ลำดับปัญหา กรณีธรรมกาย โดย นายสมพร เทพสิทธา (1/2)
วัดพระธรรมกาย เป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ ที่มีกำลังคนและกำลังทรัพย์มาก ตลอดจนมีการบริหารและการจัดการที่เข้มแข็ง ถ้าทำงานสร้างสรรค์ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง แต่เมื่อก่อปัญหาขึ้น ก็มีผลกระทบต่อสังคมและประชาชนในวงกว้างเป็นอย่างมาก
ปัญหาวัดพระธรรมกายเริ่มปรากฏชัดตั้งแต่เมื่อประมาณ ๑๒ ปีที่ผ่านมา โดย ศ.นพ. ประเวศ วะสี ได้เขียน เตือนไว้ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ และต่อมาหลังจากเกิดกรณีอื้อฉาวเรื่องที่ดินกับชาวบ้านรอบวัดในปี ๒๕๓๑ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ได้กล่าวถึงปัญหาความผิดเพี้ยนของวัดพระธรรมกายไว้อย่างชัดเจน ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาวัดพระธรรมกายมิได้เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ได้เริ่มต้นสะสมมาไม่น้อยกว่า ๒๐ ปีแล้ว
เมื่อปัญหาเกิดขึ้น ชาวพุทธทั้งหลายและองค์กรต่าง ๆ เฝ้าจับตามองด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรอย่างหนึ่งอย่างใดได้ เพราะแต่ละคนแต่ละองค์กรมีกำลังน้อยและแยกกระจัดกระจายกันอยู่ จึงมีกำลังไม่พอที่จะยับยั้งและแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกายได้ ทั้ง ๆ ที่ทราบว่า การกระทำของวัดพระธรรมกายกำลังก่อปัญหาให้เกิดขึ้นแก่สังคม ประชาชน และพระธรรมวินัยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีกำลังเข้มแข็ง เติบโตขึ้นทุกวัน
จนกระทั่ง ต้นเดือนพฤศจิกายน ปี ๒๕๔๑ สยามธุรกิจ เป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกที่เริ่มตีพิมพ์ปัญหาวัดพระธรรมกาย ต่อมาหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับก็ได้เริ่มตีพิมพ์เรื่องดังกล่าวตามมา และต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ปัญหาการใช้ปาฏิหาริย์หลอกลวงประชาชน ปัญหาการเรี่ยไรเงินนอกแบบ ปัญหาการนำวิธีจัดการแบบขายตรงมาดูดเงินของผู้บริจาค ปัญหาการทำบุญให้เป็นสินค้า และประเด็นอื่น ๆ อีกมากมาย สื่อมวลชนได้ตีแผ่ออกมาให้ประชาชนทราบ ข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้ได้เป็นแรงกระตุ้นให้ชาวพุทธ เห็นภัยของพระพุทธศาสนาจากปัญหาวัดพระธรรมกาย ที่ได้ก่อตัวขึ้นอย่างร้ายแรง ทำให้ชาวพุทธ ทั้งสงฆ์และฆราวาส เริ่มตระหนักว่าจะอยู่นิ่งเฉยอีกต่อไปไม่ได้ เพราะภัยที่เกิดขึ้นนั้น เสมือนไฟที่กำลังไหม้บ้าน
เนื่องจากชาวพุทธยังกระจัดกระจายกันอยู่และมีกำลังน้อย จึงจำเป็นต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่กำลังขยายตัว พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทะ) วัดชลประทานรังสฤษดิ์ พระพิศาลธรรมพาที (พระอาจารย์พยอม กลฺยาโณ) วัดสวนแก้ว ศ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต๙ และบุคคลสำคัญอีกหลายท่านต่างออกมา กล่าวถึงปัญหาวัดพระธรรมกาย ให้สังคมได้ตื่นขึ้นและมองเห็นภัย
ต่อมาเมื่อเดือนธันวาคมปี ๒๕๔๑ และเดือนมกราคม ๒๕๔๒ วัดพระธรรมกายได้พิมพ์หนังสือชื่อ “เจาะลึกวัดพระธรรมกาย” ออกเผยแพร่ และ พระสมชาย ฐานวุฑฺโฒ ผู้อำนวยการสำนักเผยแผ่ธรรมะวัดพระธรรมกาย ได้เผยแพร่ข้อเขียนเรื่อง “นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา” ทั้งทางหนังสือพิมพ์และหนังสือเล่มออกไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งเอกสารดังกล่าวนั้นได้เขียนบิดเบือนหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “นิพพานเป็นอัตตา” และชี้นำให้คนเห็นว่าพระไตรปิฎกผิดเพี้ยน ไม่น่าเชื่อถือ เป็นเหตุให้ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) เขียนบทความเรื่อง “กรณีธรรมกาย” ขึ้น เพื่อชี้แจงประเด็นที่ว่า “นิพพานเป็นอนัตตา” และให้ชาวพุทธเกิดความมั่นใจในพระไตรปิฎก
เมื่อเดือนมีนาคม นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.กระทรวงศึกษาธิการ (ตำแหน่งในขณะนั้น) กำหนดให้พระไชยบูลย์ โอนที่ดินซึ่งมีชื่อตนเองเป็นเจ้าของโฉนดให้แก่วัดพระธรรมกาย ภายใน ๓๐ วัน๑๒ แต่เมื่อครบกำหนดก็ไม่ได้รับการปฏิบัติตาม ภายหลังเมื่อพ้นระยะเวลา ๓๐ วันดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๒ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จึงมีพระวินิจฉัยว่า พระไชยบูลย์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ แต่พระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชไม่ได้รับการตอบสนองในทางปฏิบัติจากมหาเถรสมาคม ขณะเดียวกันกลับมีมติให้ดำเนินคดีไปตามกฎนิคหกรรรม ซึ่งทำให้เรื่องยืดเยื้อออกไป ปัญหาต่าง ๆ ไม่ได้รับการแก้ไข นับตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงมีพระวินิจฉัยจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๖ เดือนเศษแล้ว ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้
เมื่อมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกายได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทำให้ประชาชนขาดหลักที่พึ่ง ทั้งด้านพระธรรมวินัยและด้านการจัดการแก้ปัญหา จึงต้องหันไปพึ่งทางอาณาจักร คือ รัฐบาล แต่ปรากฏว่ารัฐบาลก็หาได้จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ชัดเจนลงไปไม่ ประชาชนจึงตกอยู่ภายใต้ภาวะที่สับสน หาทางออกไม่ได้ ว้าเหว่ ขาดที่พึ่งพิง ไม่มีองค์กรใดในบ้านเมืองที่จะปกป้องพระศาสนา จึงจำเป็นที่ชาวพุทธที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่าง ๆ ต้องมารวมตัวกันให้เกิดความเข้มแข็ง และหาทางร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหา
เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งทำให้ชาวพุทธสามัคคีรวมกำลังกันยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับชาวบ้านบางระจัน ที่รวมตัวกันขึ้น เพื่อต่อสู้กับกองทัพพม่า เมื่อครั้งก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เมื่อเห็นช่องทางใดที่จะแก้ปัญหาได้ ก็ต้องหันไปพึ่งทางนั้น เช่น เมื่อพระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต) เป็นพระองค์หนึ่งที่กล่าวถึงพระธรรมวินัย โดยยึดหลักพระไตรปิฎกเป็นที่ตั้ง พูดถึงหลักพระศาสนา โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหาตัวบุคคล และช่วยให้เกิดความกระจ่างชัดเจน ชาวพุทธทั้งหลายจึงเห็นว่าเป็นที่พึ่งได้ในด้านพระธรรมวินัย และเมื่อ พล.ต.ท. วาสนา เพิ่มลาภ ตั้งใจทำงานหาหลักฐานเกี่ยวกับ การฉ้อโกงประชาชนของพระไชยบูลย์ และมีการแจ้งจับ ตลอดจนฟ้องร้องเป็นคดีอย่างเป็นรูปธรรม ชาวพุทธจึงเห็นว่า พล.ต.ท. วาสนา เป็นที่พึ่งได้ทางฝ่ายบ้านเมือง เป็นต้น
****** ลำดับปัญหา กรณีธรรมกาย โดย นายสมพร เทพสิทธา (1/2) สำหรับผู้สนใจความเป็นมากรณีธรรมกาย ******
วัดพระธรรมกาย เป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ ที่มีกำลังคนและกำลังทรัพย์มาก ตลอดจนมีการบริหารและการจัดการที่เข้มแข็ง ถ้าทำงานสร้างสรรค์ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง แต่เมื่อก่อปัญหาขึ้น ก็มีผลกระทบต่อสังคมและประชาชนในวงกว้างเป็นอย่างมาก
ปัญหาวัดพระธรรมกายเริ่มปรากฏชัดตั้งแต่เมื่อประมาณ ๑๒ ปีที่ผ่านมา โดย ศ.นพ. ประเวศ วะสี ได้เขียน เตือนไว้ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ และต่อมาหลังจากเกิดกรณีอื้อฉาวเรื่องที่ดินกับชาวบ้านรอบวัดในปี ๒๕๓๑ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ได้กล่าวถึงปัญหาความผิดเพี้ยนของวัดพระธรรมกายไว้อย่างชัดเจน ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาวัดพระธรรมกายมิได้เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ได้เริ่มต้นสะสมมาไม่น้อยกว่า ๒๐ ปีแล้ว
เมื่อปัญหาเกิดขึ้น ชาวพุทธทั้งหลายและองค์กรต่าง ๆ เฝ้าจับตามองด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรอย่างหนึ่งอย่างใดได้ เพราะแต่ละคนแต่ละองค์กรมีกำลังน้อยและแยกกระจัดกระจายกันอยู่ จึงมีกำลังไม่พอที่จะยับยั้งและแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกายได้ ทั้ง ๆ ที่ทราบว่า การกระทำของวัดพระธรรมกายกำลังก่อปัญหาให้เกิดขึ้นแก่สังคม ประชาชน และพระธรรมวินัยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีกำลังเข้มแข็ง เติบโตขึ้นทุกวัน
จนกระทั่ง ต้นเดือนพฤศจิกายน ปี ๒๕๔๑ สยามธุรกิจ เป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกที่เริ่มตีพิมพ์ปัญหาวัดพระธรรมกาย ต่อมาหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับก็ได้เริ่มตีพิมพ์เรื่องดังกล่าวตามมา และต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ปัญหาการใช้ปาฏิหาริย์หลอกลวงประชาชน ปัญหาการเรี่ยไรเงินนอกแบบ ปัญหาการนำวิธีจัดการแบบขายตรงมาดูดเงินของผู้บริจาค ปัญหาการทำบุญให้เป็นสินค้า และประเด็นอื่น ๆ อีกมากมาย สื่อมวลชนได้ตีแผ่ออกมาให้ประชาชนทราบ ข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้ได้เป็นแรงกระตุ้นให้ชาวพุทธ เห็นภัยของพระพุทธศาสนาจากปัญหาวัดพระธรรมกาย ที่ได้ก่อตัวขึ้นอย่างร้ายแรง ทำให้ชาวพุทธ ทั้งสงฆ์และฆราวาส เริ่มตระหนักว่าจะอยู่นิ่งเฉยอีกต่อไปไม่ได้ เพราะภัยที่เกิดขึ้นนั้น เสมือนไฟที่กำลังไหม้บ้าน
เนื่องจากชาวพุทธยังกระจัดกระจายกันอยู่และมีกำลังน้อย จึงจำเป็นต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่กำลังขยายตัว พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทะ) วัดชลประทานรังสฤษดิ์ พระพิศาลธรรมพาที (พระอาจารย์พยอม กลฺยาโณ) วัดสวนแก้ว ศ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต๙ และบุคคลสำคัญอีกหลายท่านต่างออกมา กล่าวถึงปัญหาวัดพระธรรมกาย ให้สังคมได้ตื่นขึ้นและมองเห็นภัย
ต่อมาเมื่อเดือนธันวาคมปี ๒๕๔๑ และเดือนมกราคม ๒๕๔๒ วัดพระธรรมกายได้พิมพ์หนังสือชื่อ “เจาะลึกวัดพระธรรมกาย” ออกเผยแพร่ และ พระสมชาย ฐานวุฑฺโฒ ผู้อำนวยการสำนักเผยแผ่ธรรมะวัดพระธรรมกาย ได้เผยแพร่ข้อเขียนเรื่อง “นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา” ทั้งทางหนังสือพิมพ์และหนังสือเล่มออกไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งเอกสารดังกล่าวนั้นได้เขียนบิดเบือนหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “นิพพานเป็นอัตตา” และชี้นำให้คนเห็นว่าพระไตรปิฎกผิดเพี้ยน ไม่น่าเชื่อถือ เป็นเหตุให้ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) เขียนบทความเรื่อง “กรณีธรรมกาย” ขึ้น เพื่อชี้แจงประเด็นที่ว่า “นิพพานเป็นอนัตตา” และให้ชาวพุทธเกิดความมั่นใจในพระไตรปิฎก
เมื่อเดือนมีนาคม นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.กระทรวงศึกษาธิการ (ตำแหน่งในขณะนั้น) กำหนดให้พระไชยบูลย์ โอนที่ดินซึ่งมีชื่อตนเองเป็นเจ้าของโฉนดให้แก่วัดพระธรรมกาย ภายใน ๓๐ วัน๑๒ แต่เมื่อครบกำหนดก็ไม่ได้รับการปฏิบัติตาม ภายหลังเมื่อพ้นระยะเวลา ๓๐ วันดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๒ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จึงมีพระวินิจฉัยว่า พระไชยบูลย์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ แต่พระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชไม่ได้รับการตอบสนองในทางปฏิบัติจากมหาเถรสมาคม ขณะเดียวกันกลับมีมติให้ดำเนินคดีไปตามกฎนิคหกรรรม ซึ่งทำให้เรื่องยืดเยื้อออกไป ปัญหาต่าง ๆ ไม่ได้รับการแก้ไข นับตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงมีพระวินิจฉัยจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๖ เดือนเศษแล้ว ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้
เมื่อมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกายได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทำให้ประชาชนขาดหลักที่พึ่ง ทั้งด้านพระธรรมวินัยและด้านการจัดการแก้ปัญหา จึงต้องหันไปพึ่งทางอาณาจักร คือ รัฐบาล แต่ปรากฏว่ารัฐบาลก็หาได้จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ชัดเจนลงไปไม่ ประชาชนจึงตกอยู่ภายใต้ภาวะที่สับสน หาทางออกไม่ได้ ว้าเหว่ ขาดที่พึ่งพิง ไม่มีองค์กรใดในบ้านเมืองที่จะปกป้องพระศาสนา จึงจำเป็นที่ชาวพุทธที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่าง ๆ ต้องมารวมตัวกันให้เกิดความเข้มแข็ง และหาทางร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหา
เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งทำให้ชาวพุทธสามัคคีรวมกำลังกันยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับชาวบ้านบางระจัน ที่รวมตัวกันขึ้น เพื่อต่อสู้กับกองทัพพม่า เมื่อครั้งก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เมื่อเห็นช่องทางใดที่จะแก้ปัญหาได้ ก็ต้องหันไปพึ่งทางนั้น เช่น เมื่อพระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต) เป็นพระองค์หนึ่งที่กล่าวถึงพระธรรมวินัย โดยยึดหลักพระไตรปิฎกเป็นที่ตั้ง พูดถึงหลักพระศาสนา โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหาตัวบุคคล และช่วยให้เกิดความกระจ่างชัดเจน ชาวพุทธทั้งหลายจึงเห็นว่าเป็นที่พึ่งได้ในด้านพระธรรมวินัย และเมื่อ พล.ต.ท. วาสนา เพิ่มลาภ ตั้งใจทำงานหาหลักฐานเกี่ยวกับ การฉ้อโกงประชาชนของพระไชยบูลย์ และมีการแจ้งจับ ตลอดจนฟ้องร้องเป็นคดีอย่างเป็นรูปธรรม ชาวพุทธจึงเห็นว่า พล.ต.ท. วาสนา เป็นที่พึ่งได้ทางฝ่ายบ้านเมือง เป็นต้น