ตีหัวแล้วลากเข้าถ้ำ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับมนุษย์ยุคหิน
ความเชื่อนี้ถูกสร้างขึ้นจากมายาคติ มากกว่ามาจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
การใช้กำลังของมนุษย์หินที่เราเคยอ่านในการ์ตูนว่า
ถ้าผู้ชายถูกใจสาวคนไหน ให้เอากระบองตีหัวแล้วลากเข้าถ้ำนั้น ไม่ความเป็นจริง
สมัยนั้นหญิงกับชายแข็งแรงพอๆกัน เวลาออกล่าสัตว์ร่วมออกล่าพร้อมกัน เป็นหมู่เหล่า
แบ่งหน้าที่กันทำ ในกรณีนี้หญิงกับชายดูไม่ต่างกันมากนัก
ในความเป็นจริงการออกไปล่าสัตว์ของชายนั้น ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัวของตน
พวกเขาออกล่าสัตว์ใหญ่โดยเฉลี่ยเพียง หนึ่งสัปดาห์ต่อเดือนเท่านั้น
การถนอมอาหารในยุคนี้ยังไม่ค้นพบ เนื้อสัตว์ที่ฝ่ายชายล่ากลับมา
ไม่ต่างจากวันเงินเดือนออกในปัจจุบัน ซึ่งจะอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
ฉะนั้นอาหารที่จะให้ท้องอิ่มย่อมไม่พ้น ผลหมากรากไม้ ผักหญ้าของป่า
ที่สาวๆ ออกไปขุดไปเด็ดหากันมา
การเก็บผลไม้ รากไม้ ผักหญ้าต้องอาศัยทักษะและความชำนาญ รวมไปถึงการใช้เครื่องมือต่างๆ
ช่วยในการขุดและเก็บ ซึ่งไม่น้อยไปกว่าทำอาวุธดีๆไปล่าสัตว์
อาหารหลักของมนุษย์ยุคหินบางเผ่าไม่ใช่เนื้อสัตว์ แต่เป็นพืช ซึ่งแตกต่างไปในแต่ละท้องถิ่น
ในสังคมกสิกรรมเหล่าชายชาตรีที่ออกไปแทงหอกใส่ช้างแมมมอธ แรดขน หรือวัวขน
ต้องฝากท้องไว้กับผู้หญิงที่บ้านดังเช่นในปัจจุบัน และไม่เพียงแต่อาหารเท่านั้น
บรรดายารักษาโรคเป็นผลพลอยได้ จากทักษะการหาของป่าของเหล่าสาวๆยุคหินเช่นกัน
แล้วพวกเขาจีบได้กันอย่างไร
มนุษย์หินแร่ร่อนในยุโรปนั้นทุกๆปี เผ่าต่างๆจะมาพบปะกัน บริเวณหุบเขาแถวๆฮังการี
เป็นช่วงที่หนุ่มสาวจากเผ่าต่างๆ ได้ทำความรู้จักกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเป็นโอกาสในการเลือกคู่
หากเกิดในสังคมกสิกรรมทำไร่เลื่อนลอย มักเป็นช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว ก่อนเข้าช่วงฤดูหนาว
ความสำคัญยิ่งยวดของสตรีเพศอยู่ตรงที่การให้กำเนิด เพราะหญิงสาวชาวมนุษย์นั้น
ต่างจากไพรเมตอื่นๆตรงที่ภาวะความพร้อมในการสืบพันธุ์ พวกลิงจะสืบพันธุ์ได้ต่อเมื่อมีภาวะ ติดสัด
อย่างสัตว์เลี้ยวลูกด้วยนมส่วนใหญ่ คือ จะมีเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งในรอบปี
แต่สำหรับมนุษย์ การติดสัด ถูกพัฒนามาเป็น การมีรอบเดือน
ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์มีมากถึงสิบสองครั้งในหนึ่งปี ซึ่งอัตราการเติบโตของประชากร
ได้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เติบโต และพัฒนามาจนทุกวันนี้
สถานะหญิง ในยุคหินเป็นได้ทั้งเมีย แม่ ที่ปรึกษา หมอ ผู้นำ
และผู้กุมความลับแห่งธรรมชาติ นั่นคือ การให้กำเนิด ที่ยกสถานะเป็น พระเจ้าในเวลาต่อมา
พิธีแต่งงาน
มนุษย์เริ่มให้ความสำคัญของการอยู่เป็นคู่ชีวิต เมื่อมีการติดต่อระหว่างมนุษย์เผ่าต่างๆเพิ่มมากขึ้น
พิธีแต่งงานจริงๆนั้น เริ่มต้นเมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน และรู้จักการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ แลกเปลี่ยนสินค้าแล้ว
เมื่อมนุษย์ไม่ต้องออกล่าสัตว์บ่อยๆ ผู้หญิงทำหน้าที่ส่วนใหญ่ในการเลี้ยงดูบุตร เก็บเกี่ยวและปรุงอาหาร
ในขณะที่ผู้ชายต้องใช้แรงงาน บทบาทของหญิงและชายในสังคมสมัยใหม่เริ่มต้นตรงนี้
การที่มนุษย์ทำการเพาะปลูก มีที่นา เลี้ยงสัตว์มีทรัพย์สินของตัวเอง ทำให้รู้สึกต้องการที่จะปกป้องผลประโยชน์
และต้องการให้ตกทอดกับลูกหลานที่สืบทอดสายเลือดตน แน่นอนว่ามนุษย์สมัยนั้นไม่รู้จักยีนส์ โครโมโซม หรือดีเอ็นเอ
วิธีที่ทำให้มันใจว่าเป็นลูกหลานของตัวเองแน่ๆ คือ นับสายเลือดจากข้างแม่ หรือเป็นเจ้าของผู้หญิงอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นพิธีแต่งงานจึงเกิดขึ้นมาจากการรักษาทรัพย์สมบัติ สถานะทางสังคมมากกว่าปัจจัยอื่น
จากที่กล่าวมาข้างต้นมายาคติที่ว่า
มนุษย์ถ้ำจักต้องใช้ ความรุนแรงก้าวร้าวในการจับคู่ผสมพันธุ์
จากหลักฐานทางบรรพชีววิทยามิได้ระบุไว้ การเลือกคู่ของมนุษย์ถ้ำ
อาจเป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายมากกว่า จากพิธีเลือกคู่
เช่นเดียวกับมายาคติที่ว่า ชายทำหน้าที่หาอาหารเป็นหลัก โดยการจับกลุ่มกันล่าสัตว์ตลอดทั้งวัน
ขณะที่หญิงอยู่เหย้าเฝ้าเรือน(ถ้ำ)รอคอยชายกลับมา ช่วยปรุงอาหาร และบำบัดความใคร่
การศึกษาต่อๆมาพบว่า ภาพลักษณ์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น
การล่าสัตว์ของมนุษย์โบราณไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก อย่างมากเดือนละครั้ง
ระหว่างช่วงเวลานั้นชายจะจัดเตรียม พัฒนาอาวุธให้พร้อมกับการล่าครั้งถัดไป
ขณะที่หญิงทำหน้าที่ออกหาลูกไม้ ผลไม้ต่างๆเป็นอาหารหลักในแต่ละวัน
พฤติกรรมทางเพศมิได้มีหลักฐานใดว่า ผู้หญิงเป็นฝ่ายรับ ฝ่ายถูกกระทำแต่อย่างเดียว
การสมยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย น่าจะเป็นไปได้มากกว่า
สังคมปิตาธิปไตย(ชายเป็นใหญ่) เพิ่งเกิดขึ้นจริงๆก่อนยุคอียิปต์ไม่นานนัก
อ้างอิงบางส่วนจาก
จิตวิญญาณผู้หญิง ตำนาน ความเชื่อ และเรื่องเล่า
โดย ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์
ถอดความโดย อัจฉรา สมแสงสรวง
ในวงการศาสนา หรือการศึกษาจิตวิญญาณทั้งหลาย ในยุคประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
อยู่ในการตีความหรือการบันทึก หรือการสอนโดยผู้ชายเป็นหลัก จนสังคมยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นเมื่อมีกลุ่มผู้ศึกษาริเริ่มทำความเข้าใจในเรื่องของผู้หญิง และจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ในตัวเธอ
จึงเริ่มปรากฏความสงสัย ไม่เห็นด้วย ด้วยเกรงว่าจะนำไปสู่ความแปลกแยก
แต่ที่สุดแล้วการศึกษาจิตวิญญาณผู้หญิงควรนำไปสู่ ความเข้าใจสังคมมนุษย์ที่สมบูรณ์มากขึ้น
หลักฐานทางโบราณคดี ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณกว่า 25,000 ปีมาแล้ว
จากเทือกเขาไพเรนีสในยุโรปตอนใต้ ไปจรดไซบีเรีย จากเมดิเตอร์เรเนียน สู่เมโสโปเตเมีย
ผู้หญิงได้รับการยกย่องผ่านตำนานเรื่องเล่า ในฐานะของเทพสตรีกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
ที่ค้นพบจากรูปปั้น รูปแกะสลักหิน กระดูกสัตว์ งาช้าง หรือภาพวาดบนผนังหิน เป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงเช่น
นกกระเรียน เป็ด ห่าน นกพิราบ นกเค้าแมว หมี ผีเสื้อ และ ผึ้ง เป็นต้น
ต่อมามีการแกะสลักรูปร่างของผู้หญิง มีทั้งรูปร่างที่ยาว หรือร่างอ้วนกลมคล้ายกับการตั้งครรภ์
บนส่วนที่เป็นร่างกายจะมีภาพลายเส้น รูปทรงสามเหลี่ยม ซิกแซก วงกลม ก้นหอย ภาพใบไม้
และมักจะปรากฎสีเหลืองอ่อน หรือส้มแดงอยู่บนรูปแกะสลัก และภาพวาดเหล่านั้น ซึ่งมีการอธิบายว่า
สีดังกล่าว หมายถึงเลือด การให้ชีวิต หรือการถือกำเนิดใหม่
และตำแหน่งที่ค้นพบ ส่วนใหญ่จะอยู่ในบ้าน บริเวณเตาอบขนมปัง ตามลุ่มน้ำ ถ้ำ และแหล่งกสิกรรม
หลักฐานเหล่านี้ดำรงอยู่ ผ่านยุคประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ โดยปราศจากการบันทึกใดๆ ดังนั้น
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จึงมีอะไรบางอย่าง ซึ่งยุคประวัติศาสตร์มองไม่เห็น เป็นประสบการณ์ที่สำคัญของมนุษยชาติ
แต่กลับยากที่จะศึกษา เพราะไม่มีลายลักษณ์อักษรบันทึกไว้ การศึกษาของนักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา
และผู้สนใจศึกษาจิตวิญญาณผู้หญิง โดยผ่านรูปแกะสลัก รูปปั้น รวมไปถึงคติความเชื่อที่สืบทอดกันมา
เพื่อเข้าใจว่ายุคดังกล่าวพยายามตีความสังคมเป็นอย่างไร ต่างพบว่า ในยุคที่ปราศจากการบันทึกนั้น
เป็นยุคที่ผู้หญิงเป็นศูนย์กลางของสังคมเป็นส่วนใหญ่ บรรพชนทั้งชายและหญิงต่างเคารพบูชาเทพสตรีว่า
เป็นพระแม่ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นมารดา ของเหล่าเทพทั้งชายหญิง
ในช่วงที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ ทัศนคติเกี่ยวกับชีวิต สะท้อนออกมาอย่างเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง มีพลัง และไม่อาจล่วงละเมิดได้ มนุษย์ โลก และสรรพชีวิต
ต่างถักทอร้อยรัดเข้าด้วยกันเป็นโครงข่ายของจักรภพ
จนถึงเมื่อ 4,000 ปีก่อน ที่บทบาทของเทพเจ้า(บุรุษ) เริ่มปรากฏขึ้น ในฐานะของผู้พิชิต
และใช้บทบาทของผู้นำในการออกกฎเกณฑ์ เพื่อจัดระเบียบความวุ่นวายของสังคม
ซึ่งทำให้โลกฝ่ายจิตวิญญาณ และกายภาพ แยกออกจากกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ
จิตใจแยกออกจากวัตถุ วิญญาณแยกออกจากร่างกาย ความคิดออกจากความรู้สึก
เหตุผลออกจากสัญชาติญาณ สติปัญญาออกจากการหยั่งรู้ ซึ่งหากตีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือ
บรรดาเทพสตรีทั้งหลาย ถูกกลบลบหายไปจากความเชื่อ และความคิดคำนึงของผู้คน
โดยเฉพาะในยุคกลาง มีการใช้ความรุนแรงในการกวาดล้างผู้หญิงที่เลื่อมใสในเทพสตรี โดยกล่าวหาว่าพวกเธอเป็นแม่มด
คนเลื่อมใสปีศาจ ซึ่งผลของความแตกแยกนี้ นำไปสู่การแข่งขันมากกว่าการร่วมมือ ความเป็นเอกเทศมากกว่าความสมบูรณ์ครบครัน
และเป็นปัจจัยต่อการวางรากฐานโลกทางวิทยาศาสตร์ โลกที่ให้ความสำคัญแก่มนุษย์มากกว่าพระเจ้า
โลกที่ละเลยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กับสิ่งสร้าง และสิ่งสูงสุด
ดังนั้น การศึกษาจิตวิญญาณของผู้หญิงจากเรื่องเล่าของเธอในอดีต จะช่วยให้เข้าใจถึงวัฒนธรรมที่เผ่าพันธุ์มนุษย์
ดำรงชีวิตอยู่อย่างผสานกลมกลืนกับส่วนอื่นๆ ของสิ่งสร้าง เรื่องเล่าผ่านรูปแกะสลัก และตำนานต่างๆ บ่งบอกว่า
ผู้หญิงเป็นเพศที่มีความอ่อนไหว และผสมผสาน
ผู้หญิงเข้าใจถึงชีวิต และความตายทางฝ่ายเนื้อหนังดีกว่าผู้ชาย
แม้ว่าเพศชายถูกสร้างมาในความสมบูรณ์กว่าเพศหญิง ผู้หญิงในอดีตดำเนินชีวิตที่เป็นวัฏจักรสัมพันธ์กับธรรมชาติ
สืบเนื่องมาจากการมีประจำเดือน ผู้หญิงมีสรีระที่เล็กกว่า บอบบางกว่าผู้ชาย จึงอ่อนแอกว่าผู้ชาย
หากได้รับอุบัติเหตุ หรือบาดเจ็บ ดังนั้น เธอจึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับความอ่อนไหว และเปราะบางของชีวิตได้ดีกว่าผู้ชาย
โดยเฉพาะการเป็นแม่ผู้ทะนุถนอมฟูมฟัก และปกป้องลูกๆ จากภยันตรายและความทุกข์ยาก
เทพสตรีแห่งงานสร้างสรรค์และความอุดมสมบูรณ์ในแอฟริกา
ในงานศึกษาของ Dr. Lucia Chiavola Birnbaum และนักวิชาการท่านอื่นๆ
ได้ศึกษาถึงเทพสตรีในทวีปแอฟริกายุคหินเก่า(50,000 ปี ก่อนคริสตกาล) พบว่า
บรรพชนในอดีตนั้น มีการสืบทอดชีวิต และจิตวิญญาณอย่างแนบแน่น รูปแกะสลัก และภาพวาดเทพสตรีแอฟริกัน
ขุดค้นพบมากมายตั้งแต่ตอนเหนือ คือ อียิปต์ จนถึงทางใต้ คือ ซิมบับเว อาทิ
เทพสตรีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ในแอลจีเรีย(หรือเทพสตรีแห่งเขาสัตว์) เต้นรำในทุ่งข้าว บนศีรษะมีเขาสัตว์
ปรากฎรูปของเมล็ดพืช และสายฝนที่กำลังโปรยปราย แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์
ในอียิปต์ ก่อนยุคราชวงศ์ มีรูปเทพสตรีในท่ายืนเหมือนกำลังจะบิน มีศีรษะเป็นนก มีหน้าอกอย่างมนุษย์ และสองมือที่ถืออาวุธยื่นออกไป
การอธิบายเรื่องพลังอำนาจตามความเชื่อยุคก่อนบุพกาล ถือว่า นกเป็นสัญลักษณ์ของวิญญาณมนุษย์ การอธิบายเช่นนั้น
ได้ช่วยปกป้องการลดจำนวนของนก ในปัจจุบัน
เทพสตรีที่น่าสนใจอีกองค์หนึ่ง คือ Nut (อ่านว่า Noot แปลว่า night) เป็นเทพสตรีของท้องฟ้ายามค่ำคืน ราชินีแห่งสรวงสวรรค์
ผู้ให้กำเนิดดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ และที่หน้าอก มีหยดน้ำนมที่ไหลลงมาเสมือนสายฝน ที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิต
ความเข้าใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับความรัก และสถานะทางสังคมของ ชาย หญิง ตั้งแต่ยุคหิน
ตีหัวแล้วลากเข้าถ้ำ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับมนุษย์ยุคหิน
ความเชื่อนี้ถูกสร้างขึ้นจากมายาคติ มากกว่ามาจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
การใช้กำลังของมนุษย์หินที่เราเคยอ่านในการ์ตูนว่า
ถ้าผู้ชายถูกใจสาวคนไหน ให้เอากระบองตีหัวแล้วลากเข้าถ้ำนั้น ไม่ความเป็นจริง
สมัยนั้นหญิงกับชายแข็งแรงพอๆกัน เวลาออกล่าสัตว์ร่วมออกล่าพร้อมกัน เป็นหมู่เหล่า
แบ่งหน้าที่กันทำ ในกรณีนี้หญิงกับชายดูไม่ต่างกันมากนัก
ในความเป็นจริงการออกไปล่าสัตว์ของชายนั้น ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัวของตน
พวกเขาออกล่าสัตว์ใหญ่โดยเฉลี่ยเพียง หนึ่งสัปดาห์ต่อเดือนเท่านั้น
การถนอมอาหารในยุคนี้ยังไม่ค้นพบ เนื้อสัตว์ที่ฝ่ายชายล่ากลับมา
ไม่ต่างจากวันเงินเดือนออกในปัจจุบัน ซึ่งจะอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
ฉะนั้นอาหารที่จะให้ท้องอิ่มย่อมไม่พ้น ผลหมากรากไม้ ผักหญ้าของป่า
ที่สาวๆ ออกไปขุดไปเด็ดหากันมา
การเก็บผลไม้ รากไม้ ผักหญ้าต้องอาศัยทักษะและความชำนาญ รวมไปถึงการใช้เครื่องมือต่างๆ
ช่วยในการขุดและเก็บ ซึ่งไม่น้อยไปกว่าทำอาวุธดีๆไปล่าสัตว์
อาหารหลักของมนุษย์ยุคหินบางเผ่าไม่ใช่เนื้อสัตว์ แต่เป็นพืช ซึ่งแตกต่างไปในแต่ละท้องถิ่น
ในสังคมกสิกรรมเหล่าชายชาตรีที่ออกไปแทงหอกใส่ช้างแมมมอธ แรดขน หรือวัวขน
ต้องฝากท้องไว้กับผู้หญิงที่บ้านดังเช่นในปัจจุบัน และไม่เพียงแต่อาหารเท่านั้น
บรรดายารักษาโรคเป็นผลพลอยได้ จากทักษะการหาของป่าของเหล่าสาวๆยุคหินเช่นกัน
แล้วพวกเขาจีบได้กันอย่างไร
มนุษย์หินแร่ร่อนในยุโรปนั้นทุกๆปี เผ่าต่างๆจะมาพบปะกัน บริเวณหุบเขาแถวๆฮังการี
เป็นช่วงที่หนุ่มสาวจากเผ่าต่างๆ ได้ทำความรู้จักกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเป็นโอกาสในการเลือกคู่
หากเกิดในสังคมกสิกรรมทำไร่เลื่อนลอย มักเป็นช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว ก่อนเข้าช่วงฤดูหนาว
ความสำคัญยิ่งยวดของสตรีเพศอยู่ตรงที่การให้กำเนิด เพราะหญิงสาวชาวมนุษย์นั้น
ต่างจากไพรเมตอื่นๆตรงที่ภาวะความพร้อมในการสืบพันธุ์ พวกลิงจะสืบพันธุ์ได้ต่อเมื่อมีภาวะ ติดสัด
อย่างสัตว์เลี้ยวลูกด้วยนมส่วนใหญ่ คือ จะมีเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งในรอบปี
แต่สำหรับมนุษย์ การติดสัด ถูกพัฒนามาเป็น การมีรอบเดือน
ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์มีมากถึงสิบสองครั้งในหนึ่งปี ซึ่งอัตราการเติบโตของประชากร
ได้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เติบโต และพัฒนามาจนทุกวันนี้
สถานะหญิง ในยุคหินเป็นได้ทั้งเมีย แม่ ที่ปรึกษา หมอ ผู้นำ
และผู้กุมความลับแห่งธรรมชาติ นั่นคือ การให้กำเนิด ที่ยกสถานะเป็น พระเจ้าในเวลาต่อมา
พิธีแต่งงาน
มนุษย์เริ่มให้ความสำคัญของการอยู่เป็นคู่ชีวิต เมื่อมีการติดต่อระหว่างมนุษย์เผ่าต่างๆเพิ่มมากขึ้น
พิธีแต่งงานจริงๆนั้น เริ่มต้นเมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน และรู้จักการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ แลกเปลี่ยนสินค้าแล้ว
เมื่อมนุษย์ไม่ต้องออกล่าสัตว์บ่อยๆ ผู้หญิงทำหน้าที่ส่วนใหญ่ในการเลี้ยงดูบุตร เก็บเกี่ยวและปรุงอาหาร
ในขณะที่ผู้ชายต้องใช้แรงงาน บทบาทของหญิงและชายในสังคมสมัยใหม่เริ่มต้นตรงนี้
การที่มนุษย์ทำการเพาะปลูก มีที่นา เลี้ยงสัตว์มีทรัพย์สินของตัวเอง ทำให้รู้สึกต้องการที่จะปกป้องผลประโยชน์
และต้องการให้ตกทอดกับลูกหลานที่สืบทอดสายเลือดตน แน่นอนว่ามนุษย์สมัยนั้นไม่รู้จักยีนส์ โครโมโซม หรือดีเอ็นเอ
วิธีที่ทำให้มันใจว่าเป็นลูกหลานของตัวเองแน่ๆ คือ นับสายเลือดจากข้างแม่ หรือเป็นเจ้าของผู้หญิงอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นพิธีแต่งงานจึงเกิดขึ้นมาจากการรักษาทรัพย์สมบัติ สถานะทางสังคมมากกว่าปัจจัยอื่น
จากที่กล่าวมาข้างต้นมายาคติที่ว่า
มนุษย์ถ้ำจักต้องใช้ ความรุนแรงก้าวร้าวในการจับคู่ผสมพันธุ์
จากหลักฐานทางบรรพชีววิทยามิได้ระบุไว้ การเลือกคู่ของมนุษย์ถ้ำ
อาจเป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายมากกว่า จากพิธีเลือกคู่
เช่นเดียวกับมายาคติที่ว่า ชายทำหน้าที่หาอาหารเป็นหลัก โดยการจับกลุ่มกันล่าสัตว์ตลอดทั้งวัน
ขณะที่หญิงอยู่เหย้าเฝ้าเรือน(ถ้ำ)รอคอยชายกลับมา ช่วยปรุงอาหาร และบำบัดความใคร่
การศึกษาต่อๆมาพบว่า ภาพลักษณ์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น
การล่าสัตว์ของมนุษย์โบราณไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก อย่างมากเดือนละครั้ง
ระหว่างช่วงเวลานั้นชายจะจัดเตรียม พัฒนาอาวุธให้พร้อมกับการล่าครั้งถัดไป
ขณะที่หญิงทำหน้าที่ออกหาลูกไม้ ผลไม้ต่างๆเป็นอาหารหลักในแต่ละวัน
พฤติกรรมทางเพศมิได้มีหลักฐานใดว่า ผู้หญิงเป็นฝ่ายรับ ฝ่ายถูกกระทำแต่อย่างเดียว
การสมยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย น่าจะเป็นไปได้มากกว่า
สังคมปิตาธิปไตย(ชายเป็นใหญ่) เพิ่งเกิดขึ้นจริงๆก่อนยุคอียิปต์ไม่นานนัก
อ้างอิงบางส่วนจาก
จิตวิญญาณผู้หญิง ตำนาน ความเชื่อ และเรื่องเล่า
โดย ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์
ถอดความโดย อัจฉรา สมแสงสรวง
ในวงการศาสนา หรือการศึกษาจิตวิญญาณทั้งหลาย ในยุคประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
อยู่ในการตีความหรือการบันทึก หรือการสอนโดยผู้ชายเป็นหลัก จนสังคมยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นเมื่อมีกลุ่มผู้ศึกษาริเริ่มทำความเข้าใจในเรื่องของผู้หญิง และจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ในตัวเธอ
จึงเริ่มปรากฏความสงสัย ไม่เห็นด้วย ด้วยเกรงว่าจะนำไปสู่ความแปลกแยก
แต่ที่สุดแล้วการศึกษาจิตวิญญาณผู้หญิงควรนำไปสู่ ความเข้าใจสังคมมนุษย์ที่สมบูรณ์มากขึ้น
หลักฐานทางโบราณคดี ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณกว่า 25,000 ปีมาแล้ว
จากเทือกเขาไพเรนีสในยุโรปตอนใต้ ไปจรดไซบีเรีย จากเมดิเตอร์เรเนียน สู่เมโสโปเตเมีย
ผู้หญิงได้รับการยกย่องผ่านตำนานเรื่องเล่า ในฐานะของเทพสตรีกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
ที่ค้นพบจากรูปปั้น รูปแกะสลักหิน กระดูกสัตว์ งาช้าง หรือภาพวาดบนผนังหิน เป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงเช่น
นกกระเรียน เป็ด ห่าน นกพิราบ นกเค้าแมว หมี ผีเสื้อ และ ผึ้ง เป็นต้น
ต่อมามีการแกะสลักรูปร่างของผู้หญิง มีทั้งรูปร่างที่ยาว หรือร่างอ้วนกลมคล้ายกับการตั้งครรภ์
บนส่วนที่เป็นร่างกายจะมีภาพลายเส้น รูปทรงสามเหลี่ยม ซิกแซก วงกลม ก้นหอย ภาพใบไม้
และมักจะปรากฎสีเหลืองอ่อน หรือส้มแดงอยู่บนรูปแกะสลัก และภาพวาดเหล่านั้น ซึ่งมีการอธิบายว่า
สีดังกล่าว หมายถึงเลือด การให้ชีวิต หรือการถือกำเนิดใหม่
และตำแหน่งที่ค้นพบ ส่วนใหญ่จะอยู่ในบ้าน บริเวณเตาอบขนมปัง ตามลุ่มน้ำ ถ้ำ และแหล่งกสิกรรม
หลักฐานเหล่านี้ดำรงอยู่ ผ่านยุคประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ โดยปราศจากการบันทึกใดๆ ดังนั้น
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จึงมีอะไรบางอย่าง ซึ่งยุคประวัติศาสตร์มองไม่เห็น เป็นประสบการณ์ที่สำคัญของมนุษยชาติ
แต่กลับยากที่จะศึกษา เพราะไม่มีลายลักษณ์อักษรบันทึกไว้ การศึกษาของนักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา
และผู้สนใจศึกษาจิตวิญญาณผู้หญิง โดยผ่านรูปแกะสลัก รูปปั้น รวมไปถึงคติความเชื่อที่สืบทอดกันมา
เพื่อเข้าใจว่ายุคดังกล่าวพยายามตีความสังคมเป็นอย่างไร ต่างพบว่า ในยุคที่ปราศจากการบันทึกนั้น
เป็นยุคที่ผู้หญิงเป็นศูนย์กลางของสังคมเป็นส่วนใหญ่ บรรพชนทั้งชายและหญิงต่างเคารพบูชาเทพสตรีว่า
เป็นพระแม่ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นมารดา ของเหล่าเทพทั้งชายหญิง
ในช่วงที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ ทัศนคติเกี่ยวกับชีวิต สะท้อนออกมาอย่างเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง มีพลัง และไม่อาจล่วงละเมิดได้ มนุษย์ โลก และสรรพชีวิต
ต่างถักทอร้อยรัดเข้าด้วยกันเป็นโครงข่ายของจักรภพ
จนถึงเมื่อ 4,000 ปีก่อน ที่บทบาทของเทพเจ้า(บุรุษ) เริ่มปรากฏขึ้น ในฐานะของผู้พิชิต
และใช้บทบาทของผู้นำในการออกกฎเกณฑ์ เพื่อจัดระเบียบความวุ่นวายของสังคม
ซึ่งทำให้โลกฝ่ายจิตวิญญาณ และกายภาพ แยกออกจากกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ
จิตใจแยกออกจากวัตถุ วิญญาณแยกออกจากร่างกาย ความคิดออกจากความรู้สึก
เหตุผลออกจากสัญชาติญาณ สติปัญญาออกจากการหยั่งรู้ ซึ่งหากตีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือ
บรรดาเทพสตรีทั้งหลาย ถูกกลบลบหายไปจากความเชื่อ และความคิดคำนึงของผู้คน
โดยเฉพาะในยุคกลาง มีการใช้ความรุนแรงในการกวาดล้างผู้หญิงที่เลื่อมใสในเทพสตรี โดยกล่าวหาว่าพวกเธอเป็นแม่มด
คนเลื่อมใสปีศาจ ซึ่งผลของความแตกแยกนี้ นำไปสู่การแข่งขันมากกว่าการร่วมมือ ความเป็นเอกเทศมากกว่าความสมบูรณ์ครบครัน
และเป็นปัจจัยต่อการวางรากฐานโลกทางวิทยาศาสตร์ โลกที่ให้ความสำคัญแก่มนุษย์มากกว่าพระเจ้า
โลกที่ละเลยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กับสิ่งสร้าง และสิ่งสูงสุด
ดังนั้น การศึกษาจิตวิญญาณของผู้หญิงจากเรื่องเล่าของเธอในอดีต จะช่วยให้เข้าใจถึงวัฒนธรรมที่เผ่าพันธุ์มนุษย์
ดำรงชีวิตอยู่อย่างผสานกลมกลืนกับส่วนอื่นๆ ของสิ่งสร้าง เรื่องเล่าผ่านรูปแกะสลัก และตำนานต่างๆ บ่งบอกว่า
ผู้หญิงเป็นเพศที่มีความอ่อนไหว และผสมผสาน
ผู้หญิงเข้าใจถึงชีวิต และความตายทางฝ่ายเนื้อหนังดีกว่าผู้ชาย
แม้ว่าเพศชายถูกสร้างมาในความสมบูรณ์กว่าเพศหญิง ผู้หญิงในอดีตดำเนินชีวิตที่เป็นวัฏจักรสัมพันธ์กับธรรมชาติ
สืบเนื่องมาจากการมีประจำเดือน ผู้หญิงมีสรีระที่เล็กกว่า บอบบางกว่าผู้ชาย จึงอ่อนแอกว่าผู้ชาย
หากได้รับอุบัติเหตุ หรือบาดเจ็บ ดังนั้น เธอจึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับความอ่อนไหว และเปราะบางของชีวิตได้ดีกว่าผู้ชาย
โดยเฉพาะการเป็นแม่ผู้ทะนุถนอมฟูมฟัก และปกป้องลูกๆ จากภยันตรายและความทุกข์ยาก
เทพสตรีแห่งงานสร้างสรรค์และความอุดมสมบูรณ์ในแอฟริกา
ในงานศึกษาของ Dr. Lucia Chiavola Birnbaum และนักวิชาการท่านอื่นๆ
ได้ศึกษาถึงเทพสตรีในทวีปแอฟริกายุคหินเก่า(50,000 ปี ก่อนคริสตกาล) พบว่า
บรรพชนในอดีตนั้น มีการสืบทอดชีวิต และจิตวิญญาณอย่างแนบแน่น รูปแกะสลัก และภาพวาดเทพสตรีแอฟริกัน
ขุดค้นพบมากมายตั้งแต่ตอนเหนือ คือ อียิปต์ จนถึงทางใต้ คือ ซิมบับเว อาทิ
เทพสตรีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ในแอลจีเรีย(หรือเทพสตรีแห่งเขาสัตว์) เต้นรำในทุ่งข้าว บนศีรษะมีเขาสัตว์
ปรากฎรูปของเมล็ดพืช และสายฝนที่กำลังโปรยปราย แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์
ในอียิปต์ ก่อนยุคราชวงศ์ มีรูปเทพสตรีในท่ายืนเหมือนกำลังจะบิน มีศีรษะเป็นนก มีหน้าอกอย่างมนุษย์ และสองมือที่ถืออาวุธยื่นออกไป
การอธิบายเรื่องพลังอำนาจตามความเชื่อยุคก่อนบุพกาล ถือว่า นกเป็นสัญลักษณ์ของวิญญาณมนุษย์ การอธิบายเช่นนั้น
ได้ช่วยปกป้องการลดจำนวนของนก ในปัจจุบัน
เทพสตรีที่น่าสนใจอีกองค์หนึ่ง คือ Nut (อ่านว่า Noot แปลว่า night) เป็นเทพสตรีของท้องฟ้ายามค่ำคืน ราชินีแห่งสรวงสวรรค์
ผู้ให้กำเนิดดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ และที่หน้าอก มีหยดน้ำนมที่ไหลลงมาเสมือนสายฝน ที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิต