้องกันแล้ว น้องโดนไปก่อนแล้วมีหรือพี่จะนั่งสุขสบายไปได้ต่อ
ในช่วงที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระประชวร เสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นานร่วม 10 ปีนั้น ถึงจะมีการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นประธาน แต่รัฐบาลก็ยังคงนำเงินไปถวายสมเด็จพระสังฆราช ที่โรงพยาบาล มิได้ถวายแก่ "คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช"