เพียงเพราะว่า เขาเป็นดาราฝรั่ง ส่วนฉันนั้นเป็นแค่เด็กเสริฟ์


ฉันเป็นหญิงไทยที่มีชีวิตในต่างเเดนและ ในแต่ล่ะวันฉันก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเดียวเพราะต้องดูแลตัวเอง ลูก และแม่ที่อยู่ที่เมืองไทย ด้วยชีวิตที่ต้องฝ่าฟันจึงทำให้ฉันกลายเป็นหญิงกระด้างและเย็นชา แต่แล้ววันหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงจะส่งใครคนหนึ่งให้เข้ามาพิสูจน์ใจฉันเล่นดูว่าฉันนั้นจะมั่นคงในความแข็งแกร่งต่อใจตัวเองแค่ไหน เพราะตั้งแต่ฉันสูญเสียความรักครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตไปความรักที่เป็นเหมือนดังเทพนิยายที่ได้เกิดขึ้นจริงในชีวิตฉันได้จบลง แบบ ที่ตัวฉันเองนั้นแทบจะเอาชีวิตไม่รอด เพราะบาดแผลจากการตรอมใจ แลนับแต่นั้นมา ฉันก็มองความรักเป็นภาพลวงตาและหลอกลวงมาโดยตลอด จากที่ฉันเคยเชื่อมั่นเสียเหลือเกินว่ารักแท้จนแก่เถ้านั้นมีอยู่จริงนั้นเมื่อมาถึงตอนนี้ ชีวิต ที่ฉันต้องสู้ด้วยตัวคนเดียวในแต่ละวันนั้นมันทำสั่งสมจนทำให้ฉันเห็นว่า   " เงิน "  ที่หาได้ด้วยลำแข้งของตัวเองเท่านั้น ที่สำคัญกว่าความรัก เรื่องงานนั้นสำคัญกว่าหลายเท่านัก เพราะด้วยเงินเท่านั้นที่จะประคองชีวิตฉันและลูกให้อยู่รอดได้เท่านั้นในประเทศนี้ นับจากจุดนั้นในอดีต  จนปัจจุบันฉันก็ทำงานมาตลอด ทำแต่ งาน งาน และ งาน ฉันใช้งานเป็นที่หลบซ่อน จากความผิดหวังและความขมขื่น ที่เกิดขึ้นในการแต่งงานที่อยู่มาด้วยกันมากกว่า 10ปี และหลังจากการสูญเสีย " Love of my Life " ไปในครั้งนั้น ตัวฉันเองนั้นก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่า หรือ ยอมรับความจริงไม่ได้ว่า ฉันนั้น บอบช้ำกับการสูญเสียในความรักไปมากแค่ไหน จนกระทั่ง

วันนั้น ...........วันที่เตือนให้ฉันจำได้ว่า การตกหลุมรัก ในรักแรกพบนั้น มันยังมีอยู่จริง

ที่ทำงาน
ในวันนั้น วันที่ฉัน กำลังอยู่ในสถานะของพนักงานใหม่ และกำลังถูกทดลองงาน ในวันนั้นหน้าที่ของฉันนั้นกำลังตกอยู่ในสภาวะที่ตึงเครียด ห้ามผิดและห้ามพลาด การยื่นรับออร์เดอร์ อาหารในช่วงมื้อเที่ยงของวันนั้น ตึงเครียดน่าดู ไหนจะภาษาที่ฟังยากและไม่คุ้นหู ไหนจะต้องจ้องกะจอคอมพิวเตอร์ที่คอยบันทึกรายการอาหาร และ ความรวดเร็วในการประกอบอาหารให้ทันอีกด้วย!!! ประสาททุกส่วนของฉันต้องFocus ที่สำคัญไม่ว่าลูกค้าจะมึนและจู้จี้แค่ไหน ก็แล้วแต่ใบหน้าของฉันนั้นต้องพร้อมยิ้มรับแขกอยู่เสมอห้ามให้ลูกค้าสังเกตุเห็นได้ถึงความไม่พอใจได้อย่างเด็ดขาด ( แม้ว่าภายในใจอยากจะด่า ......่องงงงง แทบตายกะลูกค้าบ้างคน)

ในวันนั้นฉันพยายามเป็นอย่างมากที่จะทำงานให้ดีที่สุดในทุกขั้นตอน แทบจะไม่มีลูกค้าคนไหนเลยที่จะสังเกตุเห็นความประหม่าในการเริ่มงานในวันนั้นของฉันได้ และในห่วงเวลานั้นเอง ห่วงเวลาของการต่อสู้ภายในอารมณ์ของฉันเอง ต่อสู้กับการต้องควบคุมทุกสถานการณ์ให้ไร้ที่ติและห้ามพลาด ตาของฉัน นั้นได้สบตา และพบกับสายตาของคนๆหนึ่งที่กำลังต่อคิวรอการได้รับบริการจากฉันอยู่ เขาต่อแถวถัดจากลูกค้าที่อยู่ตรงหน้าฉันไปอีกสองสามคน แต่ ฉันรู้สึกได้ว่า ดวงตาเขากำลังจับจ้องฉันอยู่ สายตาคู่นั้นของเขาที่มองดูฉันอย่างอบอุ่นและเยือกเย็นนั้นมันตราตรึงอยู่ในหัวฉัน อย่างที่ฉันจะไม่มีวันลืมได้เลย แต่ ฉันมีเวลาไม่มากพอที่จะอนุญาติให้ตัวเองได้สัมผัสกับเเววตาที่แสนอบอุ่นในดวงตาคู่นั้นได้นานนัก ถึงแม้ว่าในตาคู่นั้นมันช่างมีพลังของการปลอบโยนที่สามารถส่งตรงเข้าสู่หัวใจฉันได้อย่างเยือกเย็นและโหดเหี้ยม หัวใจฉันเหมือนถูกยิง สิ่งที่ฉันทำได้คือ พยักหน้าให้เขารับรู้แค่นั้นว่า ฉันจะรีบเร่งมือ รับออเดอร์กับแขกที่อยู่ตรงหน้า ให้เสร็จโดยไว เพื่อเขาคนนั้นจะไม่ต้องรอนาน ในตอนนั้น ถึงแม้ว่า หัวใจฉันจะตกลงไปแล้วถึงตาตุ้ม เพียงแค่ได้สบตากับเขานั้น ฉันก็ได้แต่พยายามเรียกสติคืน ด้วยแค่การบอกกับตัวเองว่า เขา คือ ลูกค้า เขาคือ ลูกค้า  เ ข า แ ค่ คื อ ลู ก ค้ า focus Focus !!!
ห้ามพลาด น่ะ อย่าพลาด ............

แต่ ........ ฉันพลาดหมดทุกสิ่ง เพียงแค่เขามา ยื่นต่อหน้า ฉัน แล้วบอกว่า " เขาไม่เคยทานอาหารประเภทนี้เลย เธอช่วยฉันเลือกทีน่ะ แล้วฉันจะทานทุกอย่างที่เธอ สั่งให้ฉัน เลย "

เพียงแค่เขา ยื่นอยู่ต่อหน้าฉัน ฉัน ก็ กดรายการ ทุกอย่างรวนไปหมด ฉัน ชารต์เงินออกจากบัตรเครดิตเขาออกไปสองครั้ง แถมยังมีหน้าไปบอกไปทวงเขาอีกว่า คุณยังไม่ได้จ่าย จน เขาต้องเช็คใน Bank Mobile แล้วยื่นยันว่า  เขาจ่าย แล้ว

นั้นคือ ผิดพลาด ครั้งที่ 1

ผิดพลาด ครั้งที่ 2 เราทำรายการอาหารที่เขาสั่งผิดอีก

ผิดพลาด  ครั้งที่ 3 เรา ใส่เครื่องปรุงผิดทั้งๆที่เขาย้ำแล้วว่า เขาไม่ต้องการ เครื่องปรุงในสิ่งนั้น.................................

( ฉันเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ที่สุด )

แต่ ดูเหมือน เขาจะ ไม่แหย่แส กะความผิดพลาดของฉันเลย


หลังจากวันนั้นที่ได้พบกับเขา มันน่าแปลกตรงที่ว่า ....... ภาพแววตาของเขากลับเข้ามาในหัวเราอยู่บ่อยครั้ง แต่เราก็พยายามจะไม่คิดอะไร เพราะ หลังจากวันนั้นเรา มีกำหนดการที่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อที่จะหาข้อมูลว่า เราควรจะย้ายที่ทำงานไปอยู่อีกประเทศหนึ่งดีกว่าไหม

แน่นอนมันเป็นช่วงชีวิตทีโกลาหล เพราะต้องต้ดสินใจครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งในชีวิต แต่เราก็อดโกหกกับตัวเองไม่ได้เลยว่า ภาพความประทับใจในแววตาคู่นั้นของเขานั้น มันชอบกลับเข้ามา ฉายแว๊บบบบ ๆๆ ในหัวของเราอบู่บ่อยครั้ง บ่อยครั้งเกินไป จนเราเองต้อง สลัดหัวแรงๆให้ภาพนั้นหลุดไป และสอนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า

" เราเป็นแค่คนต่างด้าวไม่มี ลูกค้าในสถานะที่สูงกว่าคนไหนจะมาใส่ใจ คนทำงานอย่างเราหรอก ลืมเถอะๆๆๆๆ "

นับจากวันนั้น วันแรกที่ได้เจอกัน เป็นเวลาอีกอาทิตย์กว่าๆได้ วันทุกวัน เรา รอการกลับมาของเขาและ คิดได้แต่เพียงว่า อยากจะขอให้ได้เห็นเพียงอีกสักครั้ง...... อีกสักครั้งก่อนที่เราจะต้องเดินทางไกล ขอให้ได้เห็นเพียงแค่ให้ได้จดจำเธอไว้อีกสักครั้งก็พอ แต่ก็ดูเหมือนสิ่งที่เราคิดมันเป็นได้ก็แค่ความหวังที่รอวันเวลาที่แห้งเหือดดดเเละจางหายไป ........เท่านั้นเอง

วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ ทำงานก่อนที่เราจะต้องออกเดินทางไปต่างประเทศในวันรุ่งขึ้น......ใจเราเริ่มหมดหวัง และดุตัวเองเบาๆอยู่ตลอดเวลา ว่าให้วางเรื่องนี้ลงเสียและให้ Focus กับการเดินทางและแผนการที่ต้องเตรียมตัวไว้จะดีกว่า

ดูเหมือนใจเราจะรับฟังเหตุผลของสมองได้ดี ใจเริ่มจะคลายกับความทรงจำที่มีต่อแววตาคู่นั้น ยิ่งใกล้เวลาร้านจะปิดมากขึ้นเท่าไร ใจเราก็ยิ่งยอมรับความจริงมากขึ้นทุกนาที ทุกนาที  ............

ในเวลานั้นที่ทุกอย่างเริ่มซา และ ช้าลง ผู้คนต่างคนต่างพากันเดินทางมุ่งหน้าพากันกลับบ้านของแต่ละคน  ลูกค้าเริ่มมาสั่งอาหารแบบเอากลับบ้านกันมากขึ้น และเพิ่มขึ้น ดูเหมือนทุกคนอ่อนล้าในเวลานี้เกือบจะพร้อมๆกัน จากเสียงเจี้ยวจ้าวที่ดูวุ่นวายภายในร้าน ก็ค่อยๆ เบาลง เบาลง เสียง รถบนท้องถนนก็ ค่อย ๆจางลงๆ ไปพร้อมกับแสงไฟบนท้องถนนที่ค่อยๆๆหรี่ ลง หรี่ลงไปเช่นกัน.........

ในขณะที่ทุกอย่างเหมือนจะดำเนินไปอย่างช้าๆและเราเองก็ใกล้ที่จะหมดแรงและหมดหวังกับการรอคอยที่ไร้หวี่แววนี้ ช่วงเวลานี้เองที่จุดจบมาพบกับจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

เขา คนนั้น ที่เราเฝ้าอธิฐานก็เดินเข้ามา ....... กลับเข้ามาอยู่ตรงหน้าเรา อีกครั้ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่